ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 207 แสงสว่างมาถึง
เฉินฉางเซิงไม่ได้เข้าไปสู่โลกใบไม้คราม และก็ไม่ได้เข้าไปในสวนโจว
เขาไม่แน่ใจว่าทูตสวรรค์เซิ่งกวงจะมองทะลุผ่านกฎเกณฑ์ของช่องว่างได้เหมือนราชามารในปีนั้นหรือไม่
หากไม่ถึงเวลาสุดท้าย เขาก็จะไม่ตัดสินใจอย่างนี้
หากต้องเผชิญสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ เขาควรจะทำเยี่ยงไรเล่า
เขาได้ทำในสิ่งที่ผู้ใดก็ไม่คาดคิด
เขาหลับตาลง
นี่ไม่ใช่การดูถูก
และก็ไม่ใช่การยอมจำนน
นี่เป็นการแสดงออกถึงความตั้งมั่นและรวมไปถึงกำลังลองหาวิธีการในการแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้า
เงาร่างของทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้นยังคงอยู่ภายนอกมวลกระบี่ ในมือถือหอกแสงหันแทงมายังเขา
เขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่ภาพที่แท้จริง
ในด้านของเวลาแล้ว ย่อมไม่อาจอาศัยการมองเห็นด้วยตามาตัดสินภาพที่แท้จริงได้ ทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้นยังคงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
ก่อนหน้านี้ในส่วนลึกของรัตติกาล เวลาต่อมาก็มายังจุดที่บอบบางที่สุดในค่ายกล หลังจากนั้นก็กลับไปอยู่ ณ จุดเดิม
ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ ทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้นไม่รู้ว่าโจมตีค่ายกลกระบี่ที่อยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนไปแล้วกี่ครั้ง
เพียงแต่ความเร็วของเขานั้นเร็วมาก ราวกับสายฟ้าที่ไร้แสงสว่าง หากมองด้วยตาเปล่าแทบจะสัมผัสถึงการเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้เลย
สายตาของเฉินฉางเซิงก็มิอาจติดตามความเร็วของเขาไปได้ ทำได้เพียงอาศัยคมกระบี่ในการต้านทาน ในขณะเดียวกันก็สัมผัสไปด้วย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่มีทางแน่ชัดในตำแหน่งของอีกฝ่ายได้เลย
เช่นนั้นวิธีที่เขาเตรียมไว้รับมือกับทูตสวรรค์เซิ่งกวงนี้ก็คือ…แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่กลายเป็นสร้อยข้อมือไข่มุกศิลา…แน่นอนว่าแทบจะสัมผัสกับร่างกายของอีกฝ่ายไม่ได้เลย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงหลับตาลงเสียดื้อๆ ไม่ได้ใช้สายตาในการกวาดจับร่องรอยของอีกฝ่ายอีกต่อไป แต่กลับใช้ดวงจิตกระจายตัวออกไป
ดวงจิตที่กระจายตัวออกไปในรัตติกาลที่อยู่รอบด้าน พวกมันเป็นราวกับตาข่ายผืนหนึ่ง
เขายังคงไม่แน่ชัดในตำแหน่งของทูตสวรรค์เซิ่งกวง แต่สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงร่องรอยการเคลื่อนที่ของอีกฝ่ายจากตาข่าย
