ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 23 เพลิงไหม้กระท่อมไม้ถง
กิจกรรมในหอบรรพชนและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามบ้านเรือนร้านรวงในเมืองเวิ่นสุ่ยถูกรายงานไปยังจวนเก่าอย่างต่อเนื่อง
คนที่มีหน้าที่รายงานคือปฏิคมในจวนเก่า เขาพูดอย่างรวดเร็วแต่ก็ชัดเจนอย่างยิ่ง แน่ใจได้ว่าทุกคนในห้องสามารถเข้าใจได้
นอกจากประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกับเฉินฉางเซิงแล้ว เจ๋อซิ่วกับหนานเค่อก็อยู่ในห้องด้วย พวกเขากำลังเล่าเรื่องอยู่เช่นกัน เพิ่งจะเล่าเรื่องราวบนเทือกเขาหิมะและภูเขาหินจบไป
“สามคนที่เขาเรียกให้ไปที่หอบรรพชนตั้งแต่แรกนั้นอาจดูเหมือนไม่มีความสำคัญจากเปลือกนอก แต่อันที่จริงแล้วพวกเขาเป็นเหมือนแขนขาของบุตรคนรองของข้า”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังพูดกับเฉินฉางเซิงราวกับเป็นนักเล่านิทาน “ข้าไม่คิดว่าหลานชายที่ถูกขังมาสามปีจะยังมีคนส่งข่าวให้เขาอยู่ และสายตาของเขาก็แหลมคมยิ่ง วิธีที่ใช้ก็ตรงไปตรงมายิ่งเช่นกัน เขาปิดตา ปิดปาก ปิดจมูกบุตรคนรองของข้า จากนั้นก็บีบเขาอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ แต่ก็ยังเป็นไปตามแบบแผนเกินไป”
เฉินฉางเซิงไม่รู้จะพูดอะไร เขาไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ อย่าว่าแต่มีทักษะเลย
ในเวลาอันสั้น ปฏิคมก็มายืนนอกห้องอีกครั้งแล้วบรรยายว่าเกิดอะไรขึ้นในหอบรรพชน
“เจ้าว่าเขาทำอะไรนะ เล่นไพ่นกกระจอกในหอบรรพชนอย่างนั้นหรือ”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังหรี่ตาลงเล็กน้อย ยากที่จะบอกว่าเขามีดีใจหรือโมโหกันแน่
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาพลันยิ้มให้เฉินฉางเซิง “องค์สังฆราชสนใจจะเล่นกับข้าสักสองสามรอบหรือไม่”
เฉินฉางเซิงไม่สนใจในการเล่นไพ่นกกระจอก เขาไม่รู้วิธีเล่นด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม โชคยังดีที่เป็นคนเชี่ยวชาญในคัมภีร์เต๋าตั้งแต่เด็กและพัฒนาจิตกระบี่ได้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยก็เรียนรู้ได้แล้ว ไม่มีทางนานถึงหนึ่งชั่วยามเป็นแน่
เล่นไพ่นกกระจอกต้องมีสี่คน ดังนั้นหนานเค่อกับเจ๋อซิ่วจึงนั่งร่วมวงด้วย
เจ๋อซิ่วเองก็จำเป็นต้องเรียนก่อน และแม้ว่าหนานเค่อจะเคยเล่นไพ่นกกระจอกกับพวกพี่สาวในเมืองเสวี่ยเหล่านางก็ไม่ได้เล่นเก่งนัก
จึงคาดได้ว่าไพ่นกกระจอกจะดำเนินไปอย่างเชื่องช้ามาก
ตอนที่พวกเขาสับไพ่เรียงไพ่กันอยู่นั้น ข่าวจากหอบรรพชนกับเมืองเวิ่นสุ่ยก็ถูกส่งมายังจวนเก่าอย่างต่อเนื่อง รายงานถึงโต๊ะไพ่นกกระจอก
“คุณชายให้หอเฟิงไปยังสวนไผ่”
“หน่วยเมฆาถูกส่งไปยังเรือนสันต์ ดูเหมือนจะพบแผนที่หลายแผ่น”
“หอธาราถูกส่งไปเหอซื่อ แต่พวกเขาไม่อาจหาสมุดบัญชีที่คุณชายให้ค้นได้ หิมะหลังตึกมีร่องรอยการจุดไฟ”
มีโต๊ะไพ่นกกระจอกสองโต๊ะในเมืองเวิ่นสุ่ยที่ปกคลุมด้วยหิมะ
โต๊ะตัวหนึ่งอยู่ในหอบรรพชน อีกตัวหนึ่งอยู่ในจวนเก่า
อันที่จริงแล้ววันนี้มีคนเล่นไพ่อยู่แค่สองคนเท่านั้น
ถังซานสือลิ่วและอีกคนที่ไม่มีโต๊ะไพ่ ประมุขรองตระกูลถัง
