ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 28 ตัวตนที่แท้จริงของผู้พิทักษ์ชราทั้งสอง
ปู่จิ้วจากตรอกเจียเอ๋อร์เช็ดเหงื่อบนหน้าผากและกล่าว “เสี่ยวถัง บางทีเจ้าอาจทำผิดไป คนนอกอย่างข้าไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจของตระกูลหรอก”
ถังซานสือลิ่วยิ้มให้เขาและตอบ “ข้าบอกปู่จิ้วไว้เลยว่า พวกเราทำให้เรื่องนี้ง่ายขึ้นได้ไม่ใช่หรือ หนิงสือเว่ยเป็นบุตรของน้องเมียท่าน หลังจากท่านปล่อยให้เขาลงสู่ทางนั้น ท่านคิดว่าเมียท่านจะยังยอมปล่อยท่านไปหรือ ท่านควรรีบคิดหาทางถอยเอาไว้นะ”
ก่อนประมุขเจ็ดตระกูลถังจะมีโอกาสได้พูด ถังซานสือลิ่วก็หุบยิ้มและกล่าวอย่างจริงจังมาก “อาสะใภ้เจ็ดนอนกับอารองมาตั้งหลายปี ท่านไม่รู้บ้างเลยหรือ”
ประมุขเจ็ดตระกูลถังมีสีหน้าดูไม่ได้ในตอนแรก แต่คาดไม่ถึงว่าหลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็สงบลง
“แน่นอน ข้ารู้ว่าเจ้ารู้ แต่ก่อนหน้านี้มีคนรู้เรื่องนี้ไม่มากนักนอกจากข้าที่รู้ ตอนนี้หากข้าประกาศเรื่องนี้ออกไป ท่านจะแสร้งว่าไม่รู้ได้อีกหรือ”
ถังซานสือลิ่วส่งสายตาสงสารให้แล้วกล่าว “ท่านจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร ช่วยข้ากำจัดอารองเป็นทางเลือกเดียวของท่าน”
ผู้พิทักษ์ชราจากตระกูลถังยืนอยู่ข้างโต๊ะตลอดเวลา
ไม่ว่าความลับที่พูดกันบนโต๊ะไพ่จะน่ากลัวเพียงใด สีหน้าเขาก็ไม่เปลี่ยนเลยสักนิด
แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อเขามองไปที่ถังซานสือลิ่วอีกครั้ง ก็มีประกายความชื่นชมอยู่ในแววตาเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
สามผู้อาวุโสที่ถังซานสือลิ่วเรียกมาหอบรรพชนเป็นคนที่ไม่มีอะไรโดดเด่นในตระกูลถัง น้อยคนนักที่จะรู้ว่าพวกเขาเป็นผู้ช่วยที่แท้จริงของประมุขรองตระกูลถัง ยิ่งไปกว่านั้นบทสนทนากับผู้อาวุโสเหล่านี้ไม่ใช่ว่าเป็นไปตามแผนของเขาทั้งหมดหรือวิธีที่ใช้นั้นยอดเยี่ยมยิ่งแต่…มันก็เหมาะสมอย่างยิ่ง
เขารู้ว่าผู้อาวุโสทั้งสามกลัวอะไรที่สุด ห่วงใยอะไรที่สุด รู้นิสัยที่จริงแท้ที่สุด
ความเข้าใจเช่นนี้น่ากลัวที่สุด และยังเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับคนที่จะเป็นผู้นำตระกูลถัง
เวลาหนึ่งชั่วยามหมดลงในที่สุด
เมืองเวิ่นสุ่ยหลุดจากมือถังซานสือลิ่วกลับคืนสู่ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง
ประตูหอบรรพชนปิดลงอีกครั้ง ไม่มีใครรู้ว่าจะมีวันเปิดขึ้นมาอีกหรือไม่
ผู้อาวุโสทั้งสามต่างก็พาความกังวลและอารมณ์ของตนเองจากไป การเล่นไพ่นกกระจอกรอบสุดท้ายถูกทิ้งไว้โดยเล่นไม่จบ
ผู้พิทักษ์ชราตระกูลถังไม่ได้จากไป เขายังยืนอยู่ด้านหลังถังซานสือลิ่ว
กำลังรอข่าวจากจวนเก่า
ข่าวนี้จะกำหนดว่าเขาต้องทำอะไรต่อไป
นี่ไม่เกี่ยวกับถูกหรือผิด มีแต่แพ้หรือชนะ
