ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 3 ถกบทลงโทษ
นักพรตไป๋สือเป็นมหามุขนายกตำหนักวัฒนธรรม มีฐานะสูงส่งในนิกายหลวง ตามกฎที่บันทึกไว้ในคัมภีร์เต๋า ต่อให้คนสำคัญในระดับเขาทำผิดกฎนิกาย การจะลงโทษเขานั้นก่อนอื่นสังฆราชต้องเปิดการประชุมในโถงใหญ่แห่งแสง ประกาศความผิดของเขาต่อนิกายและให้วิหารเมฆเหินลมตัดสินความผิด
นี่คือสิ่งที่อดีตสังฆราชได้ทำในการขับมู่จิ่วซือออกจากพระราชวังหลี
เฉินฉางเซิงสังฆราชองค์ปัจจุบันไม่ได้กลับไปจิงตูมานามปีแล้ว ต่อให้เขากลับไปจิงตูเพื่อถกเรื่องการลงโทษนักพรตไป๋สือ ก็จะมีคนที่อยู่ข้างนักพรตไป๋สือ หรืออย่างน้อยก็ขอร้องให้ละเว้นโทษตาย ซางสิงโจวก็อยู่ในจิงตู เขาย่อมไม่ยืนดูนักพรตไป๋สือถูกฆ่าแน่
เฉินฉางเซิงไม่ใคร่ครวญคำพูดของนักพรตไป๋สือแค่มองเขาและถามกลับไปอย่างใจเย็น “ทำไม”
เขาออกจากจิงตูมาสามปีแล้ว พระราชวังหลีก็อยู่ใต้แรงกดดันมหาศาลนับแต่นั้น แม้ว่าตำหนักหญ้าจันทรา ลานตะไคร่ และวิหารทั้งหกที่เหลือยังถูกผนึกไว้ พวกมันก็ไม่อาจป้องกันแรงกดดันไม่ให้แซกเข้ามาได้ หลังจากการบรรจบกันของเหนือใต้ ราชสำนักต้าโจวก็แข็งแกร่งอย่างที่สุด และโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิม ซางสิงโจวก็เป็นผู้สืบทอดที่ถูกต้องของนิกายหลวง เช่นเดียวกับเป็นนักปราชญ์ที่แท้จริงคนหนึ่ง ด้วยการกลับคืนสู่ทะเลดวงดาวของสังฆราชกับมหามุขนายกเหมยลี่ซา ก็ไม่มีใครอีกแล้วที่จะอายุมากไปกว่าเขาในนิกายหลวง ไม่มีใครมีประวัติการรับใช้ยาวนานกว่าเขา แม้แต่สังฆราชเฉินฉางเซิงก็ยังเป็นศิษย์ของเขา
ในสถานการณ์เช่นนี้ จะให้บางคนในนิกายหลวงไม่มีความคิดเป็นอื่นได้อย่างไร
เขาเคยคิดว่านักพรตซื่อหยวนกับราชันแห่งหลิงไห่จะเป็นสองคนที่น่าจะติดตามอาจารย์ของเขามากที่สุด เพราะพวกเขามีความขัดแย้งกับเขา แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นนักพรตไป๋สือ ถึงอย่างไรนักพรตไป๋สือก็เป็นหนึ่งในพยานคำสั่งสุดท้ายและนิ่งเงียบเสมอมา คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนทรยศนิกาย
“ทำไมน่ะหรือ เพราะข้าต้องคำนึงถึงอนาคตของนิกายหลวง ประโยชน์ของมนุษยชาติ” นักพรตไป๋สือจ้องไปที่ดวงตาของเฉินฉางเซิง “นิกายหลวงไม่ใช่นิกายของคนผู้เดียว แต่เป็นของผู้มีศรัทธานับล้านล้านคน มันไม่อาจเคลื่อนไหวไปตามความคิดขององค์สังฆราชเพียงลำพัง ไม่จนกว่าเจ้าจะเป็นปราชญ์ที่แท้จริง โชคไม่ดีแม้ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์โดดเด่น ถึงกับมีโอกาสได้เป็นนักปราชญ์ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ เจ้ากับข้าต่างก็รู้ดีว่าปรมาจารย์เต๋าย่อมไม่มีวันให้โอกาสนั้นกับเจ้า เจ้าก็รู้ว่าเจ้าไม่เคยมีโอกาสนั้น ดังนั้นหลังจากสามปี เจ้าจึงไม่อาจนิ่งเงียบและตัดสินใจว่าเจ้าจะเริ่มก่อพายุขึ้น”
