ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 22 เสียงตะโกนในลมหิมะสร้างความสับสน
ผู้พิทักษ์ชราพยักหน้าให้คนนอกหอบรรพชน
การเล่นไพ่นกกระจอกในหอบรรพชนยังดำเนินต่อไป เมื่อถังซานสือลิ่วจั่วไพ่ทิ้งไพ่ ส่งเสียง ‘เรียง’ กับ ‘ตอง’ ไปพลางพูดไปพลาง
ในสนทนาเจื้อยแจ้วสองสามประโยคจะมีคำสั่งออกมาหนึ่งประโยค คำสั่งไปถึงทั้งตระกูลถัง
คำสั่งของเขานั้นชัดเจนเจาะจงอย่างมาก ชัดเจนจนคนงานที่โง่ที่สุดก็ยังรู้ว่าหน้าที่ของตนคืออะไร เจาะจงถึงกับบอกว่าลิ้นชักไหนโต๊ะไหนในห้องใดที่เก็บของนั้นเอาไว้
เมื่อเสียงของสะท้อนผ่านหอบรรพชน อีกสามคนที่ร่วมโต๊ะก็หน้าตาเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ผู้พิทักษ์ชราก็ยังหรี่ตาลง ไม่ว่าจะเป็นผู้พิทักษ์ชราหรือสามเกลอที่โต๊ะไพ่ หรือปฏิคมด้านนอกหอที่รอคำสั่งจะคาดคิดได้ หลังจากถูกขังมาครึ่งปีและถูกประมุขผู้เฒ่าตัดออกจากกิจการของตระกูลนานสามปี ถังซานสือลิ่วก็ยังเข้าใจเรื่องภายในของตระกูลถังเป็นอย่างดี
ที่ผู้พิทักษ์ชราประหลาดใจที่สุดก็คือความเข้าใจที่ถังซานสือลิ่วมีต่อวิธีการที่ประมุขผู้เฒ่าใช้ในการจัดการตระกูลถัง แม้แต่วิธีที่ลึกลับที่สุดก็ยังรู้
หน่วยเมฆา หอธาราและหอเฟิง องค์กรเหล่านี้ถูกใช้ในการควบคุมตระกูลถัง สามารถเข้าใจได้ แต่เขารู้จักหน่วยต้นสนสิบสามเหย้าซิงที่เป็นหน่วยงานคุมกฎของจวนเก่าได้อย่างไร
ผู้พิทักษ์ชรามองไปยังคนทั้งสามที่โต๊ะ ก็พลันรู้สึกว่าเรื่องวันนี้เป็นปัญหาอยู่บ้าง
ดูเหมือนถังซานสือลิ่วเลือกผู้อาวุโสสามคนจากสาขาของตระกูล แต่ผู้พิทักษ์ชรารู้ความหมายลึกๆ ที่อยู่เบื้องหลังการเลือกนี้
คนทั้งสามไม่ใช่พวกที่ประมุขรองตระกูลถังใช้ดูแลตระกูลถัง ทว่าพวกเขามีบทบาทสำคัญในการลับ พวกเขาคุ้นเคยกับการใช้วิธีที่ผู้จัดการควรใช้
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังส่งผู้พิทักษ์ชรามายังหอบรรพชนเพื่อให้แน่ใจว่า หากสาขารองไม่สามารถทนแรงกดดันช่วงสองชั่วโมงนี้ได้และลงมือตอบโต้ พวกเขาก็ไม่อาจจะใช้กำลังกับถังซานสือลิ่วแต่อาจใช้วิธีอื่น
มีแต่วิธีนี้ถังซานสือลิ่วถึงจะทำได้ตามใจต้องการ
ผู้พิทักษ์ชราพลันตระหนักว่าทั้งเขาและประมุขผู้เฒ่าดูเหมือนจะประเมินถังซานสือลิ่วต่ำไป
