ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 206 ทดสอบกระบี่ (2)
เปี๋ยยั่งหงเคยนำเอาภาพของสงครามเทพศักดิ์สิทธิ์ฉากนั้นใส่เข้าไปในความคิดของเฉินฉางเซิง
ภาษาของดินแดนเซิ่งกวงมีความคล้ายคลึงกับภาษาของมังกร
ยามเขายังเล็กเขาเคยท่องคัมภีร์บทสุดท้ายของบทกวีวิถีเต๋าที่วัดเก่าเมืองซีหนิง เคยเรียนรู้กับท่านอาจารย์มาก่อนว่าตัวอักษรเหล่านี้อ่านอย่างไร
ภายในถ้ำใต้สะพานอุดรใหม่ เขาเคยเรียนภาษามังกรกับมังกรดำอยู่นาน
ราชามารสามารถฟังภาษาของทูตสวรรค์เซิ่งกวงเข้าใจ เขาเองก็สามารถฟังเข้าใจอยู่บ้าน
ถึงแม้ว่าจะไม่แน่แน่ชัดนัก แต่เขารู้ดีว่าคำพูดที่ทูตสวรรค์เซิ่งกวงเอ่ยกับตนมิใช่หมายความว่าเป็นผู้ขโมยเพลิง
ความหมายของประโยคนั้นหรือแม้แต่กระทั่งพยางค์นั้น น่าจะหมายความถึงทายาทของแสงสว่างหรือหมายถึงผู้สืบทอดแห่งแสงสว่างนั้นเอง
นี่หมายความว่าอย่างไร
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ
อารมณ์ที่อยู่ในแววตาของทูตสวรรค์เซิ่งกวงมีการเปลี่ยนแปลง เย็นชา ดุร้าย และน่ากลัวหาใดเปรียบ อาจจะไม่ใช่อารมณ์ที่ต้องการสื่อถึงเขา มันกลับคล้ายกับเป็นความรู้สึกเฝ้าระวังอย่างเสียมากกว่า
ทันใดนั้น ทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้นก็มายังด้านนอกของมรสุมกระบี่ที่อยู่เต็มท้องฟ้า
ไร้ซึ่งเสียงใด ทั้งยังมองไม่เห็นถึงการเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับเขาไม่ได้ขยับ แต่กลับไม่ได้อยู่ในที่เดิมที่เคยอยู่
ภาพฉากนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกหวาดกลัว ราวกับว่าเขาสามารถละเลยกฎเกณฑ์สูงสุดแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ได้เสียอย่างนั้น
ทูตสวรรค์เซิ่งกวงมองไปยังเฉินฉางเซิงที่อยู่ด้านในฝนกระบี่ แล้วยกหอกแสงในมือขึ้น
เฉินฉางเซิงยืนอยู่เบื้องหน้านักเล่นพิณตาบอด
นักเล่นพิณตาบอดรับรู้ได้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร
สายลมยามค่ำคืนทำให้ผมสีดอกเลาของเขาโบกปลิว
นิ้วมือของนักเล่นพิณตาบอดจับลงบนสายพิณ
เสียงพิณที่หนาวเหน็บเข้ากระดูกและวังเวงดังขึ้นอีกครั้ง และในบทเพลงนั้นซ่อนความไม่ยินดีเป็นอย่างยิ่งเอาไว้
ในปีนั้นหากไม่ใช่เพราะถูกโจมตีโดยหัวหน้าพรรค ยามนี้เขาก็คงเข้าสู่อาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วเป็นแน่ ต่อให้ยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นี้ แต่อย่างไรก็สามารถต่อสู้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
ไม่เต็มใจเสียจริง!
แต่…แล้วอย่างไรเล่า!
