ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 212 เคยเดินบนทางที่เจ้ามา
ก่อนหน้านี้ไม่นาน จักรพรรดิขาวกลับไปยังเมืองของตน
หลังจากนั้น ก็กลับมาถึงเขตพระราชฐานของตน
แต่มู่ฮูหยินไม่อยู่ที่นั่น
เมื่อมองไปยังหอทัศนะอันเย็นเยียบไร้ผู้คนและตำหนักศิลาที่เงียบงันนั่น จักรพรรดิขาวก็เลิกคิ้วขึ้นทันที
เลิกคิ้วขึ้นไม่ได้หมายความว่าประหลาดใจหรือเกินความคาดหมาย มันอาจจะหมายถึงว่ารู้สึกสนใจเรื่องบางอย่าง
จักรพรรดิขาวดำเนินไปถึงรั้วศิลา กำลังยื่นมือออกไปลูบคลำความรู้สึกเย็นเยือกที่ไม่เคยได้สัมผัสมาหลายปีแล้ว มองไปยังด้านล่างเห็นศิลาแตกหักออกเป็นก้อนใหญ่ หอจิงลั่วที่แตกต่างจากหลายปีก่อนโดยสิ้นเชิง เขาย้อนคิดถึงเรื่องบางอย่างด้วยท่าทีสงบนิ่ง ในใจลอบวางแผนเรื่องบางอย่างอยู่
บนโลกนี้มีเรื่องราวน้อยมากสามารถทำให้เขารู้สึกประหลาดใจได้
หลายคนคิดว่า เขาน่าจะต้องรีบร้อนตามหาภรรยาของตนให้พบ แล้วยึดเอาเขตพระราชฐาน รวมไปถึงเมืองและอาณาจักรที่เคยเป็นของตนคืนมา
แต่กลับไม่ใช่ เขาไม่ได้รีบร้อนตามหาภรรยาของตน แต่กลับยืนอยู่ข้างรั้วและรอคอยอย่างสงบนิ่ง
รอคอยผลลัพธ์เกิดขึ้นหลังจากที่เรื่องบางอย่างได้เกิดขึ้นแล้ว
รอคอยเรื่องราวบางอย่างที่ตนหวังจะได้เห็นมันเกิดขึ้น
เขามองไปยังดินแดนของตนอย่างเงียบๆ มองไปยังฟ้าดิน หลังจากนั้นสายตาก็ทอดตกลงบนบ้านหลังนั้นในเมืองซีเฉิง
รัตติกาลและแสงสว่างที่อยู่เหนือตัวบ้าน ไม่ได้ดูสะดุดตานักในโลกแห่งความเป็นจริง เขาจะมองไม่เห็นได้อย่างไร
แต่นี่มันยังไม่เพียงพอ ต่อให้เงาร่างของทูตสวรรค์ที่อยู่ด้านในกลุ่มแสงนั้นในรัตติกาลชัดเจนขึ้นมาแล้ว ยังคงไม่เพียงพอ
ต่อมาเขาก็ได้ยินเสียงพิณ ได้ยินเสียงกระบี่ เห็นว่ารูปปั้นศิลาที่อยู่ในเงาลึกของรัตติกาลนั้นค่อยๆ ลืมตาขึ้น
จักรพรรดิขาวเลิกคิ้วขึ้น รู้สึกสนใจยิ่งนัก เริ่มมีจิตสังหารเกิดขึ้น แต่ไม่รู้ว่าจิตสังหารนี้มีต่อใคร
ใต้เท้าสังฆราชและเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ทำให้เขาได้พบกับประชาชนอีกครั้ง แน่นอนว่าก็ต้องสามารถทำให้คนต่างเผ่าปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนได้เช่นกัน
เส้นแสงสองสายฉีกรัตติกาลออก ทำลายค่ายกลพระราชวังหลี และพุ่งตัวออกไปในท้องฟ้า
ผู้คนทั้งเมืองไป๋ตี้ล้วนมองเห็นภาพนี้
สายตาของเขามองตามการดำเนินของเส้นแสงนั้นขึ้นไป สุดท้ายก็ตกลงในชั้นเมฆผืนนั้นที่อยู่บนสุด
เขาไม่ได้มองตำแหน่งที่เส้นแสงนั้นพุ่งเข้าไปในชั้นเมฆ แต่กลับมองเลยตำแหน่งนั้นออกไปไกลหลายสิบลี้