หากถังซานสือลิ่วได้รับอนุญาตให้ลงมือโดยไม่มีขีดจำกัด ด้วยความเข้าใจในตระกูลถังที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้ เขาย่อมไม่จำเป็นต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยามเพื่อกวาดล้างความแข็งแกร่งทั้งหมดของสาขารองไป
ต่อให้เขาไม่สามารถหาหลักฐานว่าประมุขรองวางยาพี่ชายหรือสมคบกับเผ่ามารแล้วจะทำไม
“ห้ามฆ่า นี่เป็นคำสั่งของประมุขผู้เฒ่า” ผู้พิทักษ์ชราเตือนถังซานสือลิ่ว
ถังซานสือลิ่วจั่วไพ่และโยนมันทิ้ง ส่ายหน้าอย่างไม่เต็มใจ “ลางร้ายจริงๆ โลงศพ”
ตัวไพ่นกกระจอกตกลงบนโต๊ะสีดำเงาวาวดังเผียะ เป็นตัวแปดเหรียญ [1]
อาเจ็ดฉีกยิ้มแล้วกล่าว “ข้ากิน”
ถังซานสือลิ่วไม่ปฏิเสธแม้แต่น้อย มองดูผู้พิทักษ์ชราแล้วถาม “ข้าฆ่าไม่ได้ แต่ข้าทรมานคนได้ใช่ไหม”
คำว่า ‘ทรมาน’ ทำให้ใบหน้าของคนร่วมโต๊ะทั้งสามซีดลงในทันที
มืออาเจ็ดยังค้างอยู่กลางอากาศขณะเอื้อมมือไปคว้าไพ่แปดเหรียญ มันค้างไปเพราะคำพูดนี้ทำให้เขาอยู่ในท่วงท่าที่น่ากระอักกระอ่วนอย่างมาก
……
……
ในพายุหิมะ เมืองเวิ่นสุ่ยยังเงียบอย่างมาก พ่อค้าและคนธรรมดาทั้งหมดทำตามคำสั่งจากตระกูลถังและอยู่แต่ในบ้าน
นับจากเมื่อใดไม่ทราบ มีชายหลายคนใส่ชุดประจำตระกูลถังออกมาจากจวนเก่า ร้านยาและอีกหลายที่ เดินผ่านพายุหิมะไปถึงจุดหมายปลายทาง
จากสวนไผ่ถึงเรือนสันต์ยันเหอซื่อ แม้แต่จวนของสาขารองริมแม่น้ำเวิ่นสุ่ยก็ยังถูกล้อมเอาไว้ สมุดบันทึกมากมายถูกนำออกมาจากตู้และลิ้นชัก ในขณะที่ปฏิคมและผู้จัดการหลายสิบคนถูกลากตัวออกมากลางหิมะ มือถูกมัดด้วยเชือกฟาง รอสอบปากคำไม่ก็รอปล่อยตัว
ที่ซึ่งถูกตรวจสอบล้วนเป็นสถานที่สำคัญของตระกูลถังและอยู่ใต้การดูแลโดยตรงของประมุขรองในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ส่งผลให้ผู้คนในที่เหล่านั้นได้ถูกเปลี่ยนเป็นคนที่ภักดีต่อเขามานานแล้ว คนเหล่านี้ล้วนมีฐานะสูงในเมืองเวิ่นสุ่ย ไม่เคยถูกปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นจึงเริ่มส่งเสียงร้องเรียนเป็นธรรมดา
ความวุ่นวายเกิดขึ้นในจวนสาขารองริมเวิ่นสุ่ย
ถึงแม้พวกเขาจะถูกขวางกั้นด้วยพายุหิมะรุนแรง ปฏิคมกับผู้จัดการก็ยังมองเห็นเงาร่างของคนที่มองมาจากอีกฝั่ง
พวกเขาย่อมเป็นคนของสาขาหลัก
เมื่อพวกเขาคิดว่าตนเองกำลังถูกตั้งประจาน ปฏิคมกับผู้จัดการเหล่านี้ก็ยิ่งโกรธและอับอายมากขึ้นไปอีก เริ่มก่นด่าคนสืบสวนไม่รู้จบ
