ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 220 พายุหิมะดวงใจจักรพรรดิ
การไอนั้นมีหลายสาเหตุ ที่เห็นได้บ่อยที่สุดนั้นเป็นอาการป่วย
ไอเย็นทำร้ายปอด แม้แต่ผู้แข็งแกร่งขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ยังรู้สึกรำคาญใจ
ซางสิงโจวไม่รู้เลยว่านับแต่นี้ตลอดไป จักรพรรดิขาวจะไออยู่เช่นนี้ตลอดไป และจะไอต่อไปเนิ่นนานอีกหลายปี
เขารู้เพียงว่าจักรพรรดิขาวได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเช่นเดียวกับเขา
ไม่ว่าจะเป็นทูตสวรรค์เซิ่งกวงทั้งสองนั่นหรือมู่ฮูหยิน ล้วนแต่เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างที่สุด
เขาและจักรพรรดิขาวคือผู้เข้มแข็งที่สุดในใต้หล้าในเวลานี้ ยังต้องบาดเจ็บไปไม่น้อย
เดิมทีเขาคิดจะทำอะไรสักอย่าง แต่ที่เขาไม่ทำก็เพราะเหตุนี้ เป็นเพราะเขารู้ดีว่าเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วมู่ไม่อาจสนับสนุนเขาได้…ปณิธานของเขาและจักรพรรดิขาวสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แต่คู่หนุ่มสาวคู่นั้นมิได้เป็นเช่นนั้น
เขาบอกกับจักรพรรดิขาวว่า “แต่ท้ายที่สุดก็มีวันนี้จนได้”
“นางมีพรสวรรค์ชั้นเลิศ มีสายเลือดชั้นดี มากความสามารถ เฉลียวฉลาดเป็นที่สุด ทั้งยังรูปโฉมงดงาม เมื่อรวมกับข้าจึงให้กำเนิดเชื้อสายที่ล้ำเลิศที่สุดออกมา”
จักรพรรดิขาวพูด “ด้วยเช่นนั้นข้าจึงสามารถอดทนกับเรื่องราวต่างๆ ได้ รวมถึงความทะเยอทะยานของนางด้วย เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าความทะเยอทะยานของนางจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้”
ซางสิงโจวเข้าใจความหมายของเขา
หากมู่ฮูหยินเพียงคิดเพียงหาผลประโยชน์เล็กน้อยให้กับดินแดนต้าซี จักรพรรดิขาวก็คงจะยังคงนิ่งเฉย แต่การกระทำของนางล่าสุดนั้นเกี่ยวพันถึงการสูญสิ้นของชนเผ่าปีศาจ
“อันที่จริงข้ารู้มาโดยตลอดว่านางดูแคลนข้า นางมักจะคิดว่าข้าเป็นเพียงปีศาจที่ไม่เข้าใจศิลปะตนหนึ่งเท่านั้น”
จักรพรรดิขาวพูดขึ้นอย่างเฉยชาว่า “เรื่องพวกนี้ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว ข้ายังทนนางได้ แต่ไม่อาจทนได้เหมือนอย่างเปี๋ยยั่งหง และที่สำคัญที่สุดลั่วลั่วคือจักรพรรดิขาวคนถัดไปที่ข้าเลือก เจ้าคงจะรู้ว่าสายเลือดของนางนั้นบริสุทธิ์เพียงใด แข็งแกร่งเพียงใด จะให้ออกเรือนไปยังเมืองเสวี่ยเหล่าตามความคิดของดินแดนต้าซีเช่นนั้นหรือ นางช่างเสียสติเสียจริง”
ซางสิงโจวพูด “เรื่องทั้งหมดข้าไม่เข้าใจก็จุดนี้นี่แหละ ในครรภ์ของนางมีเชื้อสายของท่านอยู่”