ยิ่งมีข้อมูลรายงานมามากขึ้นเท่าไร ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังก็เล่นช้าลงเท่านั้น สีหน้าเปลี่ยนเป็นซับซ้อนยิ่งขึ้น
มีทั้งภูมิใจ เสียใจ กังวล อึดอัดและยังมีความตกลงใจที่แทบไม่อาจมองเห็นได้
ชายชราผอมกะหร่องในชุดสีเทาปรากฏกายขึ้นนอกห้องอย่างเงียบเชียบเมื่อใดก็ไม่ทราบ
ชายชราร่างผอมนี้มีสีหน้าอ่อนโยน ดูราวกับขุนนางเกษียณที่ละทิ้งทางโลก
แต่เจ๋อซิ่วกับหนานค่อต่างก็รู้สึกได้ถึงอันตรายอย่างชัดเจน แม้ว่าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังนั่งอยู่ข้างกายเขา เจ๋อซิ่วก็ยังเตรียมที่จะเปลี่ยนสภาพ
ราชันย์แห่งหลิงไห่กับอันหลินก็ไม่สนใจคำคัดค้านของตระกูลถัง พรวดพราดบุกเข้ามาในลานบ้านเล็กๆ นอกห้อง
เพราะพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงอันตรายเช่นกัน
จากพวกยอดฝีมือทั้งหมดนี้กลับไม่มีใครรู้ว่าชายชราผอมกะหร่องปรากฏตัวขึ้นเมื่อไหร่ หรือเขาเข้ามาในจวนเก่าอย่างเงียบเชียบได้อย่างไร
ราชันย์แห่งหลิงไห่เห็นโครงร่างของชายชราและรู้สึกว่าคุ้นตาอยู่บ้าง เขารู้สึกว่าเคยพบเห็นมาก่อนแต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน
แม้แต่ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังก็ยังประหลาดใจที่ชายชราปรากฏตัวขึ้น
“หิมะตกหนักเช่นนี้ทำไมเจ้ายังมาอีก โรคไขข้อของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ชายชราส่ายหน้าบ่งบอกว่าเป็นปกติดีแต่ไม่พูดอะไร ไม่ใช่ว่าเขาพูดไม่ได้หรือเห็นว่าคำพูดมีค่าดั่งทอง
ปฏิคมจวนเก่ามองดูชายชราด้วยความอึดอัด เช็ดเหงื่อเย็นเยียบออกจากหน้าผาก กล่าวด้วยเสียงสั่น “คุณชายต้องการจะใช้หอลงทัณฑ์”
ได้ยินเช่นนี้ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังก็นิ่งเงียบไป ดึงไพ่ที่กำลังจะทิ้งกลับมา
“ให้เขาใช้ ก็แค่ชั่วยามเดียว ตราบใดที่เขาไม่เผาหอบรรพชน เขาจะทำอะไรก็ได้ตามต้องการ”
ร่างของปฏิคมสั่น เห็นชัดว่าเขาไม่คาดคิดว่าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังจะเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของถังซานสือลิ่ว
เฉินฉางเซิงมองออกไปที่ราชันย์แห่งหลิงไห่นอกประตู ต้องการรู้ว่าหอลงทัณฑ์คืออะไร ราชันย์แห่งหลิงไห่ส่ายหน้าเล็กน้อยจนแทบมองไม่ออก บ่งบอกว่าพระราชวังหลีไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับที่แห่งนี้
ชายชราคำนับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง พยักหน้าให้เฉินฉางเซิงแล้วจากนั้นก็ออกจากจวนเก่าไป เขาไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
การเล่นไพ่นกกระจอกในหอบรรพชนยังดำเนินต่อไป การเล่นไพ่นกกระจอกในจวนเก่าก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ตอนที่ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังชนะในรอบแรก ปฏิคมก็กลับมา
ในตอนนี้หน้าผากเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ น้ำเสียงสั่นยิ่งกว่าเก่า
“คุณชาย…ต้องการใช้คนห้าเหล่า”
จวนเก่าพลันเปลี่ยนเป็นเงียบงันผิดปกติ
สีหน้าประมุขผู้เฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาฟาดไพ่กับโต๊ะและคำราม “เขาจงใจจะถล่มหอบรรพชนหรืออย่างไร!”
