ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 202 ใกล้เพียงตาเห็น แต่ห่างไกลกว่าหลายล้านปีแสง
กระบี่เจ็ดร้อยกว่าเล่มนั้นล้วนเป็นกระบี่ลือชื่อในโลกหล้า
เหล่าผู้ที่เคยครอบครองล้วนแข็งแกร่งสะท้านโลกา เป็นผู้กล้าที่บุกทะลวงเข้าไปในอาณาจักรมาร
ในสายตาของพวกเขา ยมโลกนั้นไม่นับว่าเป็นอะไรเลย
กระบี่แห่งมรสุมไม่ได้หยุดยั้งการโจมตี พวกมันโจมตีอย่างต่อเนื่อง
เพียงแต่ครั้งนี้ กระบวนกระบี่ไม่ได้บ้าคลั่งเหมือนคราแรก แต่กลับหนักแน่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ตำแหน่งระหว่างกระบี่เองก็ค่อนข้างชัดเจนขึ้น เชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่นมากยิ่งขึ้น
เนื่องจากในขณะเดียวกันกับที่พวกมันทำลายเกราะที่สิบเจ็ดของโลกยมบาลนั้น กระบี่อาทิตย์อัสดงในมือของราชามารเองก็สะบั้นลงมาแล้ว
กระบี่สิบกว่าเล่มที่อยู่ด้านหน้าสุด ต่างก็ส่งเสียงกรีดร้องอย่างโกรธแค้น ทั้งยังถูกกระแทกเสียจนเอนเอียงจึงบินหนีไป กระบี่หลายเล่มหักลงพร้อมกับกรีดร้อง
นี่เป็นครั้งแรกที่กระบี่ของเฉินฉางเซิงหักนับตั้งแต่ออกจากสวนโจวมา นอกเสียจากการปะทะกับราชามารที่เทือกเขาหิมะในครั้งนั้น
กระบี่เหล่านี้และดวงจิตของเขาต่างก็เชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งตั้งแต่แรก เพราะดวงจิตของเขาได้รับการกระทบกระเทือน สีหน้าจึงซีดเผือด
ดังนั้นเมื่อเขาเปลี่ยนกระบวนกระบี่แล้ว กระบี่มรสุมก็รวมตัวกับเป็นค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซี
ต่อให้กระบี่อาทิตย์อัสดงแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่สามารถทำลายให้ค่ายกลนี้ได้ ราชามารจะไปยังที่แห่งใดได้อีก
……
……
กระบี่กว่าร้อยเล่มที่พุ่งทะยานราวกับลมฝนทำลายเกราะทั้งสิบเจ็ดแห่งยมบาลนี้ลง สีหน้าของราชามารไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
แต่หลังจากค่ายกลที่อยู่บนท้องฟ้าปรากฏกาย ในดวงตาของเขาแสดงความตกตะลึงออกมา
บนหอทัศนะ เฉินฉางเซิงอาศัยค่ายกลนี้เอาชนะเขาไปได้
ในตอนนี้เขาย่อมทราบแล้วว่านี่เป็นค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีที่โด่งดังในตำนาน
หากไม่อาศัยพลังขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือธรรมชาติ ราชามารต้องไม่มีทางทำลายค่ายกลนี้ได้แน่นอน
แต่ก็ยังไม่มีความกลัวปรากฏขึ้นในแววตาเขา
กระบี่อาทิตย์อัสดงตกลงมาแล้วจริงๆ สะบั้นเอาเสียงพิณไร้รูปร่างเหล่านั้นเสียจนขาดกระจุย กลับแตะต้องกระบี่เจ็ดร้อยกว่าเล่มที่ตกลงมาอยู่ในอากาศราวกับพายุฝนไม่ได้เลย
แต่กระบี่นี้ของราชามารมิได้จงใจฟันไปยังเฉินฉางเซิง และก็ไม่ได้จงใจปะทะกับค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซี
ตั้งแต่ตอนแรกเริ่ม เขาก็ไม่ได้คิดจะเป็นศัตรูกับเฉินฉางเซิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการปะทะกระบี่เลย
แม้ว่าเขาจะมีความเย่อหยิ่งในตัว แต่ก็ไม่ได้มีความมั่นใจถึงขนาดแข่งขันในด้านกระบี่กับเฉินฉางเซิง
กระบี่ที่ถูกกระแทกจนลอยหายไปรวมไปถึงถูกสะบั้นตกลงไป ก็เนื่องจากดึงดันทำลายเกราะทั้งสิบเจ็ดแห่งยมบาล พลังของพวกมันไม่เพียงพอ จึงถูกทำลายลงโดยกระบี่อาทิตย์อัสดง
ในความเป็นจริงแล้ว กระบี่นี้ของเขาจงใจทำลายพื้นดิน
กระบี่อาทิตย์อัสดงตกลงบนพื้นดิน
ดวงอาทิตย์ตกดวงหนึ่งลับลงสู่ขอบฟ้า
รัตติกาลจึงได้มาเยือนแล้ว
และนี่ก็คือการวาดผืนดินให้เป็นกลางคืน
เงาร่างของราชามารถอยกลับเข้าสู่ความมืดแห่งรัตติกาล
……
เมื่อดวงอาทิตย์ตกลงสู่ทะเลซีไห่ รัตติกาลก็ปกคลุมไปทั้งดินแดน แต่รัตติกาลในเวลานี้ดูไม่เหมือนความจริงนัก แม้แต่บริเวณโดยรอบของตัวบ้านก็ล้วนไม่สามารถปกคลุมได้ทั้งหมด ภายใต้การเข้าต่อกรอย่างทรงพลังด้วยแสงสว่างของค่ายกลพระราชวังหลี มันก็ถอยร่นไปด้านหลังเรื่อยๆ
เฉินฉางเซิง ทราบดีว่าราชามารไม่ได้จะจากไป แต่กำลังถอยร่นไปอยู่ในจุดที่ลึกเข้าไป
แต่เขากลับไม่ได้ตามติด เนื่องจากต้องการควบคุมค่ายกลเอาไว้ แล้วก็เนื่องจากในใจเขายังคงมีความระมัดระวังอย่างเต็มเปี่ยม
นักเล่นพิณตาบอดก็ไม่ได้ติดตามไป แต่ความคิดของเขาเห็นได้ชัดว่าแตกต่างจากเฉินฉางเซิง
มื้อที่ผอมแห้งนั้นจรดลงบนสายพิณ เกิดเสียงพิณดังขึ้น
เสียงพิณนั้นก็คือสัญญาณ
การโจมตีของเขาและเฉินฉางเซิง ทำให้ราชามารชะงักไปได้ชั่วครู่
หรือจะบอกว่าเพียงแค่พริบตาเดียว แต่นั่นก็เพียงพอทำให้หญิงสาวที่ขายเครื่องประทินโฉมและคนอื่นๆ ได้สติกลับมา
เครื่องประทินโฉมทั้งสีชมพูและสีขาวกระจายไปทั้งบ้านราวกับไม่เสียดายเงินเสียอย่างนั้น
ผู้ทำนายดวงชะตาและพ่อค้ายืนอยู่ท่ามกลางผงประทินโฉม และอาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นเกราะกำบัง ทั้งยังผินหน้าไปยังเหรียญทองแดงและกระบะทรายอย่างตั้งใจ
นักการหกคนสะบัดโซ่ที่แบกเอาไว้บนไหล่ไปทางตัวบ้าน
สีแห่งรัตติกาลเดิมทีไร้รูปร่างมองไม่ชัด เมื่อถูกโซ่เหล็กหกเส้นทะลุผ่าน แล้วก็ดึงกลับ ค่อยๆ มัดแน่นขึ้น ราวกับได้กลายเป็นผ้าสีดำผืนหนึ่งจริงๆ
ท่ามกลางคนห้าเหล่า ชายชราสองคนที่ขายขนมลูกอมงาถือได้ว่าเคร่งขรึมที่สุด แต่ทักษะของพวกเขานั้นกลับลึกล้ำที่สุด
พวกเขาเป็นลูกหลานของตระกูลจักรพรรดิ และฝึกฝนวิชาสุริยันแผดเผาที่ดั้งเดิมที่สุด มีพลังการทำลายล้างวิชาเผ่ามารมากที่สุด
เกิดเสียงดังโครมใหญ่ เส้นแสงตะวันส่องประกายนับไม่ถ้วนออกมาจากหมัดทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยพลังแห่งจักรพรรดิและมั่นคงนั้น
สถานที่ที่ถูกรัตติกาลแห่งความตึงเครียดครอบงำอยู่พลันปรากฏหลุมพรางลึกขึ้นมาสองแห่ง