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบ “ข้าเชื่อว่าหลายคนในนิกายหลวงกำลังตั้งตารอวันที่ข้าจะลุกขึ้นอีกครั้งหนึ่ง”
“คนพวกนั้นล้วนโง่เขลา” นักพรตไป๋สือไม่คิดจะปกปิดการดูถูกเมื่อเขามองไปที่ราชันแห่งหลิงไห่ เห็นได้ชัดว่าพวกที่เคยเป็นขุมกำลังใหม่นิกายหลวงที่นำโดยราชันแห่งหลิงไห่กับนักพรตซื่อหยวนยังคงมีท่าทีแข็งกร้าว หวังว่าเฉินฉางเซิงจะปกครองโลกในฐานะสังฆราชโดยเร็วที่สุด
นักพรตไป๋สือกล่าวต่อ “ทำไมองค์สังฆราชถึงได้เลือกเจ้าเป็นผู้สืบทอด เพราะข้ารู้สึกว่าศิษย์หลานนั้นคล้ายกับเขามาก แต่ตอนนี้ที่เจ้ายืนขึ้นและเริ่มพึ่งพาอำนาจของสังฆราช เริ่มพึ่งพาสิ่งที่เรียกว่ากลยุทธ์ เพื่อที่จะช่วงชิงชัยชนะกับราชสำนัก เจ้าก็ยิ่งคล้ายกับองค์สังฆราชน้อยลงไปทุกที กลายเป็นเหมือนกับอาจารย์เจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ หากเจ้าต้องการจะกลายเป็นคนแบบอาจารย์เจ้า แล้วเจ้าจะชนะเขาได้อย่างไร”
หลังจากกล่าว เขาก็หันไปทางราชันแห่งหลิงไห่และอันหลินแล้วตะโกน “พวกเจ้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยหรือ ทำไมนิกายหลวงต้องเดินสู่หายนะเพราะว่าเขาต้องการที่จะขัดคำสั่งอาจารย์ด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ทำไมเราไม่รับปรมาจารย์เต๋าเป็นสังฆราช!”
นอกอารามล้วนเงียบงัน ต้นไม้หลังประตูศักดิ์สิทธิ์สั่นไหวเล็กน้อยในสายลม ดอกไม้ขาวที่เพิ่งเบ่งบานเมื่อคืนร่วงหล่น
เฉินฉางเซิงมองไปยังเงาร่างที่ห่างไกลไม่ชัดเจนของเหล่านักบวชในป่า เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบในที่สุด “บางทีท่านไม่เข้าใจข้าดีนัก”
นักพรตไป๋สือไม่คาดคิดที่จะได้ยินคำตอบแบบนี้ เขานิ่งงันไปครู่หนึ่งจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบอีกครั้งหนึ่ง “มันไม่สำคัญ ตอนนี้อย่างมากเจ้าก็ทำได้แค่ปลดข้าจากตำแหน่งมหามุขนายก เจ้าอาจจะทำกับข้าเหมือนมู่จิ่วซือละทำลายการบำเพ็ญตน แต่ในวันที่ปรมาจารย์เต๋ากลับสู่พระราชวังหลี ข้าจะอยู่รอเจ้าที่นั่น”
อันหลินนิ่งเงียบแต่ราชันแห่งหลิงไห่กล่าว “ข้าทำงานร่วมกับเจ้ามาหลายทศวรรษ แต่ข้าไม่เคยตระหนักว่าเจ้าเป็นคนโง่แบบนี้”
นักพรตไป๋สือมองเขาด้วยสายตาเย็นชาแล้วถาม “เจ้าอยากป้ายความผิดอันใดให้กับข้า วางแผนทำร้ายองค์สังฆราชอย่างนั้นหรือ เหมือนกับที่ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน”
ราชันแห่งหลิงไห่ตอบ “ความผิดไม่ใช่คนอื่นป้ายให้ แต่เป็นเจ้าทำมันด้วยตัวของเจ้าเอง”
