ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 20 คนไม่พูดจาในหอบรรพชน
ไม่ว่าตอนที่เขาเผชิญหน้ากับหลินกงกงในสำนักฝึกหลวง ประจันหน้ากับอาจารย์ของตนเอง ซางสิงโจว ไม่ว่าบนเทือกเขาหรือที่ใด แม้แต่วานซืนตอนที่พบกับประมุขรองตระกูลถังในอารามเต๋า ทุกครั้งที่พบกับคนสำคัญหรือผู้อาวุโสที่น่าเกรงกลัว เฉินฉางเซิงก็จะคิดถึงเพื่อนคนนี้
เขาเป็นเพื่อนคนแรกที่ได้รู้จักหลังเข้าสู่จิงตู เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนคนแรกในชีวิตเขา
อันที่จริงการพบกันครั้งแรกระหว่างเพื่อนทั้งสองนั้นค่อนข้างอธิบายได้ยาก ในตอนนั้นสำนักเทียนเต้ากำลังสอบรับนักเรียนใหม่ ตอนที่ผู้เข้าสอบทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่ชำระกระดูกสำเร็จแล้ว บางคนถึงกับเข้าสู่ขั้นถอดจิตกำลังต่อแถวอยู่ เฉินฉางเซิงยังไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรได้เห็นชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงิน ตอนนั้นชายหนุ่มคนนั้นเป็นอัจฉริยะในการบำเพ็ญเพียรอย่างเห็นได้ชัดบอกเขาว่าเขาเป็นอัจฉริยะ ชายหนุ่มคนนั้นไปยังโรงเตี๊ยมสวนหลีจื่อเพื่อหาเฉินฉางเซิงและกินข้าวกับเขา ดังนั้นทั้งสองจึงกลายเป็นเพื่อนกัน ง่ายๆ เช่นนี้เอง
เพื่อนคนนี้ชื่อว่าถังถัง
ตอนที่เขาถูกจัดอันดับอยู่บนประกาศชิงอวิ๋นเป็นครั้งแรก เขาอยู่อันดับที่สามสิบหก จึงได้เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นถังซานสือลิ่ว
จากนั้นจนถึงตอนนี้ ประกาศชิงอวิ๋นและประกาศเตี่ยนจินได้มีการปรับปรุงอยู่หลายครั้ง อันดับของเขาก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ทว่าเขาไม่เคยเปลี่ยนชื่ออีกเลย บางทีอาจเพราะช่วงเวลาที่เขาชื่นชอบที่สุดนั้นก็คือช่วงชีวิตที่เขาใช้ชื่อว่าถังซานสือลิ่ว
สาเหตุที่เฉินฉางเซิงมักคิดถึงถังซานสือลิ่วอยู่บ่อยๆ นอกจากเรื่องที่เขาเป็นเพื่อนกันแล้ว ยังเป็นเพราะถังซานสือลิ่วมีบทบาทสำคัญในสำนักฝึกหลวงอยู่เสมอ สิ่งที่เฉินฉางเซิง ซูม่ออวี๋ เจ๋อซิ่วกับเซวียนหยวนผ้อไม่ชำนาญ ถังซานสือลิ่วกลับเชี่ยวชาญ คำพูดที่พวกเขาไม่อาจพูดออกมาได้ กลับออกจากปากของถังซานสือลิ่วอย่างง่ายดาย มีหลายสิ่งที่พวกเขาอายเกินกว่าจะลงมือทำแต่ถังซานสือลิ่วไม่เคยรู้ความหมายของคำว่าอาย
พูดอีกอย่างหนึ่งคือ เป็นเพราะมีถังซานสือลิ่วอยู่จึงทำให้เฉินฉางเซิงกับสำนักฝึกหลวงผ่านวันเวลาในจิงตูได้อย่างสบาย
ถังซานสือลิ่วเป็นคนเชี่ยวชาญในการนำความสุขมาสู่เพื่อน และสร้างความลำบากให้ศัตรู
เพราะเขาเป็นหลานชายคนเดียวของตระกูลถังที่ร่ำรวยอย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่มีอะไรที่เขาหวาดกลัว โดยเฉพาะหลังจากเขาเข้าสู่สำนักฝึกหลวงที่เขาไม่ต้องเล่นเป็นคุณชายสูงศักดิ์สง่างามอีกต่อไป เขากลายเป็นคนเย่อหยิ่งไร้วินัยอย่างที่สุด บนถนนเสินเขาด่าเด็กสาวตัวน้อยจนร้องไห้ ในสวนร้อยหญ้าเขาเตะคนพิการ ไม่มีอะไรที่เขาไม่กล้าทำ