เช่นเดียวกับวิถีแห่งพ่อค้า
ผู้ชนะได้ฉลองในขณะที่ผู้แพ้ได้แต่จากไป
หากถังซานสือลิ่วชนะ เขาก็จะรอดชีวิตออกไป
หากเขาแพ้ ด้วยความสัมพันธ์กับเฉินฉางเซิง เขาย่อมไม่ตาย แต่จะไม่มีวันที่เขาจะได้ออกไป
……
……
การเล่นไพ่นกกระจอกในจวนเก่าตระกูลถังจบลงก่อนหน้านี้ เมื่อประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังได้ยินว่าถังซานสือลิ่วส่งคนไปอารามนางชีจีหมิงเพื่อสั่งอาหารเจ
อันที่จริงต่อให้เวลาหนึ่งชั่วยามจบลงแล้ว อาหารเจก็ยังอยู่ในห้องครัวหลังอารามนางชีจีหมิง ไม่อาจเสร็จได้ทันเวลา
พายุหิมะเกิดในลานบ้านเล็กของจวนเก่าอย่างไร้เสียง ไม่กระตุ้นเตือนผู้ใด เหมือนกับการมาถึงของผู้อาวุโสร่างผอม
ราชันย์แห่งหลิงไห่จ้องมองหน้าผู้อาวุโส รู้สึกว่ายิ่งนานยิ่งคุ้นตา
ชายชราผอมกะหร่องเข้าสู่ห้อง ดวงตาหลายคู่จับจ้องไปที่เขา
แม้แต่เจ๋อซิ่วก็ยังเป็นกังวลอยู่บ้าง ไม่ใช่เพราะตัวตนของผู้อาวุโสแต่เป็นสิ่งที่เขากำลังจะพูด
เฉินฉางเซิงไม่ได้รู้สึกเป็นกังวล แต่เตรียมตัวอยู่เงียบๆ หากที่เกิดขึ้นต่อมาไม่อาจที่จะเปลี่ยนใจประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังได้ เขาก็ได้แต่ใช้อีกวิธีหนึ่ง
เขาไม่ต้องการจะใช้วิธีนั้น แม้ว่าเขาจะมีผู้ช่วยที่แข็งแกร่งนอกเมืองเวิ่นสุ่ย เขาก็ไม่ต้องการให้มันไปถึงจุดนั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่ปล่อยให้ถังซานสือลิ่วถูกขังอขู่ในหอบรรพชนต่อไป
ผู้อาวุโสร่างผอมคำนับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังก่อนจากนั้นก็เฉินฉางเซิง เช่นเดียวกับที่เขาเคยทำตอนที่ปรากฏตัวครั้งแรกในจวนเก่า
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของผู้อาวุโสคนนี้ แต่เมื่อเห็นว่าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังปฏิบัติต่อเขาอย่างให้ความเคารพ ก็รู้ว่าคนผู้นี้มีความเป็นมาไม่ธรรมดาดังนั้นจึงทักทายกลับไปอย่างจริงจัง
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถาม “ผลเป็นอย่างไร”
ผู้อาวุโสร่างผอมตอบอย่างเรียบเฉย “องค์สังฆราชกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ประมุขใหญ่ถูกพิษจริงและเป็นการจัดเตรียมของประมุขรอง ข้าได้ส่งคนไปยังพรรคฉางเซิงเพื่อขอยาแก้พิษแล้ว”
ครั้นได้ยินเช่นนี้เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วก็มองตากัน ในที่สุดก็ผ่อนคลายลงได้บ้าง
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่ได้ตอบสนองอะไรให้เห็น หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าว “รบกวนท่านแล้ว”
เขาไม่ได้ถามผู้อาวุโสอย่างเจาะจงเช่นหลักฐานหรือแรงจูงใจ
ราวกับว่าผู้อาวุโสร่างผอมพูดอะไรเขาก็จะเชื่อ
