ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 221 ข้าพบเห็น
แซ่เจี้ยนั้นคือนามเดิมของจักรพรรดิไท่จงเมื่อยามอยู่ที่เมืองเทียนเหลียง
นับตั้งแต่แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ปรากฏลงมาบนโลก ก็ไม่มีประวัติศาสตร์ของผู้ใดที่จะสามารถข้ามผ่านชายผู้นี้ไปได้
เนื่องด้วยบนดินแดนแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือหลังชีวิตของเขา เขาล้วนดื่มด่ำกับความเกรียงไกรและความเคารพเลื่อมใสที่มากล้นที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือว่าประชากรเผ่าปีศาจ หรือกระทั่งองค์ชายทั้งหลายของเผ่าปีศาจที่เกลียดเขาเข้ากระดูกดำเหล่านั้นในเมืองเสวี่ยเหล่าก็ยังไม่กล้าเอ่ยนามเขาออกมาตรง ๆ
ทว่าวันนี้ชุดดำตะโกนออกมาเช่นนี้ ทั้งยังเติมคำว่าเสี่ยวไปด้านหลังอีก
ผู้ใดก็ล้วนฟังออกทั้งสิ้นถึงความเกลียดชังที่ลึกเกือบถึงกระดูกดำที่เขามีต่อจักรพรรดิไท่จงผู้นี้
“หากว่าเวลาสามารถทำให้พวกเราลืมอดีตทั้งหมดไปได้ แล้วการมีอยู่ต่อไปของพวกเราจะยังมีประโยชน์อันใดอีกเล่า”
ชุดดำมองไปยังหวังจือเช่อก่อนจะหัวเราะเยาะ “เจ้าเคยกล่าวว่าจะละทางโลก นี่มิใช่แสดงให้เห็นหรอกหรือว่าเจ้าเองก็วางไม่ลง”
หวังจือเช่อเอ่ยต่อ “ในเมื่อเจ้าสมคบคิดกับคนต่างเผ่า เช่นนั้นนี่ก็มิใช่เรื่องทางโลกแล้ว นับเป็นเรื่องภายนอกได้”
ชุดดำเอ่ยต่อ “นั่นแล้วอย่างไรกันเล่า”
หวังจือเช่อเอ่ย “ขอเพียงเจ้ายินดีที่จะละทิ้งความคิดที่เสียสตินี้ไปเสีย ข้าก็ยินดีที่จะทำเรื่องต่าง ๆ ตามที่เจ้าต้องการ”
“เรื่องอะไรกันหรือ”
ชุดดำเอ่ยอย่างถากถาง “ถ้าเคยพบเห็นความไร้ยางอายและเย็นชาของเจ้ามาแล้ว คิดหรือว่าจะถูกเจ้าหลอกได้เป็นครั้งที่สอง”
เมื่อประโยคนี้จบลง เขาก็หมุนตัวเดินจากไปยังเมืองใหญ่เมืองนั้นที่อยู่ในส่วนลึกของพายุหิมะ
แม่ทัพเผ่ามารรวมถึงทหารเผ่ามารเหล่านั้นก็ติดตามไปด้วย เงาร่างยักษ์หลายร่างที่ถูกหมอกสีดำปกคลุมก็ค่อย ๆ สลายตัวไป
หวังจือเช่อมองไปยังเบื้องหลังร่างของชุดดำ ความรู้สึกของเขาตอนนี้ซับซ้อนยิ่งนัก
……
……
ราชาจากเมืองจักรพรรดิไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยความสงบ ไม่เป็นที่สนใจของผู้ใดทั้งสิ้น
ในเมืองนี้ มีผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ประสงค์จะสังหารราชามากมายยิ่งนัก แต่ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องเขา เนื่องจากจักรพรรดิไป๋ตี้ได้ประกาศเจตนารมณ์ออกมาอย่างชัดเจน
เจตนารมณ์นั้นเหมือนกับราชโองการที่มู่ฮูหยินเคยกล่าวไว้ทุกประการ