แสงที่พุ่งมาอย่างตรงๆ นั้นคือแสงที่ไม่สามารถโค้งงอได้ มันโดดเด่นออกอย่างนั้น
เฉินฉางเซิงหลับตาลง ก้มหน้าลงเล็กน้อย มือทั้งสองข้างกุมกระบี่เอาไว้แน่น รอคอยให้ร่องรอยเหล่านั้นค่อยๆ เปิดเผยกฎเกณฑ์ออกมา หรือจะพูดได้ว่าช้าลงหน่อย
นักเล่นพิณตาบอดราวกับคาดเดาได้แล้วว่าเขาประสงค์จะทำสิ่งใด เขาเวียนศีรษะเล็กน้อย สายพิณที่ขาดขยับไปตามนิ้วมือที่เต็มไปด้วยโลหิต พวกมันลอยล่องตามค่ายกลกระบี่ไป คล้ายกับอสรพิษตัวเล็กไร้ร่างนับไม่ถ้วนที่พยายามหยุดยั้งแสงสว่างเหล่านั้นเอาไว้ ทำให้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของทูตสวรรค์เซิ่งกวงช้าลง
ที่น่าเสียดายก็คือระดับขั้นของทั้งสองฝ่ายมีความห่างชั้นที่ยากข้ามผ่านได้
ทูตสวรรค์เซิ่งกวงมีสีหน้าเฉยชายามที่ยืนอยู่ด้านนอกของมวลกระบี่ เศษเสี้ยวแสงสว่างนับไม่ถ้วนสว่างขึ้นรอบทิศทางหลังจากนั้นก็หายไป
ต่อให้ดวงจิตของเฉินฉางเซิงจะสงบนิ่งแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่สามารถหยุดยั้งเขาเอาไว้ได้อย่างแท้จริง
สายพิณของนักเล่นพิณตาบอดไม่สามารถตามติดเงาร่างของเขาไปได้
ยามสู้รบ เขาถือว่าเป็นแสงสว่างและอสนีอย่างแท้จริง
หอกแสงที่มีพลังอันไร้ขีดจำกัด โจมตีค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีไม่หยุด
เสียงกระบี่โรมรันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าของเฉินฉางเซิงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว ห้วงแห่งจิตสั่นสะเทือน เขาได้รับบาดเจ็บภายในไม่เบาเลย
แต่ว่าเขาก็ยังคงไม่ยอมแพ้ เนื่องจากเห็นได้ชัดว่า พลังที่ถูกส่งมาจ้าหอกแสงนั้นเล็กลงไปมาก
…พลังเล็กลงก็เนื่องด้วยต้องไล่ตามด้วยความเร็วสูงสุด
การตัดสินใจของทูตสวรรค์เซิ่งกวงระมัดระวังเป็นอย่างมาก
ระมัดระวังก็เนื่องด้วยตื่นตัว
อย่างนั้นก็หมายถึงว่าวิธีการรับมือของเฉินฉางเซิงนั้นถือว่ามีหลักการอยู่มาก
แต่ยังคงเป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก
ที่น่าเสียดายก็คือเนื้อหาที่คล้ายกันก่อนหน้า
ระดับขั้นของทั้งสองฝ่ายมีความห่างชั้นกันมากนัก
เศษเสี้ยวแสงสว่างที่หลงเหลืออยู่กว่าร้อยดวงเดี๋ยวก็ปรากฏขึ้นเดี๋ยวก็ลับหายไป คล้ายกับดวงดาวที่ถูกเมฆหมอกบดบังกำลังกะพริบดวงตาอยู่
ภายในระยะเวลาอันสั้นหอกแสงที่อยู่ในมือของทูตสวรรค์เซิ่งกวงยังคงกรีดแทงขึ้นไปบนมวลกระบี่ที่อยู่เต็มท้องฟ้าสี่ร้อยกว่าครั้ง
ในขณะเดียวกัน แสงที่ทะลุผ่านความว่างเปล่ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินฉางเซิง ปลายหอกที่ถูกเขาเอากระบี่ขวางต้านทานเอาไว้ ก็พุ่งตัวมาอยู่ตรงหน้าเขาในระยะใกล้กว่าครึ่งฉื่อ