เขามีลักษณะที่เฉินฉางเซิงขาดแคลนที่สุด
สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเย่อหยิ่งไร้วินัยนั้นก็คือ ความหลงใหล ความเยาว์วัย อัตตา
ในการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู ถังซานสือลิ่วถูกจับตัวกลับเวิ่นสุ่ยและตอนนี้ก็ผ่านไปสามปีแล้ว
หลังจากอยู่ในจวนเก่ามาสองปีครึ่งเขาก็ถูกขังอยู่ในหอบรรพชนมาครึ่งปี
ความเย่อหยิ่งและขาดวินัยดูเหมือนจะไม่มีอีกต่อไป
ความหลงใหล ความเยาว์วัย อัตตาก็ดูเหมือนจะหายไป
เขามีใบหน้ามอมแมมผมเผ้ายุ่งเหยิง ไม่สนใจรูปลักษณ์ของตนเอง เสื้อผ้าสกปรกดูซึมกะทือ ไม่ต่างไปจากซากศพ ไม่มีเสียงใดออกมาจากปากราวกับเป็นใบ้
สิ่งเดียวที่เห็นได้บนร่างเขาก็คือความด้านชาไร้ชีวิต อันบ่งบอกถึงความท้อแท้สิ้นหวัง
ใครที่เห็นเขาย่อมคิดว่าเขาเป็นขอทานหรือดาบส
ไม่มีใครโยงเขากับคุณชายน้อยที่ยืนอยู่กลางบุปผาและสายตาชื่นชมของสาวน้อยจำนวนนับไม่ถ้วนในจิงตู
ยกเว้นเฉินฉางเซิง เพราะเขาเข้าใจเพื่อนคนนี้มากกว่าใคร เชื่อในตัวเขายิ่งกว่าใครทั้งนั้น
เขามั่นใจว่าต่อให้ตะวันจมลงสู่นรกไม่อาจลอยขึ้นอีก โลกนี้อยู่แทบจะดับสิ้น ถังซานสือลิ่วก็ไม่ซ่อนตัวร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่ม แต่จะเรียกนางโลมทั้งหมดในจิงตูมาสร้างความบันเทิงครั้งใหญ่ จากนั้นเขาก็จะนำคนรุ่นเยาว์ทั้งหมดที่มีค่าพอจะให้ต่อสู้ร่วมกับเขารวมถึงสมบัติมากมายเหลือจินตนาการและกุ้งมังกรครามอีกหลายคันรถ ขึ้นขี่ม้าที่เร็วที่สุดไปยังที่ซึ่งตะวันกำลังตก ถึงกับส่งเสียงสบถหยาบคายใส่ท้องฟ้าและร้องเพลงงี่เง่า
หากเฉินฉางเซิงมองเห็นภายในหอบรรพชนได้ เขาคงจะรู้ว่าวิธีคิดของเขานั้นถูกต้อง ดังนั้นเขาจึงคิดมากไปเอง ในอารามเต๋าเขาเคยบอกกับประมุขรองตระกูลถังว่า เขาเป็นห่วงว่าหากถังซานสือลิ่วไม่มีเบาะรองนั่งที่ดี เขาอาจเจ็บเข่าเพราะคุกเข่านานเกินไป
ถังซานสือลิ่วไม่ได้คุกเข่าด้วยซ้ำ
ไม่ว่าเขาจะดูเดียวดายเพียงใด ไม่ว่าจะดูสกปรกแค่ไหน ไร้ชีวิตชีวาเพียงใด เขาก็ไม่ได้คุกเข่า
เขาไม่ได้คุกเข่าบนเบาะแต่นั่งอยู่บนนั้น
แล้วก็ยังนั่งถ่างขา
เป็นท่านั่งที่ไร้ความสง่างามอย่างที่สุด
สองขาแยกถ่างเป้ากางเกงชี้ไปที่…ป้ายวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนตรงหน้า
นี่เป็นแผ่นป้ายวิญญาณของเหล่าบรรพชนตระกูลถัง บรรพบุรุษของเขา
‘แล้วอย่างไร’
‘หากเจ้าต้องการจะขังข้า ก็อย่าได้หวังว่าข้าจะให้ความเคารพเจ้า’
……
……
ถังซานสือลิ่วยังคงเป็นถังซานสือลิ่วในอดีต
ใช่แล้ว หลังจากถูกขังในหอบรรพชนเขาก็ตัดขาดจากข่าวคราวของโลกภายนอก นับประสาอะไรจะส่งจดหมายถึงเฉินฉางเซิง แม้แต่คนพูดด้วยยังไม่มี
ตามคำสั่งของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง ห้ามไม่ให้ใครพูดกับเขาทั้งนั้น คนเดียวในหอบรรพชนก็คือคนรับใช้ใบ้ที่มีหน้าที่ทำความสะอาด