จักรพรรดิขาวพูดขึ้นน้ำเสียงเรียบเฉย “เรื่องบุตรของข้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนมากน้อยแต่อยู่ที่ความเป็นเลิศ เด็กที่ล้ำเลิศเช่นลั่วลั่วมีคนเดียวก็เพียงพอแล้ว หากให้กำเนิดเศษสวะออกมาจะมีประโยชน์อันใดเล่า แต่โบราณมาเผ่าพันของข้าก็มีจำนวนน้อยอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ ไม่ใช่ใครๆ จะเหมือนกับจักรพรรดิของเจ้า ให้กำเนิดโอรสธิดามากมาย แล้วก็ให้พวกเขาเข่นฆ่ากันเอง คอยดูว่าใครจะเป็นผู้รอดคนสุดท้ายถึงให้สืบทอดบัลลังก์ เช่นนี้จะมีความหมายอะไรกัน หรือจะเป็นการเลี้ยงเอาไว้ให้กัดกันเองเช่นนั้นรึ พวกเจ้าเผ่ามนุษย์บางครั้งก็เกินจะบรรยายเสียจริง”
จักรพรรดิในประโยคนี้ ย่อมหมายถึงจักรพรรดิไท่จงผู้ยิ่งใหญ่เป็นแน่
ซางสิงโจวพูดขึ้นว่า “หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดจึงต้องทำเรื่องพวกนี้ด้วยเล่า”
“ย้อนกลับไปกลางทุ่งหิมะหานซานเหนือ เจ้าอาศัยมือของข้าทำร้ายราชามารอย่างสาหัส ยืดเวลาข้าออกไปอีกถึงห้าปี”
จักรพรรดิขาวทอดสายตาไปยังนัยน์ตาของซางสิงโจวแล้วพลันสีหน้าก็ครึ้มลง
“เวลาห้าปีนั้น มากพอที่เจ้าจะทำเรื่องราวได้มากมาย เจ้าแย่งสิทธิอำนาจของเผ่ามนุษย์กลับมาจากมือเทียนไห่…ข้าไม่ทันคิดถึงปัญหานั้น หากเมืองเสวี่ยเหล่าพังทลายลง เจ้าขึ้นครองใต้หล้า ถึงตอนนั้นเผ่าพันธุ์ของข้าจะดำรงอยู่ได้อย่างไร ดังนั้นข้าจึงทำได้เพียงถ่วงเวลาพวกเจ้าเอาไว้”
ซางสิงโจวพูดขึ้นอย่างสงบนิ่ง “ข้าไม่ใช่จักรพรรดิไท่จง ข้าไม่มีความสามารถพอจะฝืนชะตาสวรรค์ ท่านประเมินข้าสูงไปแล้ว”
จักรพรรดิขาวพูด “เจ้าคือสหายของข้า ข้ารู้ดีว่าเจ้าน่ากลัวเพียงใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่เจ้าสั่งสอนลูกศิษย์ที่เป็นเลิศออกมาถึงสองคน”
ซางสิงโจวไม่ได้กล่าวเสริมอันใด เพียงพูดขึ้นว่า “ดังนั้นท่านจึงจัดฉากนี้ขึ้นมาสินะ”
นี่ยังคงเป็นประโยคที่เขากล่าวไว้ก่อนหน้านี้
ทำไมถึงต้องทำเรื่องพวกนี้
เรื่องพวกนี้หมายถึงเรื่องราวทั้งหมด
นี่คือเมืองของจักรพรรดิขาว
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองแห่งนี้ ย่อมต้องผ่านความเห็นชอบของเขาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่มู่ฮูหยินได้ทำ หรือเป็นเรื่องที่หัวหน้าเผ่าเซียงทำ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย
อย่างเช่นพิธีสวรรค์คัดสรร อย่างเช่นที่เฉินฉางเซิงเผชิญกับอันตรายเหล่านั้น อย่างเช่นเหตุการณ์ฉากนี้ อย่างเช่นการตายของเปี๋ยยั่งหงและอู๋ปี่ลวี่ หรืออย่างเช่นเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องนั้น
