ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 197 ข้ามายังเมืองของข้า
อีกฟากนั้นคือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
ในมหาสมุทรมีเรืออยู่หนึ่งลำ
องค์ชายรองของแคว้นต้าซียืนอยู่ทางด้านหัวเรือ อาภรณ์ของเขาปลิวไปตามแรงลม หัวคิ้วสองข้างยุ่งเหยิง ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอันใดอยู่
มู่จิ่วซือนั่งอยู่ภายในเรือ เอาแต่หันกลับไปมองทิศทางที่จากมาไม่หยุด สีหน้าเศร้าหมองเล็กน้อย
……
……
สำหรับแม่น้ำซีแล้ว แม่น้ำแดงนั้นกว้างขวางยิ่งนัก ไม่ต่างอะไรกับมหาสมุทรเลย
ตั้งแต่เขาลั่วซิงกระทั่งถึงเมืองไป๋ตี้ แม่น้ำซีก็กลายเป็นแม่น้ำแดง
บนพื้นหญ้าตั้งแต่ท่าเรือจวบจนถึงถนนหนทาง จัตุรัสหรือไปจนถึงหอเทียนโส่ว ล้วนมีแต่ผู้คนคุกเข่าอยู่ทุกหนแห่ง ราวกับคลื่นน้ำก็มิปาน
จักรพรรดิขาวได้ดำเนินกลับมายังเขตพระราชฐานแล้ว
เขาไม่ได้ตรงกลับไปยังเขตพระราชฐาน แต่เลือกเดินทางโดยเรือ
ตั้งแต่ฝั่งแม่น้ำจนถึงเขตพระราชฐาน ถนนหนทางกว้างขวางหาใดเปรียบ
เขาเดินผ่านพสกนิกรเผ่าปีศาจที่หลั่งไหลมาราวกับคลื่นน้ำ กุมมือสองข้างไว้ สีหน้าไม่รีบร้อน ราวกับกำลังคิดพิจารณาว่าเมืองเก่าที่ไม่ได้พบเจอหลายปีมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ที่เขากำลังเดินตามอำเภอใจอยู่ในเขตพระราชฐานนี้ เหล่าขุนนางที่ยังคงจงรักภักดีกับมู่ฮูหยินต่างก็ปลิดชีวิตตนเสีย หรือไม่ก็ถูกผู้ใกล้ชิดสะบั้นศีรษะลงมาเสียแล้ว
หลังจากเหตุการณ์ความขัดแย้งอย่างรุนแรงหลายเหตุการณ์ เหล่าทหารเผ่าปีศาจผู้เก่งกาจต่างก็คุกเข่าลงอยู่เบื้องหน้าเขตพระราชฐาน ใต้หัวเข่าเต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน เลือดเหล่านั้นมาจากทหารปีศาจเฉกเช่นเดียวกันกับพวกเขา
ไม่ได้มีการต่อสู้ใดที่มีความหมายอย่างแท้จริง มันสงบรวดเร็วกว่าการติดประกาศซะอีก
เขาไม่ได้เอ่ยคำใด เรื่องราวทั้งหมดก็ล้วนถูกแก้ไขแล้ว
เนื่องจากเดิมทีนี่ก็คือเมืองของเขา
ถนนทุกเส้นในเมืองนี้ ซากศิลาเก่าแก่ที่มีร่องรอยบนกำแพงศิลานั้น ล้วนคงไว้ซึ่งลมปราณของเขา
ลมปราณเหล่านั้นตอนนี้ล้วนกลับเข้าสู่ร่างกายของเขาแล้ว
ร่างกายของเขาสูงขึ้นเรื่อยๆ ลมปราณก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าสัตว์ประหลาดตัวยักษ์อวี๋จิงในแม่น้ำต่างก็ส่งเสียงครางต่ำออกมา เพื่อแสดงออกถึงความจำนนและต้อนรับ
นกอินทรีดำบนหอคอยสูงต่างก็ก้มศีรษะซุกซบใต้ปีกตนเอง พวกมันตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว
เดิมทีเขาก็คือการมีอยู่ของความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ เวลานี้ได้แผ่ลมปราณออกมาอย่างเงียบๆ ยิ่งเป็นการให้ความรู้สึกที่รุนแรงหาใดเปรียบ
