ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 200 ค่ายกลพระราชวังหลี
“ที่แท้เจ้าก็ประสงค์จะสังหารข้ามาโดยตลอด”
ราชามารมองไปที่เฉินฉางเซิงก่อนเอ่ย “ข้านึกว่าหลังจากวันนั้น เจ้าก็ละทิ้งความคิดนี้ไปแล้ว”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “เคยละทิ้งความคิดก็มิได้หมายความว่าไม่อยากลองอีกครั้ง”
ราชามารเอ่ยอย่างหน่ายใจว่า “มิเสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ผู้ถูกถ่ายทอดวิชาจากซางสิงโจว ช่างเสแสร้งเก่งเสียจริง”
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “โอกาสในวันนั้นไม่ใคร่ดีนัก”
“แล้วเจ้ารู้สึกว่าโอกาสในวันนี้ดีนักรึ”
ราชามารมองไปที่เขา ยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “เจ้าคงจะแจ้งแก่ใจแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิขาวหรือว่ามู่ฮูหยินล้วนจะไม่เปิดโอกาสให้เจ้าได้สังหารข้าแน่”
“นี่ก็คือความเท่าเทียมที่พวกเจ้าว่าหรือ”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “หากต้องการรักษาความเท่าเทียมนับเป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่ง การเดินไต่เชือกมักจะมีจุดจบไม่สวยแน่นอน ไม่ว่าจักรพรรดิขาวหรือมู่ฮูหยินผู้ใดจะชนะหรือแพ้ ล้วนไม่มีทางยินยอมให้ข้าสังหารเจ้าแน่ ปัญหาก็คือในตอนนนี้พวกเขาเองต่างก็ยังไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะ”
ราชามารเอ่ย “เจ้าคิดว่าคนอย่างจักรพรรดิขาว เมื่อต้องต่อกรกับมู่ฮูหยิน ก็คงไม่ได้สนใจเรื่องอื่นใดอีกแล้วแน่หรือ”
เฉินฉางเซิงเงียบอยู่นาน ก่อนเอ่ย “ต่อให้นี่เป็นเจตนาของเขา ข้าเองก็คงยอมรับไม่ได้”
ยามที่อยู่ด้านในเทือกเขาลั่วซิง เขาใช้ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีทำลายค่ายกลกักกันนั้น แน่ชัดแล้วว่าจักรพรรดิขาวอยู่ด้านใน และได้รับคำตอบที่ดีที่สุดมา
เขาจึงส่งราชันแห่งหลิงไห่รวมไปถึงคนอื่นๆ และคนห้าเหล่าจากตระกูลถังกลับมายังเขตพระราชฐาน
หลังจากนั้นเขากับถังซานสือลิ่วก็เร่งติดตามกลับมา
ก็เนื่องด้วยเขาต้องการจะทำเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้น
คำตอบที่ดูราวกับจะสมบูรณ์เช่นนั้น มันก็ล้วนเป็นคำตอบที่ผู้อื่นให้มาทั้งสิ้น
เขาต้องการเขียนคำตอบของตัวเอง และไม่อาจเสแสร้งแกล้งทำได้
เขาต้องการสังหารราชามารให้สิ้น
“ไม่มีผู้ใดทราบว่าจักรพรรดิขาวสามารถหยุดยั้งเจ้าได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยตอนนี้เมื่อพิจารณาดูแล้ว เขาก็ไม่ได้หยุดยั้งท่าน”
ราชามารมองตาเขา ก่อนเอ่ยถามด้วยความหมายที่ลึกซึ้งว่า “ท่านเคยคิดหรือไม่ เหตุใดเขาต้องทำเช่นนี้”
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “บางทีอาจจะเป็นพวกเราเองที่คิดมากไป มันอาจจะไม่มีความเท่าเทียมนั้นอยู่เลยก็ได้ จักรพรรดิขาวเองก็ประสงค์อยากจะให้เจ้าตายเช่นกัน”