ในเวลาปกติ ไม่ว่าจะเป็นคนจากหอเฟิงหรือปฏิคมจากหน่วยต้นสนสิบสามเหย้าซิงที่พวกเขาเพิ่งได้รู้ในวันนี้เองว่าเป็นคนของจวนเก่า ก็ไม่มีใครกล้าปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความไม่เคารพ อย่างน้อยก็ต้องมีคำอธิบายให้ ทว่าวันนี้เหมือนกับทุกคนเปลี่ยนหน้าไปหมดจนจำไม่ได้
หากเดินตรงไปสองลี้จากห้องทำงานที่ถูกค้น ก็จะพบเห็นห้องทำงานที่มิดชิดยิ่งกว่าซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจวน
หน้าต่างห้องทำงานทำจากกระจกแก้วสีที่โปร่งใสที่สุด แม้ว่าตะวันเหมันต์จะถูกเมฆหิมะบดบัง ห้องนี้ก็ยังสว่างไสว ไม่มีความหม่นมัวเลยสักนิด
ประมุขรองตระกูลถังยืนอยู่ริมหน้าต่างมองไปที่เกล็ดหิมะ ปากเปิดขึ้นช้าๆ หัวเราะอย่างไร้เสียง
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั่วเวิ่นสุยสร้างความตึงเครียดอึดอัด ไม่เพียงแค่คนจากสาขารองเท่านั้น แต่เขากลับยังใจเย็นอย่างมาก เนื่องจากเขาดูแลตระกูลถังมาสามปี ได้รู้เรื่องมากมายรวมถึงบทสนทนาในจวนเก่าและยังรวมถึงเนื้อหาการถกเถียงระหว่างบิดากับเฉินฉางเซิง
วางยาพิษหรือ ตราบใดที่ฉูซูไม่ถูกจับ ก็ไม่มีหลักฐาน ถึงอย่างไรพื้นฐานที่พรรคฉางเซิงสะสมมานับหมื่นปีก็คือเจ้าตัวประหลาดที่คลานออกมาจากนรกภูมิตัวนี้ แล้วมันจะถูกจับง่ายๆ ได้อย่างไรกัน เขารู้ว่าบิดาแค่ถูกเฉินฉางเซิงกับนิกายหลวงบีบให้ทำเช่นนี้
ในทางกลับกัน เรื่องที่น่าหงุดหงิดที่สุดก็คือเสียงตะโกนที่ดังทะลุพายุหิมะนั่น
ข้าสมคบกับเผ่ามารอย่างนั้นหรือ ประมุขรองตระกูลถังหัวเราะอย่างไร้เสียงยามที่คิด นี่เป็นเรื่องน่าขันที่สุดแต่ก็เป็นน้ำโสโครกที่ยากจะล้างออกได้ คาดไม่ถึงว่าสำนักกระบี่หลีซานจะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เสียงตะโกนของชิวซานจวินนั้นช่างโหดเหี้ยมอย่างแท้จริง
“เจ้าเลี้ยงลูกได้ยอดเยี่ยมจริงๆ” เขากล่าวในยามที่มองออกไปในหิมะ
มีคนอื่นอยู่ในห้องทำงานตลอดเวลา
ผู้นำตระกูลชิวซานมาถึงเมืองเวิ่นสุ่ยเงียบๆ เมื่อหลายวันก่อนและอยู่ในจวนสาขารองตระกูลถังตลอดเวลา
“บีบให้คนอย่างประมุขรองได้ขนาดนี้ บุตรชายข้ายอดเยี่ยมจริงๆ”
เขามองแผ่นหลังของประมุขรองตระกูลถัง ไม่คิดปกปิดรอยยิ้มยินดีบนใบหน้า ไร้ซึ่งความอับอายหรือขอโทษ
ประมุขรองตระกูลถังไม่หันกลับไปแต่น้ำเสียงเย็นชากว่าเดิม “เมื่อเป็นเรื่องในตระกูลของเจ้าทางที่ดีเจ้าก็จัดการมันเอง”