ทั้งเขตพระราชฐาน ทุกชีวิตทั้งนอกเมืองและในเมือง สั่นสะท้านต่อหน้าการมาถึงของลมปราณนี้และหลบซ่อนตัวเอาไว้เสีย ไม่กล้าส่งเสียงใดออกมา
ด้านหน้าเขตพระราชฐาน ในที่สุดก็ปรากฏเงาที่ไม่ได้คุกเข่าลงต่อหน้าจักรพรรดิ
เงานั้นเดิมทีก็สูงใหญ่ ราวกับเทือกเขาย่อมๆ
หัวหน้าเผ่าเซี่ยงยืนอยู่ด้านหน้าเมือง มองไปยังจักรพรรดิขาวที่เดินเข้าใกล้เรื่อยๆ อารมณ์ในแววตานั้นดูซับซ้อนไม่น้อย
เขาเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสของสมาพันธ์เผ่าอาวุโส เผ่าเซี่ยงที่เขาอยู่ตอนนี้เป็นชนกลุ่มน้อยที่ใหญ่ที่สุดของเหล่าปีศาจ นอกเสียจากคู่สามีภรรยาจักรพรรดิและจักรพรรดินีแล้วเขาก็คือผู้แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าปีศาจ
มู่ฮูหยินอาศัยที่จักรพรรดิขาวได้รับบาดเจ็บสาหัสกักขังเขาไว้ ตอนนี้ดูแล้ว เขาต้องเป็นผู้มีส่วนร่วมรู้เห็นแน่นอน เป็นกบฏอย่างแท้จริง
ไม่ว่าจะมองจากมุมใด เขาก็ล้วนมีสิทธิ์ที่จะไม่คุกเข่า และก็มีเหตุผลที่จะไม่คุกเข่า
จักรพรรดิขาวดำเนินมาอยู่ตรงหน้าหัวหน้าเผ่าเซี่ยง
หัวหน้าเผ่าเซี่ยงมองไปยังใบหน้าที่ผอมเล็กของจักรพรรดิขาว สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาอ้าปากราวกับเตรียมจะเอ่ยคำใด
จักรพรรดิขาวโน้มกายไปด้านหน้าเล็กน้อย ราวกับต้องการจะมองเขาให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
มันเป็นการกระทำที่แสนจะธรรมดาแต่ราวกับมีพลังที่ยากต่อต้านซ่อนอยู่ข้างใน
หากเอ่ยว่าหัวหน้าเผ่าเซี่ยงคือภูเขาลูกหนึ่ง อย่างนั้นจักรพรรดิขาวก็คงเป็นเทือกเขาหิมะลูกนั้น
เมื่อเขาน้อมกายไปด้านหน้า เทือกเขาหิมะนั้นก็ราวกับโน้มตัวไปด้านหน้าเช่นกัน
เขามองปราดลงมายังหัวหน้าเผ่าเซี่ยง
ราวกับเทพเจ้าที่ยื่นศีรษะออกมาจากเทือกเขาหิมะ
ในดวงตาของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ มีเพียงความอ้างว้างของทุ่งหิมะกว้างใหญ่เท่านั้น
นักเดินทางในทุ่งหิมะที่กว้างใหญ่ผู้นั้นค่อยๆ ไกลออกไป เช่นเดียวกันกับการให้อภัยและความสงสารที่ผ่านมา เหลือไว้เพียงความเฉยเมยและความหนาวเหน็บอย่างรุนแรง
สายฟ้าแลบปรากฏขึ้นสว่างจ้าบนทุ่งหิมะ สาดส่องไปยังเงาของนักเดินทางผู้นั้น
มันเป็นแสงเรืองที่แวบผ่านเข้ามาในดวงตาที่เย็นชาคู่นั้น
นั่นคือมือข้างหนึ่งที่ตกลงมาจากบนฟากฟ้า
หัวหน้าเผ่าเซี่ยงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขากรีดร้องขึ้นมาคราหนึ่ง ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาเบื้องหน้าตน ราวกับเสาศิลาที่ใหญ่โตสองต้น กำลังมุ่งหน้าไปทางมือนั้น
แววตาของเขาไร้ซึ่งความหวาดกลัว และก็ไม่มีความเสียใจใดๆ มีเพียงความตกตะลึงและไม่เข้าใจ เห็นได้ชัดว่าแปลกประหลาดมาก