ผู้มาเยือนล้วนเป็นอาคันตุกะ
ผู้ใดก็ล้วนแจ้งแก่ใจว่าด้วยเหตุใด
สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ล้วนประสงค์อยู่ในภาวะสมดุล
ประสงค์ที่จะขัดขวางมิให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียว จึงไม่อาจจะทำให้เผ่ามารถูกตัดทอนกำลังลงเด็ดขาด
ผู้อาวุโสยังคงเงียบขรึม ขุนนางในราชสำนักปีศาจล้วนเงียบขรึมเช่นกัน คู่แข่งเผ่าปีศาจเยี่ยงเสี่ยวเต๋อนี้ก็เงียบขรึมเช่นกัน เนื่องจากนี่คือปณิธานอันแน่วแน่ของฝ่าบาท มีเพียงจินอวี่ลวี่เท่านั้นที่ทำตัวเช่นเดียวกับหลายร้อยปีก่อนเช่นเดิม ยังคงโต้เถียงอย่างดุเดือดกับจักรพรรดิไป๋ตี้ จากนั้นก็ถูกขับไล่ออกจากเมืองจักรพรรดิอีกครั้ง จึงทำได้เพียงดำเนินอาชีพหว่านไถของตนต่อไป
เฉินฉางเซิงและถังซานสือลิ่วยืนอยู่บนหอสังเกตุการณ์มองไปยังด้านในของตำหนัก
แสงจากฟ้าสว่างนัก ทว่าด้านในตำหนักกลับมืดครึ้มเป็นอย่างยิ่ง แทบจะมองเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในได้ไม่ชัดเจน มองเห็นเพียงเหล่าทหารเผ่า ปีศาจขุนนางผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น และผู้อาวุโสทั้งหลายกำลังคุกเข่าอย่างพร้อมเพรียงราวกับคลื่นน้ำสีดำ
ถังซานสือลิ่วคิดไปถึงสงครามนองเลือดรอบลาน สีหน้าอารมณ์ของเขาก็ยิ่งย่ำแย่ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงยิ้มเยาะว่า “และนี่ก็คือสถานการณ์ที่ว่าผู้อ่อนแอมีเหตุผลเช่นนั้นรึ”
เฉินฉางเซิงไม่เอ่ยสิ่งใดเพียงถอนหายใจ้ท่านั้น
ไม่นานการประชุมในท้องพระโรงก็สิ้นสุดลง
ขุนนางปีศาจเหล่านั้นและเหล่าบรรดาผู้อาวุโสก็ทยอยกันออกมา ด้วยระยะห่างช่วงหนึ่งพวกเขาแสดงความเคารพอย่างนอบน้อมมายังทางที่เฉินฉางเซิงยืนอยู่ ไม่มีผู้ใดกล้าเดินมาพูดจากับเขา แม่แต่หัวหน้าเผ่าหมีและหัวหน้าเผ่าชื่อก็เช่นกัน สถานการณ์ช่างแตกต่างกับในตำหนักคืนนั้นโดยสิ้นเชิง
หลายปีผ่านไป ในที่สุดจักรพรรดิไป๋ตี้ก็ได้ดำเนินกลับมายังเมืองจักรพรรดิของเขา ไม่ต้องใช้กลอุบายหรือวิธีการแยบยลอันใดเผ่าปีศาจทั้งหมดก็ล้วนกลับมาอยู่ภายใต้ปณิธานของเขาอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้นในยามนี้หัวหน้าเผ่าเซี่ยงผู้เดียวที่สามารถคุกคามมายังตำแหน่งและอำนาจของจักรพรรดิไป๋ตี้ตอนนี้ได้จากไปแล้ว ชนเผ่าเซี่ยงเองก็ตกอยู่ในสภาวะล่อแหลมเช่นกัน
เฉินฉางเซิงและถังซานสือลิ่วเดินเข้ามาด้านในตัวตำหนัก
ด้านในตำหนักไม่ได้เตรียมที่นั่งไว้สำหรับเฉินฉางเซิง ถังซานสือลิ่วเองก็ไม่ได้กล่าวคำพูดใดที่เป็นการดูหมิ่น เนื่องจากจักรพรรดิไป๋ตี้เองก็ไม่ได้ประทับอยู่