กระบี่นับไม่ถ้วนถูกทำให้กระเทือนจนบินหายไป พวกมันส่งเสียงโกรธเกรี้ยว ไม่ยินดี และจนใจอย่างช่วยไม่ได้
หอกแสงด้ามนั้นดูคล้ายกับเชื่องช้า แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับแทงเข้าไปในส่วนลึกของมวลกระบี่ที่อยู่เต็มท้องฟ้าอย่างต้านทานไม่ได้
มองดูแล้วคล้ายกับแม่น้ำสายใหญ่หนึ่งสายที่ทะลุออกมาจากภูเขา
ทั้งยังคล้ายกับแสงสว่างงดงามที่ทะลุออกมาจากเมฆา
ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีใกล้จะแตกสลายแล้ว
เฉินฉางเซิงและนักเล่นพิณตาบอดใกล้จะสิ้นชีวิตแล้ว
……
……
ทันใดนั้น
แสงสว่างที่งดงามยิ่งกว่าพลันปรากฏขึ้นในห้วงรัตติกาล
มันคือเปลวไฟโบราณที่มาจากแดนไกล คล้ายกับต้องการจะแผดเผาสรรพสิ่ง
แม้กระทั่งรัตติกาลหรือแสงสว่างของทูตสวรรค์เซิ่งกวง ล้วนสามารถกลายเป็นเชื้อเพลิงของมันได้ทุกเมื่อ
หลังจากนั้น แสงกระบี่ที่ราวกับทางช้างเผือกก็สาดส่องเข้ามาในดวงตาของทุกคน
หากเอ่ยว่าหอกแสงของทูตสวรรค์เซิ่งกวงคือแม่น้ำสายใหญ่ที่ทะลุภูเขาออกมา
ถ้าอย่างนั้นแสงสว่างจากกระบี่นี้ก็คงเป็นทางช้างเผือกที่ตกลงมาจากท้องฟ้า
พื้นผิวแม่น้ำที่สงบนิ่งสะท้อนเงาเปลวไฟสีทองส่องสว่าง เส้นแสงที่ดึงดูดสายตาเจิดจ้าพร่างพราวนับไม่ถ้วน
ในรัตติกาลจู่ๆ ก็เกิดประกายไฟนับไม่ถ้วนขึ้น หลังจากนั้นก็ตกลงสู่พื้นดิน
หากพิศมองอย่างละเอียด ก็จะสามารถมองเห็นว่าประกายไฟนั้นเชื่อมต่อกันเป็นเส้นตรง
การต่อสู้ฉากหนึ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ากำลังดำเนินไป
ประกายไฟเหล่านั้นคือร่องรอยของการต่อสู้ในครั้งนี้
……
……
ภายนอกของมวลกระบี่ที่อยู่เต็มท้องฟ้า เงาร่างทูตสวรรค์เซิ่งกวงหายตัวไปแล้ว
หอกแสงที่อยู่เบื้องหน้าของเฉินฉางเซิงก็หายไปเช่นกัน
เกิดประกายไฟนับไม่ถ้วนขึ้นในความมืดของท้องฟ้ายามค่ำคืน มองดูคล้ายกับดอกไม้ไฟ งดงามเสียจนทำให้คนประทับใจ
แต่ที่ทำให้คนรู้สึกจับใจอย่างแท้จริงก็คือ ทูตสวรรค์เซิ่งกวงถูกกดดันเสียจนต้องเปิดเผยตำแหน่งที่แท้จริง หลังจากนั้นก็เริ่มเปิดฉากรบ
แสงกระบี่ที่มาพร้อมกับแสงสว่างนับไม่ถ้วนเป็นของผู้ใดกันเล่า
เปลวไฟชนิดใดกันสามารถทำให้รัตติกาลส่องสว่างขึ้นมาได้
บนดินแดนแห่งนี้ยังมีผู้ใดตามทันความเร็วของทูตสวรรค์เซิ่งกวงอีกหรือ
เฉินฉางเซิงไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องเหล่านี้
ในความเป็นจริงเมื่อได้สัมผัสถึงแสงสว่างนั้นเขาก็รู้คำตอบทั้งหมดแล้ว
แสงนั้นสว่างเกินไป เงาร่างของทูตสวรรค์เซิ่งกวงหมองลงหลายส่วน หอกแสงนั้นก็กลายเป็นแท่งโลหะแล้ว
บนโลกใบนี้มีเพียงเพลงกระบี่แบบเดียวเท่านั้นสามารถสว่างได้ถึงเพียงนี้
บนโลกใบนี้มีเพียงเฉินฉางเซิงเท่านั้นที่เคยพบเห็นเพลงกระบี่นี้