ตำแหน่งนั้นอยู่ด้านตะวันตก ต่อให้มีระยะห่างเพียงแค่หลายสิบลี้ แต่ยังคงเอนเอียงไปทางทิศตะวันตก
จักรพรรดิขาวถอนใจเล็กน้อย
……
……
หลังจากกลุ่มเมฆที่รูปร่างคล้ายกับพยัคฆ์ปรากฏในท้องฟ้า มู่ฮูหยินก็หยุดการเคลื่อนไหวทันที
ทะเลเมฆกลับคืนสู่สถานการณ์ปกติอีกครั้ง สวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงถลาลงในเทือกเขาที่อยู่ตรงข้ามกับแม่น้ำแดง ทูตสวรรค์เซิ่งกวงกลายร่างเป็นเส้นแสงหนึ่งติดตามไป
มู่ฮูหยินไม่ได้สนใจทางด้านนั้นอีกต่อไป นางเอาแต่มองไปยังกลุ่มเมฆขาวนั้นอย่างเงียบๆ
“เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงอย่างไรก็ต้องตาย แต่ก็คิดว่าท่านคงไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก เพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับท่าน”
ก้อนเมฆกลุ่มนั้นก็นั้นต่อให้เหมือนพยัคฆ์มากเพียงใด แต่สุดท้ายก็ยังคงเป็นแค่กลุ่มเมฆ แน่นอนว่าไม่สามารถตอบคำถามได้
แล้วก็ไม่รู้ว่าประโยคที่นางกล่าวมาเมื่อครู่ต้องการจะเอ่ยถึงใคร
“ชาตินี้ทั้งชาติท่านมักจะชอบเร้นกายอยู่หลังม่านทุกเรื่องราวเสมอ ให้ผู้อื่นรบกันไปมาอยู่ที่ฉากหน้า ตราบจนกระทั่งท่านรู้สึกว่าสามารถเก็บเกี่ยวผลที่สุกงอมได้แล้วจึงปรากฏตัวออกมา”
มู่ฮูหยินเอ่ยอย่างยิ้มเยาะว่า “ในฐานะที่เป็นสามีภรรยากัน ข้าจะไม่รู้เท่าทันความคิดของท่านได้อย่างไร แล้วข้าจะให้ท่านหลอกใช้ข้าได้อย่างไร”
เมฆขาวที่คล้ายกับพยัคฆ์อย่างมากก้อนนั้นค่อยๆ สลายตัวไป
สีหน้าของมู่ฮูหยินเฉยชาขึ้นอีกครั้ง
……
……
ท่ามกลางกลุ่มเทือกเขาเกิดเสียงลมขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน
ต้นไม้เทียนซู่ต้นยักษ์เอนไหวต่อเนื่องตามแรงลม กิ่งก้านที่อยู่สูงก็หักโค่นตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ราวกับพายุฝนก็มิปาน
ส่วนลึกของลำต้นไม้ที่ใหญ่ยักษ์หาใดเปรียบได้เกิดเสียงครึกโครม ฟังดูน่ากลัวอย่างผิดปกติ
นักบวชและทหารที่ได้รับมอบหมายให้มาคุ้มกันที่อยู่ด้านในวัดเทียนซู่ เมื่อได้เห็นภาพฉากนี้ พวกเขาตกใจเสียจนสีหน้าซีดขาว และเอาแต่ตะโกนก้องไปรอบทิศทาง
ลำแสงสองสายทอดทะลุผ่านระหว่างกิ่งใหญ่ของต้นไม้เทียนซู่ ทำให้เกิดเปลวไฟจำนวนนับไม่ถ้วน ร่วงลงมาราวกับดาวตก
หากมิใช่เพราะของบำรุงของต้นไม้เทียนซู่เดิมทีก็คือเพลิงเถื่อนที่อยู่ใต้พิภพ บางทีในตอนนี้มันอาจจะลุกโหมเผาไหม้ขึ้นมาแล้วก็ได้
ด้วยการแกว่งไกวของต้นไม้เทียนซู่ เกิดลมปราณเพลิงเถื่อนอันร้อนแรงแผดเผาหาใดเปรียบ ใบไม้และกิ่งไม้ที่กระจัดกระจายออกไปสูงเทียมฟ้า ทำให้เกิดโพรงขนาดใหญ่ไร้ที่เปรียบขึ้นมาบนชั้นเมฆ