นับจากวันนั้นมาถังซานสือลิ่วก็เลิกพูด
ไม่มีใครทำสิ่งที่เรียกว่าประท้วงเงียบได้ดีไปกว่าเขาอีกแล้ว
ไม่รู้ข่าวจากโลกภายนอก ไม่รู้ว่าอาการป่วยของบิดาเป็นอย่างไรหรือว่ามารดาทำอะไรอยู่ เป็นธรรมดาที่รู้สึกเป็นห่วง
แต่นี่ก็มอบเวลาให้ถังซานสือลิ่วทำการบำเพ็ญเพียรและขบคิดจนเกินพอ
บางทีเพราะหอบรรพชนเงียบเกินไปไม่มีใครมารบกวน หรือบางทีเพราะอาการป่วยของบิดาแย่ลงและไม่มีวี่แววจะดีขึ้น เขาจึงใช้เวลาแค่ครึ่งวันขบคิดปัญหาที่เขาสงสัยมาถึงสองปีได้อย่างชัดเจน ทำไมประมุขผู้เฒ่าถึงได้ทำเช่นนี้
สิ่งที่ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังเป็นที่รู้จักมากที่สุดในช่วงหลายร้อยปีที่ดูแลตระกูลคืออะไร
สายตาอันแหลมคม
ทั้งซูหลีและหวังผ้อเป็นข้อพิสูจน์ว่าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมีสายตาในการมองคนอย่างยอดเยี่ยม
หลังจากนั้นประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังก็มอบร่มกระดาษทองให้เฉินฉางเซิงตอนที่เขากำลังจะเข้าสวนโจว เรื่องนี้ย่อมไม่ใช่เพราะเฉินฉางเซิงเป็นเพื่อนกับถังซานสือลิ่ว หากแต่เป็นเพราะประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมองว่าเฉินฉางเซิงเป็นเหมือนกับซูหลีและหวังผ้อ และการเดิมพันนี้ก็ย่อมเสริมความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลถังกับนิกายหลวงอย่างมาก
เหตุใดเขาจึงพลันเปลี่ยนใจ
อย่างแรก ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกับซางสิงโจวเดินเส้นทางเดียวกันอย่างแท้จริง ซ่อนความร่วมมือกันเอาไว้เป็นเวลาหลายร้อยปี
เขาให้การยอมรับโดยปริยายให้ถังซานสือลิ่วเป็นเพื่อนกับเฉินฉางเซิงตั้งแต่แรก และลอบช่วยเหลือสำนักฝึกหลวงอย่างมากเพราะเฉินฉางเซิงเป็นศิษย์ของซางสิงโจว
ตอนนี้ศิษย์อาจารย์ได้แยกทาง ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังย่อมต้องคิดว่าจะสนับสนุนใคร
ในแง่ของเรื่องภายในตระกูลถัง ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังต้องตัดสินใจเรื่องผู้สืบทอด
ซางสิงโจวกับราชสำนักให้การสนับสนุนสาขารอง
เฉินฉางเซิงกับนิกายหลวงสนับสนุนสาขาหลักอย่างไม่ต้องสงสัย
ในการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู ประมุขรองตระกูลถังมีผลงานโดดเด่น ถังซานสือลิ่วก็รู้ดีว่าประมุขผู้เฒ่าชื่นชอบวิธีการอันเจ้าเล่ห์ไม่ยอมใครของอารอง มากกว่าวิธีการอันอ่อนโยนของบิดาตน ที่สำคัญบิดายังป่วยโดยไม่อาจรักษาได้ หากประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังเลือกสาขาหลักก็คือเลือกถังซานสือลิ่ว
ลูกชายที่ยังหนุ่มแน่นและมีวิธีการอันแยบยล หรือหลานชายที่มีศักยภาพสูงแต่ยังไม่เติบโตเต็มที่ จะเลือกใครดี
หากศึกษาประวัติศาสตร์ มองดูตำราเก่าแก่ ย่อมรู้ว่าจะเลือกอย่างไหน