ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 25 พ่อค้าเจ็ดคนกับคนงานทางการหกคน
ตอนที่ 25 พ่อค้าเจ็ดคนกับคนงานทางการหกคน
นัยน์ตาของฉูซูหดลงจนเหลือเท่าเม็ดถั่วเขียว เต็มไปด้วยความระแวดระวังและความโกรธเกรี้ยวแผ่พุ่งออกมา
มีคนหาเขาเจอแล้ว
เขาไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นใครหรือว่าหาที่อยู่ของเขาในจวนที่กว้างใหญ่นี้ได้อย่างไร แต่ในฐานะทายาทนรกภูมิ เขาย่อมสัมผัสถึงอันตรายได้อย่างว่องไว ถึงกับเหนือกว่าเจ๋อซิ่วกับหนานเค่อในแง่นี้ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงลางร้ายอย่างชัดเจน
ไวเท่าความคิด เขาทำตามสัญชาตญาณล้วนๆ ดุจสัตว์อสูร ใช้วิชาดำดินจากไป
เสียงตุ้บดังขึ้นจากภูเขาจำลอง หินที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่แตกร้าวและแยกออก
การหลบหนีของฉูซูล้มเหลว เขายังอยู่ที่จุดเดิม ศีรษะและร่างกายเต็มไปด้วยคราบโคลนและเศษหิน ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสนงุนงง
เกิดอะไรขึ้น
……
……
ทันทีที่หมอดูทั้งสองยืนยันตำแหน่งของฉูซูได้ การโจมตีก็เริ่มขึ้น
พ่อค้าเร่ทั้งเจ็ดต่างก็มีพวงเงินรอบข้อมือ
พวงเงินเหล่านั้นหายไปอย่างฉับพลัน ตกลงบนแบบจำลองพร้อมกับหิมะ อาคารบ้านเรือนดูสมจริงแค่เล็กกว่าหลายร้อยเท่า
ริ้วธงที่ยังอยู่ในมือของหมอดูกลับชี้ตรงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ลมเริ่มพัดทำให้ริ้วธงยืดออกจนสุดและลอยขึ้น
มันดูราวกับธงใหญ่
แม่น้ำเวิ่นสุ่ยเริ่มเดือดพล่าน แม้แต่พืชน้ำที่ก้นแม่น้ำก็ยังส่ายไหวในขณะที่ปลานับไม่ถ้วนว่ายหนีไปทุกทิศทาง
การสั่นไหวแผ่ออกมาจากใต้พื้นดินและมาถึงพื้นผิวอย่างรวดเร็ว ทั้งสองฝั่งแม่น้ำเวิ่นสุ่ยเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
น่าประหลาด อาคารต่างๆ ในจวนริมแม่น้ำกลับไม่เสียหายแม้แต่น้อย
.……
……
.……
……
เสียงกรีดร้องดังก้องอยู่ในจวน
คนพวกนี้คือคนที่สบถด่าก่อนหน้านี้ ตอนนี้กำลังเอามือกุมหัววิ่งอุตลุด
ประมุขรองตระกูลถังยืนตรงหน้าดินที่ไหม้เกรียมซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของกระท่อมไม้ถง นึกถึงภาพอันงดงามที่เคยมีไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
เขารู้ว่าความสั่นสะเทือนนี้หมายความว่าค่ายกลได้ถูกเปิดใช้แล้ว
เขาหันหน้าไปทางหนึ่งแล้วพึมพำกับตัวเอง “แม้แต่คนห้าเหล่าก็มาแล้ว ท่านพ่อคิดอะไรอยู่กันแน่”
เขาดูเหมือนจะไม่สนใจชีวิตของฉูซู หรือว่าฉูซูจะถูกจับหรือไม่ เพราะอะไร
……
……
ค่ายกลที่ตระกูลถังจัดวางไว้ริมแม่น้ำเวิ่นสุ่ยและนิ่งเงียบมาเป็นเวลาหลายปีถูกเปิดใช้ ไอปราณโบราณสายแล้วสายเล่าพุ่งขึ้นจากพื้นดินและซ้อนกันเป็นชั้นๆ เหนือจวน