เกิดเสียงดังโครมใหญ่ เส้นแสงสองสายนั้นในที่สุดก็มาบรรจบกัน จากนั้นก็แยกจากกัน
เงาร่างสองเงาปะทะเข้ากับกิ่งไม้ที่หนาหนักมากกว่าสิบท่อน สุดท้ายก็กระแทกลงกับลำต้นของต้นไม้เทียนซู่เข้าอย่างแรง ทำให้เกิดโพรงลึกขึ้นมาสองโพรง
บนปีกของสวีโหย่วหรงมีบาดแผลที่เกิดจากอัคคีและโลหิตสีทอง บนชุดนักพรตเต๋าของเฉินฉางเซิงก็เต็มไปด้วยโลหิตเช่นกัน
พวกเขามองไปยังสภาพแวดล้อมโดยรอบ ต่างก็รู้สึกคุณตายิ่งนัก แต่ในระยะเวลาอันสั้นก็ไม่ทันได้คิดให้ละเอียดอะไร
ตามแสงที่ทอดตกลงมาจากท้องฟ้า ทูตสวรรค์เซิ่งกวงค่อยๆ ลงมาหยุดอยู่บนพื้นดิน หอกแสงที่อยู่ในมือนั้นเล็กบางกว่าในตอนแรกนัก เห็นได้ชัดถึงคราบโลหิตและบาดแผลที่อยู่ด้านบนนั้น
เฉินฉางเซิงยกกระบี่ในมือขึ้น ก่อนเข้ามายืนอยู่เบื้องหน้าของสวีโหย่วหรง
กระบี่ไร้ราคีเคยปะทะกับหอกแสงนั้นมาแล้วถึงสี่ครั้ง ด้ามกระบี่ไม่ได้รับความเสียหาย แต่ร่างกายของเขาเองใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว มือขวาของเขาสั่นเทาอย่างต่อเนื่อง
เห็นได้ชัดว่า การตัดสินใจของสวีโหย่วหรงผิดพลาดอย่างร้ายแรง
นางคงคิดอยากจะอาศัยเพลิงเถื่อนของต้นเทียนซู่มาเสริมพลังอัคคีหงส์ของตน ในขณะเดียวกันก็อาศัยจิตวิญญาณบรรพบุรุษของเผ่าปีศาจมากดดันจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นี้
แต่จิตวิญญาณบรรพบุรุษเผ่าปีศาจที่อยู่ด้านในต้นเทียนซู่นั้นกลับไม่ได้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ต่อการมาถึงของทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นี้ ราวกับไม่ยอมรับในสิ่งนี้ตั้งแต่แรกก็มิปาน ที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือเพลิงเถื่อนที่ต้นเทียนซู่เหล่านั้นแผ่กระจายออกมาจากกิ่งก้านใบ กลับถูกทูตสวรรค์เซิ่งกวงดึงดูดรับเอาไปเสียหมด หลังจากนั้นเขาก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้น นี่มันเป็นเพราะเหตุใดกันเล่า
สภาพของสวีโหย่วหรงในตอนนี้ดูดีกว่าเฉินฉางเซิง สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย แต่แววตากลับดูเฉยเมยเป็นอย่างมาก
เฉินฉางเซิงค่อนข้างกังวลใจ ทั้งยังรู้สึกไม่เข้าใจ ในใจเขาลอบคิดว่าเส้นทางแห่งจิตปลอดโปร่งนั้นเก่งกาจเพียงนี้จริงๆ หรือ เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดนางจึงสามารถสงบนิ่งได้ถึงเพียงนี้
เขาไม่ทันได้ขบคิดปัญหาเหล่านี้
ทูตสวรรค์เซิ่งกวงก็เดินเข้ามาใกล้แล้ว แผ่ความกดดันออกมาราวกับทะเลดวงดาวที่กว้างใหญ่มหาศาล