นั่นก็คือเพลงกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดที่แท้จริงของสถานศึกษาหนานซี หรืออาจจะพูดได้ว่าเป็นเพลงกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินใหญ่นี้เลย
เพลงกระบี่จรัสแสง
……
……
ผู้ที่สามารถใช้เพลงกระบี่จรัสแสงได้ มีเพียงสวีโหย่วหรงเท่านั้น
แล้วก็มีเพียงนางเท่านั้นที่มีความเร็วทัดเทียมกับทูตสวรรค์เซิ่งกวง มีเพลิงแท้ของหงส์สวรรค์ที่สามารถแผดเผารัตติกาลได้
ท่ามกลางผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถทำให้ทูตสวรรค์เซิ่งกวงเปิดเผยร่างที่แท้จริงได้
เสี่ยวเต๋อทำไม่ได้ เซียวจางทำไม่ได้ เหลียงหวังซุนทำไม่ได้ นักเล่นพิณตาบอดก็ทำไม่ได้เช่นกัน
หากมองจากตรงนี้ สวีโหย่วหรงช่างทำได้สมกับเป็นหงส์สวรรค์เสียจริง
การปรากฏตัวของนางทำให้สถานการณ์ในที่นั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงในทันที แต่ก็ยังคงไม่เพียงพอเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ในตอนสุดท้าย
เพลงกระบี่จรัสแสงช่างแข็งแกร่งถึงที่สุด แต่ยังคงไม่สามารถข้ามผ่านช่องว่างระหว่างระดับขั้นได้
ไม่ใช่ผู้ใดที่ล้วนจะเหมือนกับหวังผ้ออย่างนั้น ที่ขบคิดอยู่ใต้ต้นแปะก๊วยอยู่นานสิบกว่าวันเพื่อทำความเข้าใจกระบี่ หลังจากนั้น ก็สามารถตัดฟ้าดินออกจากกันด้วยกระบี่อันเดียวเหนือทะเลสาบลั่วเหอ
พลังกดดันที่ยากจะอธิบายตกลงมาจากท้องฟ้าสู่พื้นโลก คล้ายกับบรรพตลูกใหญ่จริงๆ
ทูตสวรรค์เซิ่งกวงไม่มีทางทำลายเพลงกระบี่จรัสแสงได้ แต่สามารถใช้กฎเกณฑ์หลักการสวรรค์โลกมนุษย์กดดันได้
แสงสว่างนั้นจู่ๆ ก็หมองลงไปหลายส่วน
เม็ดทรายสีทองกำลังเริงระบำ สายลมกรีดร้อง ลมปราณอันน่ากลัวกำลังแผ่กระซ่านไปทั่วทุกหนแห่ง
ในลมพายุทรายนั้น สามารถมองเห็นหญิงสาวในอาภรณ์สีขาวลอยล่องอยู่ด้านหลัง ราวกับบุปผาสีขาวที่กำลังปลิดปลิวออกจากกิ่งไม้
ในช่วงเวลาอันสำคัญนี้ เฉินฉางเซิงยังคงหลับตาอยู่
ดวงจิตของเขาติดตามทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้นไป เส้นสายที่ซับซ้อนนับไม่ถ้วนค่อยๆ เติมเต็มภาพที่อยู่ตรงหน้าให้กลายเป็นทะเลสาบผืนหนึ่ง
บ้านทั้งหลังล้วนอยู่ภายในทะเลสาบผืนนี้
เมื่อเพลงกระบี่จรัสแสงของสวีโหย่วหรงลงมือ เขาก็รับรู้ได้ทันที
เขารับรู้ได้ถึงตำแหน่งที่อยู่ของทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้น
ทุ่งหิมะทั้งหมดพลันลุกโหมแผดเผาขึ้นในเวลาเดียวกัน
ลมปราณแท้ทั้งหมดหลั่งไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อสักครู่ เขายังอยู่ภายในมวลกระบี่ที่อยู่เต็มท้องฟ้า
ต่อมา เขาก็ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าของทูตสวรรค์เซิ่งกวง
หลังจากนั้น กระบี่ของเขาก็แทงเข้าไป