“ท่านปู่ของเจ้าสุขภาพเป็นเช่นไรบ้าง”
จักรพรรดิไป๋ตี้เอ่ยถามถังซานสือลิ่ว
ไม่ว่าจะมีคำตำหนิหรือวิจารณ์อยู่ในใจมากมายเพียงใด คำตอบของถังซานสือลิ่วก็ยังคงสุขุมและเป็นไปอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะด้วยกริยามารยาทหรือว่าท่าทางท่วงทีล้วนไม่ขาดตกบกพร่อง
เพียงแต่เมื่อถึงตอนสุดท้าย เขาก็อดไม่ไหวพูดเสียไม่ได้ว่า
“ข้าไม่เข้าใจเอาเสียเลย ท่านแก่ปูนนี้แล้ว เหตุใดจึงทำตัวลมเพลมพัดเช่นนี้
คำกล่าวนี้เห็นได้ชัดว่าเอ่ยถึงท่านผู้อาวุโสแห่งตระกูลถัง และผู้ที่เป็นเป้าประสงค์ของการถากถางก็คือจักรพรรดิไป๋ตี้นั้นเอง
จักรพรรดิไป๋ตี้ไม่ใคร่สนใจเขา เขามองไปยังเฉินฉางเซิงก่อนเอ่ยออกมาสองสามประโยค
ประโยคนั้นเข้าใจง่าย แล้วก็เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ก่อนแล้ว
เพียงแต่เมื่อย้อนนึกกลับไปถึงความสัมพันธ์อันดีที่เคยมีระหว่างกัน ก็หวังว่าจะสามารถดำรงต่อไปได้
สุดท้ายจักรพรรดิไป๋ตี้จึงเอ่ยว่า “บนเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เจ้าและเจ๋อซิ่วสังหารเจ้าหนุ่มผู้นั้น ทำได้ดีมาก”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบก็ราวกับบทสนทนาได้สิ้นสุดลงเช่นกัน
ต่อมานางในได้นำเฉินฉางเซิงและถังซานสือลิ่วไปยังห้องประทับของลั่วลั่ว
เฉินฉางเซิงนึกถึงคำพูดประโยคสุดท้ายนั้นก็ยังคงไม่เข้าใจนัก
ถังซานสือลิ่วอธิบายต่อไปว่า “เขาหมายถึงท่านแม่ทัพศักดิ์สิทธิ์เสือเขา คนผู้นั้นใจกล้าบ้าบิ่นไม่เกรงกลัวสิ่งใด ทั้งยังบังอาจใช้คำว่าเสือขาวเป็นสมญานามของตน หากว่าทั้งสองเผ่าพันธุ์ไม่ได้มีความสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกัน เกรงว่าคงถูกจักรพรรดิไป๋ตี้สังหารไปเสียนานแล้ว จักรพรรดิไป๋ตี้ไม่สะดวกที่จะลงมือ เจ้าก็ช่วยเขาสังหารคนผู้นั้นแทนเขาไปเสีย เขาคงยินดีอยู่ไม่น้อย”
เมื่อมาถึงภายนอกของตำหนักศิลาที่อยู่ในจุดสูงสุด มองเห็นเงาร่างนั้นที่อยู่ข้างระเบียง เฉินฉางเซิงกแป็ลกใจเล็กน้อย แต่ว่าก็ยังคงเลือกที่จะไปด้านในของสำนักศิลาก่อน
ถังซานสือลิ่วย่อมเลือกไม่ติดตามไป เขาเดินไปทางเงาร่างงดงามที่อยู่ริมระเบียงนั้น
ตำหนักศิลามิได้ทรุดโทรม หน้าต่างทรงกลมและผนังกั้นที่แกะสลักเป็นรูปวิหคพฤกษา ทำให้พื้นที่ในที่นั้นปรากฏออกมาเป็นภาพที่งดงามหาที่เปรียบมิได้
ลั่วลั่วที่ยืนอยู่ท่ามกลางภาพวาดเหล่านี้ราวกับบุปผาสีขาวดอกเล็ก ๆ ที่น่ารักและเยือกเยือกในกระถาง
สีหน้าของนางซีดขาว แววตาดูเศร้าสลด มองแล้วน่าสงสารยิ่งนัก