ทันใดนั้นเสียงพิณก็สูงขึ้น ความไม่ยินดีไม่เต็มใจทั้งหลายแปรเปลี่ยนเป็นจิตสงคราม พุ่งตัวถาโถมเข้าสู่ทูตสวรรค์เซิ่งกวงที่ยืนอยู่ด้านนอกค่ายกลนั้น
เมื่อถูกกระตุ้นด้วยเสียงพิณ กระบี่กว่าร้อยเล่มที่อยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนdHส่งเสียงกังวาน พวกมันสั่นไหวด้วยความเร็วสูง กระทั่งไม่สามารถมองให้ชัดเจนได้ด้วยตาเปล่า
เสียงลมหนาวกรีดร้อง หอบเอาเม็ดทรายสีเหลืองบนพื้นดินขึ้นมา แต่กลับมีระยะห่างไม่ถึงหนึ่งฉื่อด้วยซ้ำ
หนึ่งฉื่อจากพื้นดินเต็มไปด้วยเสียงพิณและเจตจำนงกระบี่
นักเล่นพิณตาบอดแผดเผาเอาปราณแท้ทั้งหมด แล้วระเบิดเอาพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตนออกไป
เจตจำนงค่ายกลของค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีถูกเร่งปฏิกิริยาจนถึงจุดสูงสุดแล้วในเวลานี้
ทูตสวรรค์เซิ่งกวงกลับไม่ได้สนใจเลย เขาไม่ได้หลบหลีก ยังคงยืนอยู่กับที่ มองไปที่เฉินฉางเซิงอย่างเงียบๆ
เสียงพิณและเจตจำนงกระบี่เหล่านั้นไม่รู้ว่าไปยังที่แห่งใดแล้ว
เฉินฉางเซิงและนักเล่นพิณตาบอดเอาแต่จ้องมองไปยังทูตสวรรค์เซิ่งกวง เพื่อต้องการแน่ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไร
ต่อให้ทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นี้มีร่างกายที่สมบูรณ์แบบและยากจินตนาการ เหตุใดจึงไม่ทิ้งร่องรอยบาดแผลอะไรไว้เลยเล่า
เหตุใดเจตจำนงกระบี่ที่อยู่เต็มท้องฟ้าและเสียงพิณจึงไม่ได้ตกลงบนกายเขา
ทำได้อย่างไรกัน
จู่ๆ เฉินฉางเซิงก็มองเห็นแสงวาบขึ้นมาในส่วนลึกของรัตติกาล
แสงนั้นเบาบางยิ่งนัก คล้ายกับร่องรอยหลงเหลือหลังจากค่ำคืนที่มีการสุมไฟในที่แจ้ง
แต่เส้นแสงเน่นกลับชัดเจนยิ่งนัก เห็นได้ชัดเลยว่ามีลำดับหรือว่าทิศทางที่แน่นอน
เขาคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หรือว่าตอนที่เจตจำนงกระบี่ที่อยู่เต็มท้องฟ้าและเสียงพิณลงมือนั้น ทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นี้ถอยร่นเข้าไปอยู่ในส่วนลึกของรัตติกาลแล้ว หลังจากนั้นค่อยกลับมายังที่แห่งนี้อีกครั้ง
ก็เฉกเช่นเดียวกันกับเขาที่เพิ่งมาจากประตูด้านนอกตัวบ้าน
ผู้แข็งแกร่งจากต่างดินแดนที่มีความเร็วอย่างยากจินตนาการได้ จะต้องเอาชนะอย่างไรกันเล่า
……
……
ทูตสวรรค์เซิ่งกวงเพ่งมองไปยังกระบี่ในมือของเฉินฉางเซิงอย่าเงียบๆ แววตาเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