ราชันย์แห่งหลิงไห่นอกห้องรู้สึกสงสัยมากขึ้นไปอีก ผู้อาวุโสผอมกะหร่องผู้นี้เป็นใคร หอลงทัณฑ์ตระกูลถังคืออะไร แล้วเหตุใดประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถึงได้เชื่อใจอย่างลึกล้ำ
ผู้อาวุโสคนนั้นเดินออกไปจากจวนเก่า
เมื่อเห็นหลังของเขาราชันย์แห่งหลิงไห่ก็ตระหนักได้ในที่สุดว่าเขาคือใคร สีหน้าเปลี่ยนไปและถามว่า “ท่านคือเว่ยซั่งซูหรือ”
สีหน้าอันหลินพลันเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำถามนี้ และนางก้มองไปที่ผู้อาวุโสคนนั้น
ผู้อาวุโสทำราวกับว่าไม่ได้ยิน ฝีเท้าไม่สะดุดเลยสักนิด เขาหายไปในพายุหิมะนอกจวนเก่า
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าเว่ยซั่งซูเป็นใคร แต่จากปฏิกิริยาของราชันย์แห่งหลิงไห่กับอันหลิน เขารู้สึกว่าต้องเป็นคนที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ทว่าเขาไม่มีโอกาสถามเพราะตอนที่ผู้อาวุโสร่างผอมจากไปก็มีแขกอีกคนมาถึง
เหมือนกับผู้อาวุโสร่างผอม พวกเขามาอย่างเงียบเชียบ ไม่ว่าสองผู้ยิ่งใหญ่นิกายหลวงหรือพวกเฉินฉางเซิงก็ไม่รู้ตัว
ผู้มาคือนักเล่นฉินตาบอด
นักเล่นฉินไม่ได้ให้ความสนใจกับคนอื่นในห้อง หรือคำนับให้เฉินฉางเซิง เขากล่าวกับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังโดยตรง “ตัวประหลาดนั่นซ่อนในจวนประมุขรอง มันมาจากนรกภูมิจริงๆ ฝึกวิชาของพรรคฉางเซิง ไม่ใช่เรื่องดี”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็กล่าว “ไม่มีเหตุผลให้มันหนีไปได้”
ความหมายของคำพูดนี้ชัดเจนมาก ในสายตาประมุขผู้เฒ่า เมื่อนักเล่นฉินตาบอดลงมือ ตัวประหลาดย่อมไม่อาจที่จะหนีไปได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเพียงใด
หลังจากผ่านไปนาน นักเล่นฉินตาบอดก็พูดในที่สุด “ข้าว่ามันลำบากใจอยู่บ้าง”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกล่าวอย่างหดหู่อยู่บ้าง “เรื่องมันผ่านไปแล้วเหตุใดต้องจดจำไว้อีก”
นักเล่นฉินตอบ “นี่เป็นเส้นใยสุดท้ายจากดวงวิญญาณของศิษย์น้อง ข้าอดหวังให้มันอยู่ในโลกนี้ต่อไปอีกสักหน่อยไม่ได้”
เฉินฉางเซิงได้ยินบทสนทนานี้ แต่ก็ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะเข้าใจความหมาย พอรู้แล้วก็ตกใจอย่างมาก
จากการประเมินของเขา ฉูซูมาจากนรกภูมิและเป็นไปได้มากว่าเป็นผลมาจากวิชาตัดศพของประมุขพรรคฉางเซิงคนก่อน
นักเล่นฉินตาบอดบอกว่านี่เป็นเศษดวงวิญญาณของศิษย์น้อง… นี่ไม่ได้หมายความว่าศิษย์น้องของเขาคืออดีตประมุขพรรคฉางเซิงหรอกหรือ
นี่ไม่ได้หมายความว่านักเล่นฉินตาบอดเป็นศิษย์พี่ของประมุขพรรคหรอกหรือ
เช่นนั้นแล้วเขาก็ต้องมีฐานะสูงมากในพรรคฉางเฉิง ถึงกับเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสจากรุ่นก่อนอย่างนั้นหรือ
คนเช่นนี้กลับซ่อนตัวอยู่ในตระกูลถัง ทำงานเป็นผู้พิทักษ์อย่างนั้นหรือ