เมื่อพบว่าตนไม่อาจหนีผ่านพื้นดินได้ ฉูซูก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วน่าเหลือเชื่อ เปลี่ยนเป็นภาพพร่าเลือนสีเทาพยายามที่จะไปให้ไกลจากจวนให้มากที่สุด
เขาได้เร่งความเร็วถึงขีดสุด ต่อให้หนานเค่ออยู่ที่นี่นางก็ทำได้แต่ไล่ตามเขา ไม่อาจจับตัวได้ แต่ก็ยังเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะเร็วไปกว่าความเร็วของค่ายกลใหญ่ได้ ตอนที่เขามาถึงกำแพงจวนที่อยู่ห่างไปหลายลี้ แสงก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว กลายเป็นรูปครึ่งวงกลมที่ไร้ช่องว่าง
ฉูซูพุ่งชนกำแพงแสงอย่างไม่คิด ต้องการจะใช้ร่างกายอันแข็งแกร่งของตนและความเร็วดุจสายฟ้าฝ่าออกไป
ควันสีเขียวเหลืองพุ่งออกมาจากร่างเขาพร้อมกับเสียงดังทึบ
ฉูซูร้องด้วยความเจ็บปวด ถอยไปก้มหน้าดูร่างกายตัวเอง ทุกส่วนในร่างที่สัมผัสกับค่ายกลแสงกลายเป็นแผลลึกที่มีของเหลวไหลออกมาในตอนนี้ หยดลงบนหินปูพื้นเสียงดังฟู่ กัดกร่อนเป็นรูเล็กๆ ขึ้นบนพื้น
เขาเงยหน้าขึ้นมองกำแพงแสงตรงหน้า รู้ว่ายากที่จะฝ่าไปได้ จึงอดที่จะคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวไม่ได้
เมื่อไม่อาจทะลวงผ่านค่ายกล แล้วจะฝ่าออกไปได้อย่างไร เป็นธรรมดาที่ค่ายกลต้องมีคนควบคุม
สายลมพัดควันสีเขียวเหลืองอย่างฉับพลัน กระจายไปในสิ่งแวดล้อมและจางลงอย่างเห็นได้ชัด
แต่ดอกไม้พวกนี้ยังเบ่งบานกลางฤดูหนาวก็ยังเหี่ยวลงเมื่อสัมผัสถูก โดนพิษตายไปในทันที
ฉูซูหายตัวไป
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็มาถึงอีกฝั่งของจวน
เป็นฝั่งที่ติดกับแม่น้ำเวิ่นสุ่ย
เขาเห็นพ่อค้าเร่และหมอดูอีกฝั่งถนน ประกายความตกตะลึงก็ฉายขึ้นในดวงตาอันเย็นเยียบชั่วร้าย
คนพวกนี้เห็นได้ชัดว่ามีปราณธรรมดาอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาควบคุมค่ายกลที่น่ากลัว ทำลายการซ่อนตัวของเขาและกักขังเขาไว้ในที่แห่งนี้ได้อย่างไรกัน
ในช่วงเวลาที่ตึงเครียดนี้ เขาไม่มีเวลามาครุ่นคิดถึงปัญหานี้ เขาได้แต่คิดว่าจะข้ามแม่น้ำเวิ่นสุ่ยไปฆ่าคนพวกนี้ได้อย่างไร
ค่ายกลคลุมทั้งสองฝั่งแม่น้ำเวิ่นสุ่ยในขณะที่กำแพงแสงอยู่ห่างไปหลายลี้อีกฝั่งหนึ่งของจวน
ว่าตามเหตุผล เขาควรจะข้ามแม่น้ำไปได้อย่างง่ายดาย และลงมือสังหารพวกคนที่ควบคุมค่ายกลเหล่านั้น
แต่เขาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนและยังสัมผัสได้ชัดเจนยิ่งกว่าว่าใจกลางค่ายกลซึ่งเป็นจุดที่แข็งแกร่งที่สุด นั้นอยู่เหนือแม่น้ำเวิ่นสุ่ยพอดี
ในฐานะทายาทนรกภูมิ สิ่งชั่วร้ายที่เกิดขึ้นจากวิชาตัดศพของประมุขพรรคฉางเซิงคนก่อน ทั่วร่างกายของเขาก็คือพิษ วิญญาณเน่าเหม็น หากเขาต้องการจะข้ามแม่น้ำ ก็ต้องสัมผัสกับใจกลางค่ายกลที่ส่องแสงเจิดจ้า