การเปลี่ยนแปลงนี้เชื่องช้ายิ่งนัก แต่กลับรับรู้ได้ถึงความรู้สึกยิ่งใหญ่ คล้ายกับทะเลได้กลายเป็นทุ่งนา ทะเลดวงดาวได้กลายเป็นสุสานแห่งแสง
อารมณ์ที่รุนแรง เย็นชา และน่ากลัวนี้ ได้กลายเป็นความเฉยเมยอีกครั้ง เพียงแต่ความเฉยเมยในครั้งนี้มีบางอย่างที่อธิบายไม่ได้
เมื่อมองไปยังดวงตาของทูตสวรรค์เซิ่งกวง เฉินฉางเซิงรู้สึกหนาวเย็นเล็กน้อย
แต่นั่นมิใช่เป็นเพราะหวั่นกลัว แต่เป็นผลกระทบอันน่าพรั่นพรึงที่เหลือทิ้งไว้ในจิตใจเขาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน
ในตอนที่เขาอายุสิบขวบ เกิดเสียงคำรามของสัตว์ร้ายมาจากเทือกเขากูเฟิงลูกนั้นในสุสานเมฆา
ศิษย์พี่อวี๋เหรินที่คอยโบกพัดให้เขาอยู่ข้างเตียง บางครั้งก็หันกลับไปดูภูเขาที่อยู่ห่างไกล
เฉินฉางเซิงจดจำได้ชัดเจนนัก ทุกครั้งที่ศิษย์พี่อวี๋เหรินหันกลับไป ในแววตาเขาก็จะปรากฏอารมณ์เช่นนี้
เมื่อทูตสวรรค์ยกหอกแสงขึ้นมาแทงไปยังมวลกระบี่ที่อยู่เต็มท้องฟ้า
กระบี่ทุกเล่มแน่นอนว่าต้องเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง ค่ายกลกระบี่หมุนวนราวกับเมฆา มันปิดผนึกสวรรค์และโลกมนุษย์อย่างแน่นหนา
เกิดเสียงดังโครมใหญ่ เม็ดทรายสีเหลืองพลันลอยล่องขึ้นสู่ด้านบน ทำลายระยะห่างหนึ่งฉื่อพอดี
ดูเหมือนว่าพื้นทั้งหมดในลานบ้านสูงขึ้นเล็กน้อย
และดูเหมือนว่าร่างกายของเฉินฉางเซิงและนักเล่นพิณตาบอดจมลงสู่พื้นเล็กน้อย
ด้านใต้ของพื้นดินนั่นคือสิ่งใดกัน นั่นคือนรกภูมิหรือกรงขังอันศักดิ์สิทธิ์กันแน่
สายลมหวนพัดมาถึง พวกมันถูกเสียงพิณกรีดออกเป็นเสียง
นักเล่นพิณตาบอดก้มศีรษะลง มือทั้งสองข้างร่ายรำไปบนสายพิณ บาดแผลตรงไหล่ด้านซ้ายปริออก โลหิตสดกำลังเริงระบำ
ดวงจิตของเฉินฉางเซิงเชื่อมโยงเข้ากับค่ายกลกระบี่ สีหน้าของเขาจู่ๆ ก็ซีดขาวยิ่งกว่าเดิม
หอกแสงนั้นอยู่ด้านนอกของมวลกระบี่ที่อยู่เต็มท้องฟ้า
แต่ในวินาทีถัดไปนั้นเอง ในส่วนที่ลึกที่สุดของมวลกระบี่ที่อยู่เต็มท้องฟ้า จู่ๆ ก็มีหอกแสงที่คมกริชและสว่างไสวโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า
เมื่อมองไปยังหอกแสงที่สว่างไสวตรงหน้า เฉินฉางเซิงถึงได้รู้ว่าค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีนั้นแทบจะไม่สามารถต้านทานการโจมตีของอีกฝ่ายได้เลย!
เกิดเสียงแผ่วเบาดังปังเสียงหนึ่ง!