“ไม่สิ สาเหตุที่เขาไม่หยุดยั้งเจ้า นั่นเป็นเพราะเขาก็รู้ดีว่าเจ้าสังหารข้าให้ตายไม่ได้”
ราชามารมองไปยังผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ที่ยืนอยู่ด้านนอกบ้าน หัวเราะพลางเอ่ย “พวกเจ้าทั้งหมดรวมกัน ก็ล้วนสังหารข้าไม่ได้”
……
……
ในปีนั้นจักรพรรดิขาวเปิดฉากรบกับราชามาร ณ ทุ่งหิมะอย่างดุเดือดไปทั่วแผ่นดิน ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังถูกมู่ฮูหยินใช้ค่ายกลศิลาดวงดาวกักขังไว้หลายปี หลังจากที่เขาหลุดพ้นแล้วก็คงจะต้องการเวลาในการฟื้นคืนพละกำลัง อีกทั้งในเขตพระราชฐานยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ยังต้องการให้เขาไปจัดการ อาทิเช่นเรื่องการล้างแค้น
แต่เขาก็ถือว่าเป็นนักปราชญ์ที่แท้จริง เป็นราชันอหังการแห่งทิศตะวันตก หากว่าเขาต้องการหยุดยั้งเฉินฉางเซิงไม่ให้ไปสังหารราชามาจริงๆ ก็น่าจะยังมีอีกหลายวิธีที่จะใช้ในการต่อกรได้
เขากลับไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแค่มองเฉินฉางเซิงสั่งให้ราชันแห่งหลิงไห่รวมถึงคนอื่นๆ จากไป หลังจากนั้นก็มองไปยังเฉินฉางเซิงซึ่งขี่นกกระเรียนจากไป
นี่มันเป็นเพราะเหตุใดกันเล่า หรือจะเป็นอย่างที่ราชามารว่าเอาไว้จริงๆ
เฉินฉางเซิงคิดไม่ตกเลยว่าในวาจามั่นใจและสงบนิ่งของราชามาร กับทาาทีเฉยเมยที่ของจักรพรรดิขาวมีต่อตัวเขา สุดท้ายแล้วมันไปตกอยู่แห่งใดกัน
เขาเชื่อจริงๆ ว่าไม่ว่าผู้คุมกฎเผ่ามารหรือว่าคนของบรรพตทั้งแปด หรือต่อให้เป็นคนชุดดำที่ดำเนินไปที่ใดอย่างลึกลับ วันนี้ก็จะไม่มีทางปรากฏตัวแน่นอน
แม่น้ำภูเขานับหมื่นลี้ ต่อให้ผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์อยากจะบินข้ามผ่านไปก็ต้องใช้เวลากว่าครู่ใหญ่
ที่สำคัญก็คือ เขารู้ว่าผู้แข็งแกร่งจากเขามารเหล่านั้น วันนี้ล้วนมาที่นี่ไม่ได้แน่
ถ้าอย่างนั้น เบาะแสทั้งหมดก็ล้วนชี้ไปยังความเป็นไปได้อันลึกลับข้อนั้นข้อเดียว
เมื่อมองเห็นสีหน้าของเฉินฉางเซิง ราชามารก็รู้แล้วว่าเขาน่าจะเดาได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาจึงเอ่ยออกมาอย่างสงบนิ่ง “ตอนนี้เจ้าก็ยังยืนยันว่าจะสังหารข้าหรือ”
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “หากเป็นอย่างนั้นจริงๆ เช่นนั้นข้าก็ยิ่งต้องสังหารเจ้า แน่นอนว่า…ลำดับของเจ้าคงจะรั้งท้ายออกไปอีกหน่อย”
ราชามารเอ่ยถามอย่างสนใจว่า “เพราะด้วยเรื่องของเปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้นะหรือ”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ผู้ที่มาจากแดนไกลล้วนเป็นแขกทั้งสิ้น ตายเร็วหน่อยจะได้กลับบ้านเร็วหน่อย”
ขณะที่กำลังเริ่มบทสนทนานี้ ไม่มีผู้ใดฟังเข้าใจเลยว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกัน
คนที่ได้สติขึ้นมาเป็นคนแรกก็คือถังซานสือลิ่ว จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือด
เขาทราบดีถึงความเป็นจริงในสงครามเทพศักดิ์สิทธิ์ฉากนั้น รู้ดีว่าเปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้อย่างไร
ผู้ที่ได้สติต่อมาก็คือราชันแห่งหลิงไห่ จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสว่างไสวหาใดเปรียบ ราวกับเปลวไฟที่ร้อนแรงที่สุดแผดเผาลามเลียไปทั่วหล้า ตอนนี้จุดที่ลึกที่สุดก็ยังมีผลึกแก้วอยู่ เท่ากับว่าต่อให้อุณหภูมิสูงขึ้นเพียงใดก็ไม่สามารถทำให้พวกมันหลอมละลายได้
เขาก็เข้าใจถึงความหมายในบทสนทนาของราชามารกับเฉินฉางเซิงแล้ว แต่สีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขาไม่ได้มาจากการระอุขึ้นอย่างร้อนแรงของจิตสงครามเพียงอย่างเดียว แต่มาจากลมปราณของผลึกแก้วก้อนนั้นด้วย…ใช่แล้ว ผลึกแก้วก้อนนั้นไม่ได้เป็นวัตถุในดวงจิต แต่มันกลับมีอยู่จริงๆ
มันนั้นนำมาซึ่งอัคคีสวรรค์ แต่กลับไม่ถูกไฟนั้นหลอมละลาย คงเป็นหนึ่งในสิ่งของล้ำค่าของพระราชวังหลีในตำนานนั่นเอง
หลังจากนั้น ปรากฏลมปราณที่ยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์อย่างหาใดเปรียบขึ้นสามสาย มันเกิดจากนักพรตซือหยวน มุขนายกอันหลิน รวมไปถึงฮู้ซานสือเอ้อร์
ปรากฏกิ่งหลิวที่มืดครึ้มและวับวาวสะท้อนแสงขึ้นบนท้องฟ้า
ปรากฏกระดาษบางๆ ที่ดูคล้ายธงปลายแหลมขึ้นบนท้องฟ้า
ปรากฏตราประทับศักดิ์สิทธิ์ที่เรียบง่ายแต่ดูมีชั้นเชิงขึ้นบนท้องฟ้าเช่นกัน
กิ่งหลิวหมิง
แผนที่นทีบรรพต
ตราประทับเทียนวั่ย
……
……
ด้านในพระราชวังหลีนั้นจะมีมุขนายกเท่าใดก็ได้ แต่ผู้ที่ถูกเรียกขานว่าผู้ยิ่งใหญ่นั้นจะมีได้เพียงหกท่านเท่านั้น
ผู้ยิ่งใหญ่หกท่านนี้พักอาศัยอยู่ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านในพระราชวังหลี ต่างก็ปกป้องสิ่งล้ำค่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ล้ำค่าที่สุดของสำนักฝึกหลวง
สิ่งล้ำค่าเหล่านี้ บางทีอาจจะเป็นวัตถุประหลาดอย่างเดียวกันกับผลึกแก้วก้อนนั้นในมุมมองของราชันแห่งหลิงไห่ หรือไม่ก็คือ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นมาจากบรรพบุรุษนักปราชญ์รุ่นก่อนๆ ของสำนักฝึกหลวง
สิ่งล้ำค่าเหล่านี้ ล้วนเป็นรากฐานที่สำคัญของค่ายกลพระราชวังหลี หรืออาจจะพูดได้ว่าเป็นการมีอยู่อันเฉียบแหลมอย่างแท้จริง
ต่อให้เป็นนักปราชญ์เยี่ยงมู่ฮูหยิน ยามอยู่ที่พระราชวังหรือยามต้องเผชิญหน้ากับลมปราณหลายเช่นนี้ในปีนั้น ก็ต้องให้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
ในวันนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นเหมาชิวอวี่ที่มีวิทยายุทธ์สูงส่ง รวมไปถึงกำแพงอิงหวาที่เขาดูแลรับผิดชอบอยู่จะไม่ได้ปรากฏขึ้น แต่มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว
เมื่อมองไปยังอาวุธศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นที่อยู่บนท้องฟ้า ก็รู้สึกได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ลงมาดั่งเม็ดฝนและลมปราณที่ร้อนแรงเหล่านั้น ด้านนอกบ้านเกิดเสียงอุทานด้วยความตกใจขึ้นยกใหญ่
เสียงอุทานเหล่านี้เต็มไปด้วยความเคารพยำเกรงและปรารถนาอย่างแรงกล้า อีกทั้งในความรู้สึกส่วนลึกยังมีความเคารพศรัทธาที่บ้าคลั่งอยู่อีกด้วย
สีหน้าของราชามารในที่สุดปรากฏความเคร่งขรึมออกมา
นี่ก็คือค่ายกลพระราชวังหลีหรือ
ผู้ใดเป็นผู้ควบคุมการเล่า
เฉินฉางเซิงอยู่ที่นี่
ในฐานะใต้เท้าสังฆราช ไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์ควบคุมค่ายกลพระราชวังหลีนี้ไปมากกว่าเขาแล้ว
มือขวาของเขากำลังจับกระบี่เล่มนั้นอยู่แน่น
กระบี่ไร้ราคีที่คมกริบที่สุดในโลกนี้ยังไม่ได้ออกจากฝักด้วยซ้ำ
สิ่งที่ปรากฏออกมาตอนนี้คือเส้นแสงสีขาวบริสุทธิ์มากมาย
เส้นแสงสีขาวเหล่านั้นเปล่งประกายลอดออกมาจากหว่างนิ้วเขา สาดส่องไปยังบันไดศิลาที่อยู่เบื้องหน้าบ้านหลังนี้ รวมไปถึงโลหิตที่ค่อยๆ กลายเป็นสีดำเหล่านั้นด้วย
ศิลาสีขาวที่กลมมากก้อนนั้น ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าตามลมปราณศักดิ์สิทธิ์สี่สายนั้น
ค่ายกลสีดำทองสลับซับซ้อนที่ฝังอยู่บนศิลาสีขาวนั้น งดงามยิ่งนัก
นี่ก็คือศิลาดาวตกนั่นเอง
ครานั้นที่ยังอยู่ ณ ตำหนักพรตเวิ่นสุ่ย หลังจากที่นักพรตไป๋สื่อถูกสังหาร สิ่งล้ำค่าของสำนักฝึกหลวงชิ้นนี้ก็ถูกปกปักรักษาไว้โดยเฉินฉางเซิงก่อนชั่วคราว
เมื่อศิลาดาวตกลอยขึ้นไปอยู่บนอากาศ มันนำมาซึ่งลมปราณที่ดูออกเลยว่าผ่านอะไรมาโชกโชนนัก ตัวมันเองเริ่มดึงดูดเอาสรรพสิ่งที่อยู่รอบด้านเข้ามา
ลมเหมันต์มากมายและศิลาที่แตกละเอียดถูกดึงดูดเข้าไป หรือแม้แต่กฎเกณฑ์สวรรค์และฟ้าดินก็เริ่มเปลี่ยนรูปบิดเบี้ยวไปแล้วเช่นกัน
หลุมสีดำที่ดูลึกหลุมนั้นปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ศิลาดาวตกลอยเคว้งอยู่ในอากาศอย่างเงียบๆ
แผนที่นทีบรรพตและกิ่งหลิวสีเข้มรวมไปถึงสิ่งล้ำค่าของสำนักฝึกหลวงต่างก็แผ่กระจายลมปราณศักดิ์สิทธิ์ออกมา พวกมันเริ่มหมุนรอบหลุมสีดำนั้น หลังจากนั้นก็รวมตัวเข้าด้วยกัน
เส้นสีทองที่เปล่งประกายวับวาวดึงดูดสายตาห้อยลงมาราวกับม่านนที
บ้านหลังนั้นทั้งหลังถูกปกคลุมไว้อยู่ข้างใน ไม่มีผู้ใดสามารถออกไปได้อีกต่อไป
มือขวาของเฉินฉางเซิงผละจากด้ามกระบี่ เขาจับไปที่ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์แน่น ก่อนจะชี้ไปยังร่างนั้นที่อยู่ในจุดที่ลึกสุดของตัวบ้าน
อำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ยากจะจินตนาการถึงปริมาณ งดงามหาใดเปรียบ และร้อนแรงอย่างหาที่สุดไม่ได้ ราวกับคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้าใส่