เกิดเสียงฉีกขาดที่แทบจะทำให้ผู้คนเสียวฟันขึ้นมา
มันคือเสียงที่ใกล้จะฉีกขาดของรอยแยกมิติที่แท้จริง
มิเสียแรงที่เป็นผู้แข็งแกร่งแห่งตระกูลถังเมืองเวิ่นสุ่ยเลย เมื่อรวมพลังกันแล้วก็สามารถฉีกเอารัตติกาลผืนนี้ของราชามารลงได้
……
……
ก่อนหน้าที่จะเกิดแสงสว่างของค่ายกลพระราชวังหลี สีแห่งรัตติกาลที่อยู่ในตัวบ้านค่อยๆ ถอยร่นไปทางด้านหลัง แต่กลับถอยหนีไปไม่ได้ ดูเหมือนว่ามันกำลังจะพังทลายในไม่ช้า
ผู้แข็งแกร่งแห่งตระกูลถังเมืองเวิ่นสุ่ยได้บุกเข้าไปในตัวบ้านแล้ว
ในที่สุดกระบี่ของเฉินฉางเซิงก็เริ่มขยับแล้วเช่นกัน เขาเข้าไปในค่ำคืนแห่งรัตติกาลนั้น
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงของศิลาทองคำที่ดังกังวาน
เสียงนี้มาจากกระบี่เล่มหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้าสุด
หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังที่ยากจะจินตนาการ และของสิ่งหนึ่งที่มีความแข็งแกร่งยิ่งนัก ราวกับไม่ใช่ของที่มีอยู่บนโลกมนุษย์
ความระแวดระวังภัยอย่างรุนแรงปรากฏขึ้นในดวงตาเขา
เขามีการเตรียมความพร้อมล่วงหน้า หลังจากการสนทนาก่อนหน้านั้นกับราชามาร ก็ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังจนถึงขีดสุด
แต่ที่เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนก็คือ การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ของอีกฝ่าย ไม่ได้มีสัญญาณใดบอกก่อนล่วงหน้า
เหล่าผู้แข็งแกร่งของตระกูลถังเมืองเวิ่นสุ่ยได้เข้าไปสู่ความมืดแห่งรัตติกาลแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายชราสองคนที่ขายขนมลูกอมงา
“ถอย!”
นักเล่นพิณตาบอดได้ยินเสียงตะโกนของเฉินฉางเซิง
เขาไม่เข้าใจ เห็นอยู่ตรงหน้าว่าฝ่ายเราจะฉีกทึ้งฉากม่านแห่งรัตติกาลได้อยู่แล้ว จะประสบความสำเร็จในการสังหารราชามารได้อยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องถอยกันเล่า
แต่เขารู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว จึงไม่ลังเลปล่อยควันสีเขียวอ่อนแล้วหลบฉากออกไป
ชายชราสองคนที่ขายขนมลูกอมงาก็ได้ยินเสียงตะโกนของเฉินฉางเซิงแล้วเช่นกัน พวกเขาอยากจะถอยกลับมาแต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว
ในแผนการที่วางไว้ก่อนหน้านั้น วิชาสุริยันแผดเผาของพวกเขาถือเป็นวิธีสำคัญที่สุดที่จะสังหารราชามารได้ ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ใกล้กับรัตติกาลมากที่สุด
พลังน่าสะพรึงกลัวที่ราวกับน้ำหลากได้กลืนกินเส้นแสงสว่างที่ร้อนแรงของหมัดของพวกเขาไปเสียสิ้น หลังจากนั้นก็เริ่มโจมตีร่างกายของพวกเขา
พลังนั้นบริสุทธิ์ถึงเพียงนี้ แต่กลับน่ากลัวถึงเพียงนั้น ราวกับมาจากแดนเทพก็ไม่ปาน มันถึงกับทำให้พวกเขาไม่มีความกล้าต้านทานได้