……
……
เมื่อเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงตกอยู่ในสถานะยากลำบากในเทือกเขาลึก สถานการณ์ในเมืองไป๋ตี้ก็ตกอยู่ในภาวะอันตรายเช่นกัน
เหมาชิวอวี่ยังคงอยู่ในเมืองหลวง ค่ายกลพระราชวังหลียังคงไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะกักขังเมฆหมอกที่อยู่ในรัตติกาลกลุ่มนั้นไว้เป็นเวลานานแล้ว ในที่สุดก็ปรากฏเค้าลางที่ส่อให้เห็นถึงการพังทลาย
รัตติกาลที่เต็มไปด้วยความเย็นยะเยือกลอยออกมาจากในตัวบ้านยังเงียบๆ ม้วนตัวเองถาโถมเข้าใส่ร่างกายของถังซานสือลิ่ว
ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์สำนักฝึกหลวงเปล่งประกายสาดแสงอยู่ในมือของถังซานสือลิ่ว มันยังคงควบคุมค่ายกลพระราชวังหลีอยู่ ในตอนนี้เขาไม่สามารถแบ่งความสนใจไปที่อื่นได้ ทั้งยังไม่สามารถถอยร่นไปที่อื่นได้
ราชันแห่งหลิงไห่รวมไปถึงมุขนายกคนอื่น ปราณแท้และดวงจิตในเวลานี้ก็ล้วนตกอยู่ภายใต้การช่วยประคับประคองค่ายกลเช่นกัน ต่อสู้โรมรันอยู่กับทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้นที่อยู่ด้านในเมฆหมอก
นักเล่นพิณตาบอดผู้นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องถอยร่นออกจากตัวบ้าน ชั่วขณะนี้ยังอาการไม่ดีขึ้น
ผงเครื่องประทินหอมกระจายเต็มท้องฟ้าอีกครั้ง พลองนทีอัคคีทำลายรัตติกาลโดยตรง
หยาอี้และเด็กสาวปรากฏตัวเบื้องหน้าถังซานสือลิ่ว หยุดยั้งการโจมตีของราชามารเอาไว้ได้
แต่พวกเขาไม่สามารถหยุดยั้งรัตติกาลลึกล้ำที่รบกวนการเชื่อมโยงระหว่างไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์และอาวุธล้ำค่าหลายชนิดที่เหลือได้
ต้องพูดว่า เวลาและเป้าหมายที่ราชามารเลือกจะลงมือสมบูรณ์แบบยิ่งนัก
ภายใต้การโจมตีอันน่าสะพรึงกลัวของทูตสวรรค์ท่านนั้น ค่ายกลพระราชวังหลีที่ไม่สมบูรณ์นักตกอยู่ในอันตราย ในที่สุดตอนนี้ก็ยื้อต่อไปไม่ไหวแล้ว
จู่ๆ ก็ได้ยินเพียงเสียงฟ้าร้องลั่นบนท้องฟ้าจากที่อันแสนไกล เสียงปริแตกช่างก้องกังวานยิ่งนัก
ก็เหมือนกับสัตว์ประหลาดตัวน้อยแสนซุกซนในเผ่าปีศาจเผ่าใดเผ่าหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปกว่าร้อยลี้ได้ทำแจกันลายครามใบหนึ่งที่พระบิดาใช้หนังสัตว์กว่าสามร้อยจินแลกมาจากอาณานิคมเผ่ามนุษย์แตกเสียจนสิ้น
แจกันลายครามนั้นแตกลง มีของเหลวที่คล้ายกับแสงหลั่งไหลออกมา มันนำมาซึ่งรัตติกาลเต็มฟ้า ล้อมรอบ เชือดเฉือน หลังจากนั้นก็สะบั้นความสว่างที่เปล่งประกายออกมาจากค่ายกลพระราชวังหลีเสียสิ้น