ไม่เพียงแต่เพราะความไร้เยื่อใยและการสูญเสียมารดาผู้ให้กำเนิด บางทีอาจจะเป็นเพราะการจากลาในเวลาต่อมา หรืออาจจะเนื่องด้วยเรื่องราวอื่น ๆ มากมาย
เฉินฉางเซิงยืนอยู่เบื้องหน้านาง เขาเงียบอยู่เป็นเวลานาน จู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ไม่อย่างนั้นพวกเราไปด้วยกันดีหรือไม่”
ลั่วลั่วก้มหน้าลงไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด
แหมะ แหมะ เสียงหยดน้ำตากระทบลงกับพื้นดิน
ผ่านไปชั่วครู่ นางถึงได้ใช้แขนเสื้อของตนเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ก่อนจะเผยรอยยิ้มจริงใจออกมา นางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ ไม่ต้องหรอก”
หากว่าคำพูดที่เขากล่าวออกมาไม่ใช่ “ไม่อย่างนั้นพวกเราไปด้วยกันดีหรือไม่” แต่เป็น “ไปด้วยกันกับข้า” เช่นนั้นนางคงยอมตามเขาไป
ประโยคแรกเป็นประโยคคำถาม เพื่อสอบถามความคิดเห็นของนาง ประโยคหลังเป็นประโยคคำสั่ง
ในฐานะที่เป็นนักเรียน จะขัดขืนเจตนาของเขาได้อย่างไร
ช่างน่าเสียดายเสียจริง
นางพิงไปในอ้อมกอดของเฉินฉางเซิงอย่างเป็นธรรมชาติ
ราวกับแต่ก่อน
มือไม้ของเฉินฉางเซิงไม่รู้ควรวางไว้ที่ใด
เมื่อเห็นร่องรอยของน้ำตาที่อยู่บนใบหน้าเล็ก ๆ นั้น รอยยิ้มที่สว่างสดใสแล้วไหนจะแววตาที่บริสุทธิ์นั่นอีกเล่า ทำให้เขานึกถึงภาพอื่น ๆ ขึ้นมามากมาย
ร่องรอยเมฆฝนลายพร้อยที่อยู่บนกำแพงของสำนักฝึกหลวง แสงสนธยาที่มองเห็นได้จากต้นไทรใหญ่ และทะเลสาบที่เงียบสงบ
มือของเขาตกลงมา
แตกต่างจากเมื่อก่อนเพียงเล็กน้อย
คราวนี้มือของเขาตกลงบนหลังของนาง
……
……
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เฉินฉางเซิงก็ยังไม่ออกมา
ถังซานสือลิ่วอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ด้านข้างของเขาอีกครั้ง
สวีโหย่วหรงไม่ได้สนใจเขาและไม่หันกลับไปมองที่ห้องในตำหนัก
นี่คือจุดสูงสุดของเมืองจักรพรรดิ ซึ่งสูงกว่าหอสังเกตุการณ์นัก
นางสามารถมองเห็นหอสังเกตุการณ์ได้อย่างชัดเจนจากด้านข้างของระเบียง
นางรู้ว่าที่นั่นเคยมีต้นสาลี่
นางยังรู้ว่าภาพของดอกสาลี่กับสายฝนนั้นทำให้ผู้คนซาบซึ้งเพียงใด
นางเคยเห็นมันด้วยตาของนางเองเมื่อไม่นานมานี้
ใบหน้าเล็ก ๆ ที่ไร้เดียงสาเมื่อเต็มไปด้วยน้ำตา ผู้ใดเล่าจะไม่สงสาร
ถังซานสือลิ่วอดไม่ได้และเอ่ยขึ้นว่า “เจ้า …”
สวีโหย่วหรงเอ่ยด้วยสีหน้าว่างเปล่าว่า “หุบปาก”
ถังซานสือลิ่วรู้สึกโมโหเล็กน้อยและพูดว่า “ข้า …”
สวีโหย่วหรงเลิกคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยว่า “ข้าเองยังสงสาร นับประสาอะไรกับเขา”