สายลมบ้าคลั่งกรีดร้องโหยหวนอยู่บนทุ่งหิมะ
ม้วนเอาหิมะกว่าพันกองก่อตัวขึ้นเป็นเกลียวคลื่น
หุ่นขี้ผึ้งบนทุ่งหิมะค่อยๆ ถล่มลงมา
เกิดเสียงดังปัง เสาศิลาสองต้นนั้นเกิดรอยร้าวละเอียดขึ้นนับไม่ถ้วน หลังจากนั้นก็ค่อยๆ พังทลายลงมา
เกิดเสียง ปัง ดังสนั่น กำแพงศิลาที่อยู่ตรงด้านข้างของประตูใหญ่เขตพระราชฐานค่อยๆ พังทลายลงมา ก้อนศิลามากมายกระเด็นไปรอบด้าน
เกิดฝุ่นควันปกคลุมไปทั่ว บดบังทัศนียภาพการมองเห็นทั้งหมด ลมปราณที่รุนแรงกระทบเข้ากับแรงต่อต้านที่น่ากลัวนั้น มันแบ่งแยกดวงจิตทั้งหมดออกจากกัน จึงไม่มีเสียงใดหลุดรอดออกมาได้
โลหิตสดๆ พุ่งออกมาจากหูและจมูกของหัวหน้าเผ่าเซี่ยงไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าน่ากลัวยิ่งนัก
แต่ที่แปลกก็คือไม่มีร่องรอยของโลหิตไหลออกมาจากแขนที่หักทั้งสองข้างของเขา
จวบจนถึงเวลาที่เขาใกล้จะตาย ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเนื่องด้วยสาเหตุใด แววตาของเขาปรากฏออกมาซึ่งสีหน้าและอารมณ์ที่คาดไม่ถึงและเจ็บปวด
“ที่แท้ในเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา ท่านก็ยังคงไม่ยอมเชื่อในความจงรักภักดีของข้า”
หัวหน้าเผ่าเซี่ยงตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวังและโกรธแค้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์บนใบหน้าของจักรพรรดิขาวเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ
“ความเชื่อใจเป็นคำที่ไร้ประโยชน์ที่สุด”
……
……
ฝุ่นและควันค่อยๆ ตกลงมา กรวดศิลาที่กลิ้งไปมาก็ค่อยๆ หยุดนิ่งอยู่กับที่
ในส่วนลึกของเขตพระราชฐานเกิดเสียงไอขึ้น จักรพรรดิขาวคงดำเนินไปถึงที่นั่นแล้ว
ท่านอัครเสนาบดีเผ่าปีศาจและหัวหน้าเผ่าชื่อรวมไปถึงผู้อาวุโสอื่นๆ รีบเดินไปข้างหน้า รุดตามไป
เสี่ยวเต๋อหยุดเดิน มองไปยังศพของหัวหน้าเซี่ยง
แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดรับผิดชอบสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นหน้าประตูเมือง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเขา
เขาหยุดเดิน เนื่องจากรู้สึกว่าแววตาของหัวหน้าเผ่าเซี่ยงนั้นมีความประหลาดยิ่งนัก
หัวหน้าเผ่าเซี่ยงตายแล้ว แต่กลับไม่หลับตา
แววตาของเขาเต็มไปด้วยสีหน้าและอารมณ์ที่ประหลาดใจและโกรธแค้น
นี่เป็นเรื่องที่เสี่ยวเต๋อไม่เข้าใจเอาเสียเลย…ในงานพิธีฉลองใหญ่หัวหน้าเผ่าเซี่ยงปลอมแปลงราชโองการของจักรพรรดิขาว ทั้งยังก่อการกบฏร่วมกับมู่ฮูหยิน แน่นอนว่าโทษนี้ถึงความตาย ตัวเขาเองก็ควรจะแน่ชัดในจุดนี้ เหตุใดก่อนตายถึงได้มีอารมณ์เช่นนี้เล่า
……
……
ช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จักรพรรดิขาวจะกลับไปยังเมืองของเขา