สิ้นเสียงตะโกนของเฉินฉางเซิง เขาก็พุ่งตัวไปด้านหน้าทันที
วิชาที่เขาใช้คือเพลงกระบี่สันดาป แสดงเอาย่างก้าวหยั่งเทวาออกมา ความรวดเร็วราวกับสายฟ้า ฉับพลันก็มาอยู่เบื้องหน้าสีรัตติกาลแล้ว
และในช่วงเวลาที่พลังของน้ำหลากนั้นกำลังจะถาโถมเข้าสู่ร่างกายของชายชราสองคนที่ขายขนมลูกอมงา กระบี่ของเขาก็ลงมือไปก่อนแล้ว
ท่ามกลางเสียงกระทบของกระบี่มากมาย เขายื่นมือออกไปคว้าหัวไหล่ชายชราสองคนเอาไว้ หลังจากนั้นก็ถอยร่นไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
พลังที่น่ากลัวและไร้รูปร่างนั้นกระจายตัวอยู่ทั่วทุกหนแห่งในตัวบ้าน แม้แต่เศษฝุ่นที่เล็กที่สุดก็ราวกับว่ามีน้ำหนักมากดุจขุนเขาก็มิปาน
เฉินฉางเซิงล้มลงบนพื้น ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย สีหน้าซีดเผือด
มันเป็นเพียงการเผชิญหน้ากัน กระทั่งไม่สามารถเห็นคู่ต่อสู้ได้ด้วยซ้ำ ผู้แข็งแกร่งของตระกูลถังล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส
แม้แต่ดวงจิตของเฉินฉางเซิงเองก็ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงเช่นกัน
ทันใดนั้นเสียงกระบี่ก็พลันหายไป มรสุมกระบี่ก็บินกลับเข้าไปในอากาศ ลอยคว้างอย่างนิ่งๆ อยู่รอบกายเขา
หากมีผู้ใดสังเกตอย่างละเอียดหน่อย อาจจะพบได้ว่าในตอนนี้ กระบี่เจ็ดร้อยกว่าเล่มในตอนแรกนั้นได้ถูกทำลายไปสิบกว่าเล่มแล้ว
กระบี่ร้อยกว่าเล่มที่อยู่ด้านหน้าสุดนั้นกำลังสั่นสะเทือนด้วยความเร็วสูง เห็นได้ชัดว่าพวกมันกำลังโกรธจัด ทั้งยังมีความรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย
ด้านในของรัตติกาลนั้นคือสิ่งใดกันแน่
……
……
ส่วนลึกของรัตติกาลที่มืดมนนั้นเกิดจุดแสงสว่างขึ้น
จุดที่มีแสงสว่างนั้นไม่ได้สว่างเป็นพิเศษ เรียกได้ว่ามืดสลัวเสียด้วยซ้ำ กลับทำให้คนรู้สึกได้ถึงความตกตะลึง
เนื่องด้วยทุกคนในที่นั้นมีความรู้สึกเดียวกัน แสงนั้นดูราวกับใกล้เพียงตาเห็น แต่ที่จริงแล้วกลับอยู่ไกลออกไปกว่าหลายล้านลี้
จุดของแสงสว่างที่สามารถมองเห็นได้ที่อยู่ใกล้ออกไปกว่าล้านลี้ หากอยู่ตรงหน้า มันจะสว่างเพียงใดกันเล่า
เมื่อผู้คนคิดถึงจุดนี้ได้ จุดของแสงสว่างนั้นก็ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้การมองเห็นของพวกเขา มันเปล่งประกายแสงสว่างออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แสงสว่างเหล่านั้นเหมือนจริงเช่นนี้ เจิดจ้าเช่นนี้ บาดตาเช่นนี้ กระทั่งแสงสว่างที่อยู่ภายในค่ายกลพระราชวังก็ยังถูกปล้นชิงเอาความสว่างไปเสียหมด
นักบวชของอารามเต๋าซีหวง ป้องดวงตาตนก่อนจะตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด เขาล้มลงกับพื้นแล้วเริ่มกลิ้งเกลือกไปมา