จักรพรรดิขาวไม่สามารถเห็นด้วยกับการให้ลั่วลั่วออกเรือนไปยังเมืองเสวี่ยเหล่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในตอนแรกเขาจะไม่ได้คิดร่วมเป็นพันธมิตรกับเผ่ามาร
“ท่านใช้บุตรีของตนเป็นเบี้ยให้สองฝ่ายประจันหน้ากัน แต่ท่านกลับคอยมองสงครามอยู่ห่างๆ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร สุดท้ายท่านก็ได้อยู่บนจุดสูงสุดอย่างสมบูรณ์แบบ”
ซางสิงโจวพูดขึ้นว่า “พวกที่มีชีวิตอยู่มานานเช่นพวกเรา มีเวลามากมายที่จะครุ่นคิดถึงปัญหา วางแผนใดย่อมไม่มีช่องโหว่ เพียงแต่เจ้าคงคิดไม่ถึงว่าเฉินฉางเซิงจะมาได้เร็วถึงเพียงนี้ พลิกสถานการณ์ทั้งหมด ทั้งยังดึงดันที่ขุดท่านออกมาจากภูเขาลูกนั้นอีก”
จักรพรรดิขาวพูดว่า “ข้าเพิ่งพูดไป ว่าเจ้าสอนลูกศิษย์ออกมาดีถึงสองคน และเจ้าเองก็เช่นกัน”
ซางสิงโจวพูดว่า “เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ข้าจะไม่มาเองได้อย่างไร”
จักรพรรดิขาวรู้ดีว่าเรื่องใหญ่ที่เขาพูดถึงนั้นไม่ใช่เรื่องเป็นพันธมิตรกับเผ่ามารหรือเมืองเสวี่ยเหล่า แต่คือทูตสวรรค์เซิ่งกวงทั้งสองนั่น
สำหรับบุคคลที่อยู่ตำแหน่งสูงสุดของดินแดนเช่นเขาและซางสิงโจวแล้ว เรื่องใหญ่ที่แท้จริงมีเพียงเรื่องนอกโลกเท่านั้น
พวกเขาล้วนต้องทำการใหญ่ วิถีของพวกเขาคือเส้นทางนี้
ตามคำของหวังจือเช่อแล้ว ตำแหน่งนั้นสัมพันธ์กัน จุดยืนถึงได้ถูกกำหนดมาแต่แรกแล้ว
ทุกการกระทำของเผ่ามาร พวกเขาได้สัมผัสถึงจุดต่ำสุดที่จะได้รับแล้ว
“คงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับราชามาร”
จักรพรรดิขาวพูด “มีเพียงคนวิปลาสเช่นนางและคนชุดดำ ถึงจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้”
ซางสิงโจวพูดตอบ “สตรีเพศล้วนแล้วแต่วิปลาส ดังนั้นจึงไม่อาจให้พวกนางครองตำแหน่งสูงได้”
หลายปีก่อน เขาคัดค้านงานอภิเษกของจักรพรรดิขาวกับมู่ฮูหยิน ก็มีส่วนมาจากความคิดเช่นนี้
เช่นเดียวกันกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เที่ยนไห่ เขาก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน
“ด้วยเหตุนี้ข้าจึงนึกไม่ถึง ว่าเจ้าจะถึงกับยอมขอให้สวีโหย่วหรงช่วย”
จักรพรรดิขาวพูด “นางเองก็เป็นสตรี ทั้งยังเป็นว่าที่ภรรยาของลูกศิษย์เจ้าด้วย”
ซางสิงโจวตอบ “คิดจะเอาชนะท่าน เป็นเรื่องยากเย็นนัก”
“ไม่เลว ในที่สุดข้าก็พ่ายแพ้ให้กับพวกเจ้าศิษย์อาจารย์”
จักรพรรดิขาวพูด “นี่ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าคำพูดนั้นมันมีเหตุผล”
นี่ย่อมหมายถึงคำพูดนั้นที่กำลังแพร่สะพัดอยู่ทั่วทั้งใต้หล้าในยามนี้
“ซีหนิงจะครองใต้หล้า”
คำว่า “ครอง” คำนี้สามารถตีความได้ทั้ง “ปกครอง” และ “พิชิต”