สายพิณของพิณโบราณขาดออกจากกัน มันขดตัวราวกับมังกรยักษ์กำลังกลืนกินนทีลงไป พวกมันพัวพันเข้ากับหอกแสงนั้นอย่างแน่นหนา
ทั้งสิบนิ้วของนักเล่นพิณตาบอดที่จรดลงบนสายพิณ จู่ๆ ก็แหลกละเอียดทันทีด้วยพลังอันน่ากลัวจากสายพิณนั้น
เฉินฉางเซิงขวางกระบี่รับมือต้านทาน
เกิดเสียงแผ่วเบาดังปังเสียงหนึ่ง ส่วนกลางของฝักกระบี่ซ่อนคมต้านรับเอาปลายแหลมของหอกเอาไว้
หลังจากนั้นก็เกิดเสียงเสียดสีที่ทำให้คนรู้สึกเสียวฟันขึ้นมา
นั่นไม่ใช่เสียงเสียดสีที่เกิดจากปลายหอกและฝักกระบี่ซ่อนคม
นั่นคือเสียงของกระดูกที่สั่นสะท้านและดังขึ้นไม่หยุดในกายเขา
ปลายหอกที่ยื่นออกมาจากความว่างเปล่านั้น นอกจากแสงสว่างแล้ว ก็ดูไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
มีเพียงเฉินฉางเซิงและนักเล่นพิณตาบอดเท่านั้นที่รับรู้ได้ถึงน้ำหนักที่แบกรับไว้ด้านบน
น้ำหนักนั้นไม่สามารถใช้บรรพตนทีมาเปรียบเทียบได้อีกแล้ว
น้ำหนักนั้นก็คือสวรรค์และโลกมนุษย์
และนี่ก็คือพลังแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์
มนุษย์จะต้านทานได้อย่างไร
เฉินฉางเซิงมีร่างไร้ราคีที่ได้รับการชำระไขกระดูกจนถึงแก่นแท้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังเคยอาบโลหิตของมังกรแท้ หากจะว่ากันตามความแข็งแกร่งของร่างกายแล้ว ถือได้ว่าหาได้ยากยิ่งในโลกนี้
แต่เขาก็ยังไร้หนทางต้านทานพลังที่ส่งออกมาจากด้านในของปลายหอกนี้ได้ เมื่อสถานการณ์ตรงหน้าย่ำแย่แล้ว จนแทบจะเรียกได้ว่าเข้าใกล้ความตายอย่างยิ่ง
มวลกระบี่เชื่อมโยงกับจิตใจของเขาสัมผัสได้ถึงความอันตรายที่เขากำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ แต่กลับไร้หนทางช่วยเหลือ
พวกมันต้องต้านทานหอกแสงในมือของทูตสวรรค์เซิ่งกวงเอาไว้ ความกดดันที่ต้องรับไว้มากยิ่งกว่า
ลมฝนอลหม่าน
ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีก็มีความอลหม่านเช่นกัน
หากไม่ใช่เป็นเพราะทูตสวรรค์เซิ่งกวงมีความระมัดระวังในวิธีการของเฉินฉางเซิง บางทีในตอนนี้ค่ายกลกระบี่อาจจะถูกหอกแสงที่มีอำนาจร้ายแรงนี้ทำลายเสียจนสิ้นแล้วก็ได้
ต่อให้เป็นอย่างนี้จริง เฉินฉางเซิงและนักเล่นพิณตาบอดก็ไม่สามารถยื้อเวลาให้นานไปกว่านี้ได้อีก
ราชามารมองไปที่ภาพฉากนี้อย่างเงียบงัน ไม่ได้การกล่าวคำลาอย่างเหมาะสมตามหลักสุนทรียศาสตร์ของเมืองเสวี่ยต่อใต้เท้าสังฆราช เนื่องจากเขาทราบดีว่า เฉินฉางเซิงยังคงมีวิธีการอื่นในการรับมืออีก
ไม่ว่าจะเป็นสวนโจวหรือโลกใบไม้คราม หรือว่าอย่างอื่นใด
ก่อนที่วิธีการรับมือนั้นจะเผยออกมา เขาเชื่อมั่นว่าเฉินฉางเซิงจะไม่ตาย