ในตอนนั้นเขาต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีเต็มกำลังของค่ายกล
ไม่ว่าเขาจะเลือดเย็นและหยิ่งผยองเพียงใด ก็ไม่กล้าเอาร่างกายไปเทียบกับค่ายกลใหญ่ตระกูลถัง
เขาจำเป็นต้องคิดหาทางอื่น
หากเขามาจากพรรคอื่น คนที่ชั่วร้ายเน่าเหม็นมาตั้งแต่เกิดอย่างเขาคงไม่อาจหาวิธีที่จะซ่อนตัวจากใจกลางค่ายกลที่สว่างเจิดจ้าได้
แต่หลังจากเขาเกิดมา เขาก็ฝึกวิชาเต๋าที่เก่าแก่ดั้งเดิมที่สุด เขาจึงบังเอิญมีความสามารถที่จะทำได้
คำพูดฟังไม่ได้ศัพท์แฝงไว้ด้วยความคล้ายคลึงกับคาถาเต๋าอยู่จางๆ พรั่งพรูออกมาจากปากเขา
เขานั่งขัดสมาธิในท่าดอกบัว ดูสูงส่งสง่างาม
มือเขาปกคลุมไปด้วยขนและเกล็ดสีดำ หงายมือขึ้นสู่ท้องฟ้า
ปราณที่ศักดิ์สิทธิ์ยากบรรยายค่อยๆ ซึมออกมาจากร่างกายอันบิดเบี้ยว ห่อหุ้มเอาไว้จนหมด
ประดุจลาวาร้อนลวกห่อหุ้มหินเย็นสีดำ
ทุกคนมองเห็นได้แค่พื้นผิวสีแดงสว่างจ้าที่แผ่ความร้อนออกมา ไม่มีใครมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านล่าง
ฉูซูหายไปในแสงเจิดจ้าเหนือแม่น้ำเวิ่นสุ่ย
ราวกับเกล็ดหิมะตกลงไปบนทุ่งหิมะ หยดน้ำตกลงในมหาสมุทร
แม่น้ำเวิ่นสุ่ยอาบไปด้วยแสงไร้สิ้นสุด แม้ว่าลมหิมะด้านนอกจะส่งเสียงโหยหวน แม่น้ำเวิ่นสุ่ยก็ยังอบอุ่นในแสงสนธยาอันงดงาม
ทว่าการหายตัวไปของฉูซูทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
เป็นสิ่งที่แปลกประหลาด ราวผีหายตัวไปในเหวนรกก็ไม่ปาน ไม่อาจมองเห็นได้อีก
ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ หากฉูซูใช้แสงนี้ปิดปังร่างกายในยามที่เขาเข้าใกล้ฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบๆ พวกพ่อค้ากับหมอดูพวกนั้นจะหลบการลอบโจมตีได้อย่างไร
ด้วยเหตุบางอย่าง แม้ว่าพ่อค้ากับหมอดูจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหยดเลือดบนแบบจำลองหายไปในเวลาเดียวกับที่ฉูซูหายตัวไปในแสง และรู้ว่าเขาน่าจะเข้ามาหาพวกเขา แต่ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ไร้ความกังวลอย่างสิ้นเชิง
บางทีอาจเพราะคนเหล่าหนึ่งในหมู่พวกเขาก็เป็นเหมือนภูตพรายเช่นเดียวกัน
หากภูตพรายเข้าสู่เหวนรก ก็ยากที่จะหาพบ แต่หากภูตพรายเป็นฝ่ายที่ตามหาเล่า
ในโลกนี้ไม่มีภูตพรายจริงๆ แต่สำหรับคนมากสำนักงานทางการก็เหมือนกับแดนนรก คนงานทางการก็เป็นเหมือนกับภูตพรายที่มีหน้าที่ทวงชีวิต
คนงานทางการหกคนปรากฏขึ้นที่ริมฝั่ง เว้นระยะห่างระหว่างกันสิบกว่าจั้ง
โซ่พันอยู่รอบร่างกายของพวกเขาในขณะที่มือซ้ายกำตะบอง
ทั้งโซ่และตะบองเก่ามากและน่าจะถูกใช้มาหลายปีแล้ว พื้นผิวปกคลุมไปด้วยสนิมและคราบเลือด ดูชั่วร้ายและน่ากลัว
แม้ว่าลำแสงไร้สิ้นสุดส่องลงมาบนร่างของพวกเขา ปราณชั่วร้ายบนร่างของคนงานทางการก็ไม่สลายหายไป