ซางสิงโจวและลูกศิษย์ของเขาทั้งสองหากร่วมแรงประสานใจกัน ย่อมสามารถพิชิตได้ทุกสิ่งอย่าง
“หากข้าจำไม่ผิด คำพูดนี้ถูกพูดตั้งแต่ก่อนท่านถูกกักตัวแล้ว”
“ไม่ผิด”
“แต่ไหนแต่ไรท่านไม่เคยยอมแพ้เลย”
ซางสิงโจวพูดขึ้นอย่างสงบนิ่ง “เช่นนั้นหลังจากที่ข้าปราบเผ่ามารแล้ว ท่านเตรียมจะเผชิญหน้ากับข้าอย่างไร”
“เมื่อก่อนจริงๆ ข้าก็รู้สึกกังวลมาก ทว่าตอนนี้ดีขึ้นแล้ว เพราะก่อนที่เจ้าจะกลับมายังเมืองไป๋ตี้อีกครั้ง เจ้าต้องเอาชนะลูกศิษย์ของเจ้าผู้นั้นให้ได้เสียก่อน”
จักรพรรดิขาวพูด “ข้าพบว่าลูกศิษย์ของเจ้าผู้นั้นดูเก่งกาจกว่าที่คาดไว้ กว่าเจ้าจะมาถึงจุดนี้ได้ช่างลำบากยิ่งนัก”
เป็นเช่นที่ซางสิงโจวได้พูดไว้นั้น บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่มาเป็นเวลายาวนานเช่นพวกเขานี้ นอกจากวางแผนแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทำ
ลั่วลั่วจะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิขาวคนถัดไป เช่นนั้นหากเฉินฉางเซิงได้ขึ้นครองตำแหน่งแม้เพียงวันเดียว แม้ว่าเผ่ามนุษย์จะแข็งแกร่งเพียงใด เผ่าปีศาจก็สามารถรักษาความปลอดภัยให้ได้
มู่ฮูหยินเคยบอกกับลั่วลั่วว่าความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์เช่นนี้ไม่มั่นคง เว้นเสียแต่เฉินฉางเซิงจะแต่งงานกับลั่วลั่ว ถึงจะวางใจได้
จักรพรรดิขาวไม่เห็นเช่นนั้น เขายืนยันหนักแน่นว่าเฉินฉางเซิงไม่สามารถแต่งงานกับลั่วลั่วได้ จึงจะดีต่อนางยิ่งกว่า
นี่ไม่ใช่เรื่องความทุกข์ที่ไม่อาจครอบครอง แต่เป็นความรู้สึกผิดและได้อันเกิดจากความรู้สึกผิดและความศรัทธา ความรักและความปรารถนาที่จะปกป้องผสานเข้าด้วยกัน
แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเฉินฉางเซิงไม่ถูกสังหารโดยซางสิงโจว และไม่อาจสูญเสียอำนาจได้
“เจ้ามองลูกศิษย์ไม่เอาถ่านคนนั้นของข้าดีเกินไปแล้ว”
นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่สนทนาที่ซางสิงโจวยอมรับว่าเฉินฉางเซิงเป็นลูกศิษย์ของตน
“ที่จริงแล้วทั้งหมดเกิดจากท่าทีของเจ้าที่มีต่อเขา”
จักรพรรดิขาวทอดมองไปยังเขาอย่างนิ่งเฉยพลางพูด “หากไม่ใช่เพราะเจ้าให้ความสำคัญกับเขาเช่นนี้ โลกนี้จะให้ความสำคัญกับเขาเช่นนี้ได้อย่างไรตั้งแต่แรก”
ซางสิงโจวพูดตอบ “หากการให้ความสำคัญนี้ไม่เป็นอย่างที่พวกเจ้าคิดเล่า”
จักรพรรดิขาวพูด “เช่นนั้นไว้ถึงเวลานั้นค่อยว่ากัน อีกทั้งหากในอนาคตมีคนรับปากกับข้าได้มากกว่านี้ ข้ายังสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดได้”
ซางสิงโจวไม่ได้ไม่ได้เอ่ยกล่าวสิ่งใดต่อไปอีก เขาหันหลังเดินออกจากถนนหินสีครามไป
เฉินฉางเซิงมองตรงไปยังด้านนี้