ปฏิคมไม่ได้เห็นประมุขผู้เฒ่าโมโหขนาดนี้มานานหลายปีแล้ว
ส่วนเฉินฉางเซิงกับพวกไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อน นอกจากจะตกใจแล้วยังสงสัยอย่างมากอีกด้วย ชื่อ ‘คนห้าเหล่า’ แปลกประหลาดมาก มันคืออะไรกัน
ความโกรธของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังค่อยๆ สงบลง เขากล่าวอย่างสงบ “ให้เขาใช้ไป”
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ปฏิคมก็กลับมา เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“กระท่อมไม้ถง… กระท่อมไม้ถงถูกเผาจนราบเป็นหน้ากลอง คุณชายสั่งให้เขยอ้วนไปเผาด้วยตัวเอง”
“กระท่อมไม้ถงเป็นห้องทำงานที่บุตรคนรองของข้าชอบที่สุด ภายในมีภาพวาดมากมายที่เขาใช้เงินส่วนตัวซื้อมา”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังอธิบายให้เฉินฉางเซิงฟัง
น่าแปลกที่ถึงแม้ถังซานสือลิ่วจะส่งคนไปเผาห้องทำงานของประมุขรองตระกูลถัง ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังก็ยังใจเย็นอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่าในสายตาเขา การกระทำของถังซานสือลิ่วที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง กระตุ้นความโกรธของสาขารองนั้นสำคัญน้อยกว่าหอลงทัณฑ์กับคนห้าเหล่า
ข้อมูลข่าวสารอีกอย่างหนึ่งถูกส่งมาจากหอบรรพชน
ข่าวนี้เป็นเรื่องไม่สำคัญ แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
ปฏิคมกล่าว “คุณชายกล่าวว่าไม่ค่อยสบายท้อง ดังนั้นเขาส่งคนไปยังอารามนางชีจีหมิงนอกเมืองเพื่อนำอาหารเจกลับมา”
นิ้วมือของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังเริ่มสั่น เขาดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน
ในที่สุดเขาก็วางไพ่ลงตรงหน้าและกล่าวกับเฉินฉางเซิง “เลิกเล่นเถอะ”
การเล่นไพ่นกกระจอกในจวนเก่ายุติลงแล้ว แต่ไม่มีใครรู้ว่าการเล่นที่หอบรรพชนจะจบลงเมื่อไหร่
เฉินฉางเซิงพลันเข้าใจบางอย่าง
ไม่ใช่ถังซานสือลิ่วกับประมุขรองที่เล่นไพ่กัน ทว่าเป็นถังซานสือลิ่วกับประมุขผู้เฒ่าต่างหาก
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ถังซานสือลิ่วแสดงว่าเขารู้ไพ่ในมือประมุขผู้เฒ่าทั้งหมด และเขาก็สามารถเล่นไพ่พวกนี้ได้อย่างดี
อย่างเช่นหอลงทัณฑ์กับคนห้าเหล่า
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับอาหารเจจากอารามนางชีจีหมิง