เกิดเรื่องหลายสิ่งหลายอย่างขึ้นในเมืองนี้
อาทิเช่นมีคนบางคนออกจากเทือกเขาลั่วซิงล่วงหน้า ใช้เส้นทางลัดกลับเข้ามายังเขตพระราชฐานก่อน
และอาทิเช่นมีบางคนเริ่มจัดการธุระบางอย่าง ก็เหมือนกับหัวหน้าเผ่าเซี่ยงที่ต่อมาได้ตายไปเสียแล้ว
เขาตรงกลับไปยังเขตพระราชฐาน ไม่ได้นำยอดฝีมือจากเผ่าเซี่ยงคนใดมาด้วยเลย และก็ไม่ได้นำผู้ใต้บังคับบัญชาที่ซื่อสัตย์มาแม้แต่คนเดียว
แม้กระทั่งส่งลูกชายคนสุดท้องที่ตนให้ความสำคัญที่สุดอย่างเซี่ยงชิวก็ส่งไปยังบ้านหลังนั้นที่อยู่ไม่ไกลจากที่ของตน
เนื่องจากเขาทราบดีว่า ที่นี่จึงจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด ไม่ว่าการต่อสู้ในวันนี้คือฝ่าบาทได้รับชัยชนะ หรือว่าจักรพรรดินีได้รับชัยชนะ ก็ล้วนจะไม่ส่งผลกระทบมายังที่นี่ได้
เซี่ยงชิวเป็นผู้แข็งแกร่งของเผ่าเซี่ยงที่อยู่ในกลุ่มวัยรุ่น ตั้งแต่เล็กฝึกฝนวิชาบําเพ็ญพรตลับจากในภูเขาลึก มีนิสัยใจคอที่โหดร้ายอย่างหาได้ยากยิ่งของเผ่าเซี่ยง แต่เขามีประสบการณ์น้อยมากในโลกใบนี้
เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดท่านพ่อจึงได้จัดการเช่นนี้ จึงเตรียมการจากที่นี่ไป เพื่อไปเสริมทัพที่เขตพระราชฐานเพื่อช่วยเหลือบิดา ยิ่งไปกว่านั้นเขาอยากจะขอร้องให้ราชามารไปพร้อมกันกับเขาด้วย
ราชามารทราบดีว่าหัวหน้าเผ่าเซี่ยงนั้นคิดอย่างไรอยู่ จึงนับถือยิ่งนัก และยิ่งรู้สึกว่าเซี่ยงชิวผู้นี้โง่งมยิ่งนัก
หากว่าจักรพรรดิขาวยังมีพระชนม์ชีพ อย่างนั้นเขตพระราชฐานจะต้องเกิดสงครามที่สะเทือนเลือนลั่นทั่วฟ้าดินอย่างแน่นอน
ในความเป็นจริงแล้ว ราชามารคิดว่าจักรพรรดิขาวต้องยังมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน
แต่เขาไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมในสงครามครั้งนี้
ก็เหมือนกับที่หัวหน้าเผ่าเซี่ยงได้คิดไว้นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิขาวหรือมู่ฮูหยินที่ได้รับชัยชนะ ล้วนไม่มีทางแตะต้องเขาแน่นอน
ต่อให้แววตาของราชามารจะดูเยาะเย้ยถึงเพียงนี้ เซี่ยงชิวก็ยังคงไม่เข้าใจ เขาถ่มน้ำลายออกมาด้วยอารมณ์โกรธ ทั้งยังนำผู้ใต้บังคับบัญชาที่ซื่อสัตย์เดินมุ่งหน้าออกจากบ้านไป
เขากังวลในความปลอดภัยของบิดา ยิ่งไปกว่านั้นก็คือไม่อยากจะพลาดเรื่องใหญ่ที่ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกไว้ฉากนี้ ดังนั้นจึงตัดสินใจเร่งรุดเดินทางไปยังเขตพระราชฐาน
แต่เขายังไม่ทันได้เดินออกไป บ้านหลังนี้ก็ถูกล้อมเอาไว้เสียแล้ว
มีนักเล่นพิณตาบอดผู้หนึ่งกอดเอาพิณโบราณเอาไว้ ยืนอยู่ด้านนอกฝูงชน
เขาดูเหนื่อยเล็กน้อย ไหล่ทั้งสองข้างหย่อนคล้อยลงมา
หรือจะเป็นเพราะเนื่องด้วยเขาเพิ่งรีบร้อนกลับมาจากเทือกเขาลั่วซิง