ผู้นำตระกูลชิวซานยืนขึ้น ปากยิ้มจางๆ “ตระกูลชิวซานของข้าต่างไปจากตระกูลถังของเจ้า แม้ว่าข้าจะเป็นผู้นำตระกูล แต่คำพูดของบุตรชายข้านั้นมีน้ำหนักยิ่งกว่าของข้าเสียอีก แม้ว่าข้าจะต้องการช่วยเขา แต่ก็ดูเหมือนข้าจะเพิ่มปัญหาให้กับเขา ข้าจึงควรรีบจากไป”
หลังจากกล่าวเขาก็จากไปอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ
เมื่อเขามองไปที่รอยเท้าชัดเจนบนหิมะ ประมุขรองตระกูลถังก็หรี่ตาลงช้าๆ
เขารู้ดีว่าด้วยการจากไปของผู้นำตระกูลชิวซาน พันธมิตรสี่ตระกูลใหญ่ก็สิ้นสุดลง
สันดานจิ้งจอกเฒ่า
เขาไม่กลัวจิ้งจอกเฒ่า นับตั้งแต่เขายังเด็ก เขาก็พบเจอจิ้งจอกเฒ่ามาทุกชนิดแล้ว
ปัญหาก็คือนี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบเจอกับจิ้งจอกเฒ่าที่ไร้ยางอายแบบผู้นำตระกูลชิวซาน
ปฏิคมเข้ามาในห้องทำงานอย่างรีบเร่งและรายงานสถานการณ์ปัจจุบันตรงหน้าจวน หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ถาม “เราควรซ่อนของสำคัญหรือไม่”
ประมุขรองตระกูลถังกล่าว “ดูเหมือนหลานชายข้าไม่ได้เสียเวลาสามปีไปอย่างไร้ประโยชน์ เขาสามารถรู้เรื่องมากมาย เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะซ่อนได้อย่างไร ตอนนี้ก็ปล่อยให้พวกมันวุ่นวายไปเถอะ สุดท้ายแล้วมันย่อมกลายเป็นเรื่องตลก”
ปฏิคมตกใจในตอนแรกแล้วก็เปลี่ยนเป็นสับสนอย่างมาก
ในสายตาเขาและอีกหลายคนในตระกูลถัง ต่อให้การสืบสวนที่ถังซานสือลิ่วทำอยู่จบลงด้วยการหาหลักฐานไม่พบ แค่การสืบสวนก็แสดงให้เห็นปัญหาสำคัญมากมายหลายอย่างแล้ว
ความเชื่อมั่นของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังในตัวประมุขรองได้สั่นคลอนแล้ว และยังชัดเจนอย่างมากว่าถึงแม้ประมุขรองจะดูแลตระกูลถังมาสามปี ดูเหมือนเป็นผู้นำตระกูลจากภายนอก ทว่าในความเป็นจริงแค่คำพูดไม่กี่คำของประมุขผู้เฒ่าและคนไม่กี่คนจากจวนเก่า เมืองเวิ่นสุ่ยและทั่วทั้งตระกูลถังก็กลายเป็นของประมุขผู้เฒ่าอีกครั้ง
ประมุขรองตระกูลถังรู้ว่าปฏิคมนี้คิดอะไร รู้ว่าทุกคนคิดอะไร
แต่เขาไม่ได้อธิบาย ไม่คิดจะอธิบาย
เขาแค่มองพายุหิมะนอกหน้าต่างไปอย่างสุขุม หัวเราะอย่างไร้เสียง
ใบหน้าหัวเราะของเขาดูเย้ยหยันสุดจะพรรณนา
——
[1] ตัวแปดเหรียญในไพ่นกกระจอกเป็นจุดวงกลมสี่จุดสองแถว ดูคล้ายโลงศพ