นักพรตไป๋สือเตือนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อย่าลืมว่านี่คือเวิ่นสุ่ย”
เวิ่นสุ่ยเป็นพื้นที่ของตระกูลถัง
ไม่ว่านิกายหลวงจะทรงอำนาจเพียงใด หากพวกเขาต้องการจะประหารนักพรตไป๋สือที่นี่ พวกเขาก็ไม่อาจซ่อนเรื่องนี้จากตระกูลถังได้ ยังหมายความว่าหากเฉินฉางเซิงต้องการจะรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎนิกาย เขาก็ทำได้แค่กักขังนักพรตไป๋สือและบางทีอาจทำลายการบำเพ็ญตน แต่ไม่อาจประหารเขาได้
ในตอนนี้ เสียงฝีเท้าดังมาจากป่า มหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยมาถึงตรงหน้าอารามพร้อมกับจดหมายในมือ
มหามุขนายกก้มหน้าลง ไม่แม้แต่จะมองไปทางนักพรตไป๋สือที่อาบไปด้วยเลือด หรือแสดงสีหน้าประหลาดใจแต่อย่างใด เขาสงบเยือกเย็นเหมือนเช่นปกติ
“องค์สังฆราชจดหมายที่รอมาถึงแล้ว”
เฉินฉางเซิงรับจดหมายมาและเปิดออก อ่านข้อความข้างใน
ราชันแห่งหลิงไห่กับอันหลินหันไปมองเช่นเดียวกับกวนเฟยไป๋และเจ๋อซิ่ว แม้แต่นักพรตไป๋สือที่ชะตาแขวนอยู่บนเส้นด้ายก็ยังมองมา
พวกเขารู้ว่ามีบางคนตอบจดหมายกับเฉินฉางเซิงตลอดเวลาที่ผ่านมา เรื่องศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานและเส้นทางมาเวิ่นสุ่ยล้วนถูกกำหนดโดยคนที่เขียนจดหมาย
ทุกคนรู้สึกสงสัยอย่างมากว่าคนเขียนจดหมายเป็นใคร
มีแต่หนานเค่อที่ไม่สนใจเรื่องนี้ นางยังคงเชื่อฟังคำสั่งของเฉินฉางเซิง ยืนอยู่ตรงหน้านักพรตไป๋สือและจ้องตาเขา
หลังจากอ่านจดหมาย เฉินฉางเซิงก็ดูเหมือนจะตกอยู่ในความคิดไตร่ตรอง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ส่งจดหมายให้ราชันแห่งหลิงไห่
นักพรตไป๋สือเย้ย “ทำเป็นลึกลับ…คนผู้นั้นเขียนอะไร หรือว่าจะเดาเรื่องนี้ได้ล่วงหน้า”
ราชันแห่งหลิงไห่ละสายตาจากจดหมายและมองไปที่ใบหน้าของนักพรตไป๋สือด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
นักพรตไป๋สือพลันรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาเล็กน้อย
ราชันแห่งหลิงไห่กล่าว “เจ้าเดาถูกแล้ว คนผู้นี้บอกว่าเราต้องฆ่าเจ้าเพื่อประกาศความแข็งแกร่งของเรา”
สีหน้าของนักพรตไป๋สือเปลี่ยนไปกับคำพูดนี้
เขาไม่รู้ตัวตนของคนที่เขียนจดหมาย แต่เขาก็รู้ว่ามีเรื่องมากมายของนิกายหลวงเกิดขึ้นในช่วงนี้ก็เพราะปลายพู่กันของคนผู้นี้
ที่สำคัญจากที่เขาสังเกตมาตลอด เขามั่นใจว่าเฉินฉางเซิงเชื่อใจคนผู้นี้อย่างมากและทำตามคำพูดทุกประการ
ตอนนั้นเองที่มีนักบวชคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่ชายป่า
มหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยไปสอบถาม เขากลับมาหลังจากผ่านไปครู่หนึ่งและกระซิบกับเฉินฉางเซิง “ประมุขรองตระกูลถังมาเพื่อแสดงความเคารพต่อองค์สังฆราช”