เขามองเงาร่างของซางสิงโจวหายไปท่ามกลางฝูงชนโดยไม่ไม่ส่งเสียงใด
ตอนนั้นบนถนนเสินสุสานเทียนซู เขาแบกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ซางสิงโจวเดินเข้ามาเฉียดไหล่ผ่านไป ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดสักคำ ทั้งยังไม่เหลียวมองแม้แต่ปราดเดียว
ตอนนั้นเขาไม่ได้พูดอะไร หลังจากนั้นก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ แต่จริงๆ ในใจกลับรู้สึกยากที่จะรับได้
วันนี้ซางสิงโจวได้เห็นเขาด้วยตาทั้งสอง แต่ความรู้สึกของเขายังคงเป็นเช่นเดิม
แววตาของซางสิงโจวพี่มองเขาไม่ต่างอะไรกับการมองคนแปลกหน้า
มือทั้งสองข้างวางลงบนไหล่ของเฉินฉางเซิงทีละข้าง
มันไม่ใช่ภาระ แต่เป็นการปลอบประโลม
เฉินฉางเซิงมองถังซันสือลิ่วแล้วยิ้ม แล้วก็หันกลับไปมองสวีโหย่วมู่ก่อนจะพูดว่า “ข้าไม่เป็นอะไร”
……
……
ทุ่งหิมะในช่วงฤดูอันหนาวอันหนาวเหน็บ เย็นยะเยือกราวกับหุบเหวลึก ไอที่อสูรกายพ่นออกมาจับตัวเป็นผลึกน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว
ลมพัดอย่างรุนแรง แต่กลับไม่มีความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อยนิด
คนชุดดำมองไปยังทิศตะวันตกอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นก็พูดขึ้นว่า “แพ้แล้ว”
ได้ยินคำพูดนี้ ไม่ไกลออกไปก็ได้ยินเสียงคำรามต่ำอย่างเจ็บปวดของยักษ์ภูเขา ไม่ใช่ว่าเขาเข้าใจที่เขาพูด หรือเพราะรู้ว่าแผนการที่สำคัญมาหลายปีมานี้ของเผ่ามารถูกทำลายลง แต่เป็นเพราะว่าจอมทัพมารที่นั่งอยู่บนหัวของมันตบเขาอันแข็งแกร่งของมันขาดครึ่งด้วยความโกรธเกรี้ยว
ด้านหลังคนชุดดำและจอมทัพมารยังมีนายพลมารสิบกว่านาย ไกลออกไปยังมีเงาร่างยักษ์ที่ปกคลุมไปด้วยหมอกดำดูลึกลับผิดสามัญอยู่อีกหลายร่าง
เผ่ามารไม่ได้เสริมกำลังเข้าช่วยเมืองไป๋ตี้ ด้วยเหตุผลสองสามประการ
คนชุดดำเชื่อในแสนยานุภาพอันแข็งแกร่งของทูตสวรรค์เซิ่งกวง เชื่อในการจัดการสถานการณ์เมืองหลวงของตน และเป็นเพราะว่าเวลาไม่ทันกาล
เหตุผลสำคัญกว่านั้นคือคนผู้หนึ่ง
นั่นคือนักปราชญ์วัยกลางคนที่ยืนอยู่กลางทุ่งหิมะ
นักปราชญ์ที่มีชื่อที่สุดในโลก นับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
หวังจือเช่อ
“คาดไม่ถึงว่าเขาจะชวนแม้แต่เจ้า มาคิดดูแล้วเจ้าสามารถรอดพ้นจิตสังหารของเจ้าเด็กแซ่เจี้ย เขาคงต้องใช้ความพยายามมิใช่น้อย”
ลมหนาวพัดผ่านเผยให้เห็นใบหน้าถมึงทึงอยู่รำไรของคนชุดดำ แต่เสียงของเขากลับไม่ได้สั่นเครือแต่อย่างใด
เมื่อได้ยินชื่อที่ไม่ได้ยินเสียนานหวังจือเช่อก็ทอดถอนใจ “พายุหิมะนับร้อยปี คงยังไม่อาจชะล้างความแค้นของเจ้าไปได้สินะ”