ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 30 ประมุขรองมีบางอย่างจะพูด
“พวกเจ้าไม่มีใครมาเมืองเวิ่นสุ่ยเพื่อสืบเรื่องอันใด แค่มาแสดงอำนาจผ่านเรื่องนี้เท่านั้น บ่อนทำลายตำแหน่งของข้าในใจท่านพ่อ ในตอนนี้พระราชวังหลีไม่สนับสนุนข้า ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่สนับสนุนข้า สำนักต้นไหวไม่สนับสนุนข้า หลีซานไม่สนับสนุนข้า และตอนนี้แม้แต่ตระกูลชิวซานก็ไม่สนับสนุนข้า ตอนนี้เจ้าบอกว่าข้าร่วมมือกับเผ่ามารทำลายชื่อเสียงข้า ต่อให้ข้าไม่สนใจและไม่มีใครกล้าพูด ท่านพ่อก็ยังต้องพิจารณาเรื่องนี้”
ประมุขรองตระกูลถังมองเฉินฉางเซิงและกล่าว “อันที่จริงเจ้าฉลาดกว่าคนทั่วไปและเหล่าสาวกคิดไว้ ยังมีชิวซานกับหลานชายข้าคนนั้น แม้ว่าเจ้าจะยังเยาว์ วิธีของเจ้านั้นก็ไม่เลวเลย ข้าถือว่าตัวเองเป็นคนเจ้าเล่ห์โหดร้าย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าจะถูกพวกเจ้าเล่นงานจนน่าอนาถ ย่อมเป็นปัญหากับข้าอย่างมากที่จะแก้สถานการณ์นี้”
เฉินฉางเซิงถาม “ขอข้าทำความเข้าใจหน่อย ท่านเพิ่งยอมรับเมื่อครู่นี้ใช่ไหมว่าร่วมมือกับเผ่ามาร”
ประมุขรองตระกูลถังหัวเราะ ยังไร้เสียงเช่นเคย เขาหุบยิ้มแล้วมองดูทุกคนราวกับดูฝูงตัวปัญญาอ่อน “ข้าย่อมไม่ยอมรับว่าข้าร่วมมือกับเผ่ามาร และต่อให้ข้าทำแล้วจะทำไม เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเผ่ามารจะถูกทำลายจนหมดสิ้น สุดท้ายแล้วก็จะมีการสงบศึก จะรักษาความสงบสันติได้อย่างไรนั้นก็ย่อมผ่านการค้าและเจรจา ข้าไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าทำงานล่วงหน้าไปหน่อยเท่านั้น”
ทุกคนนิ่งเงียบไปด้วยคำพูดนี้ จวนเก่าเงียบงันไปอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากเวลาผ่านไป เฉินฉางเซิงก็ตอบ “มุมมองของท่านนั้นค่อนข้างมีเหตุผลทีเดียว แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน การกระทำของท่านไม่ถูกต้อง”
“ข้าผิดได้อย่างไร นับแต่ข้ายังเด็ก ท่านพ่อสอนพวกเราเสมอว่าตระกูลถังเป็นตระกูลพ่อค้า พ่อค้าอย่างไรก็เป็นพ่อค้า ต้องการอะไรก็ใช้เงินซื้อเอา”
ประมุขรองตระกูลถังเย้ย “มีสิ่งที่เรียกว่าเงินสกปรกด้วยหรือ”
ในตอนนั้นเองเสียงหนึ่งดังขึ้น
“บางครั้งพ่อค้าก็ไม่อาจเป็นแค่พ่อค้า”
คนพูดคือประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง
สายตาเขามองไปที่พายุหิมะเบื้องนอก บางทีนึกถึงพายุหิมะที่ปกคลุมเมืองลั่วหยางเมื่อหลายปีก่อนโน้น
“บางเรื่องอาจถูกต้องหากเจ้าทำอีกหลายร้อยปีให้หลัง แต่เมื่อเจ้าทำในตอนนี้ เจ้าก็ผิดแล้ว”
……
……
คำพูดของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังคือคำพิพากษาในเรื่องนี้
เห็นได้ชัดว่าประมุขรองตระกูลถังไม่คาดคิดว่าบิดาตนจะกล่าวเช่นนี้
เขามองไปทางประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังอย่างสุขุม ไม่มีความโกรธเกรี้ยว ไม่ผิดหวัง แค่มองเท่านั้น
จากนั้นก็หัวเราะอย่างไร้เสียงอีกครั้ง ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความดูถูกและอาฆาต อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ยังมีความอ่อนล้าและปลดปล่อยอยู่บ้าง
เมื่อคำพิพากษาออกมาแล้ว จุดจบจะเป็นเช่นใด
ที่เกิดขึ้นต่อไปเป็นเรื่องภายในของตระกูลถัง ราชันแห่งหลิงไห่ เจ๋อซิ่วและคนอื่นล่าถอยออกจากจวนเก่า เหลือไว้แค่บิดา บุตรและเฉินฉางเซิง
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมองไปที่ประมุขรองตระกูลถังและกล่าว “ตอนที่พวกเจ้าทั้งหมดยังเด็ก ข้าพูดหลายเรื่องกับเจ้า บางเรื่องเจ้าจำได้จนทุกวันนี้ อย่างเช่นคำพูดที่เจ้าเพิ่งกล่าวเมื่อครู่ ดังนั้นเจ้าคงจำได้ตอนที่ข้าพูดว่า ไม่ว่าจะเป็นตระกูลถัง ตระกูลชิวซาน ตระกูลอู๋หรือตระกูลมู่ท่า เหตุใดพวกเขาถึงสามารถดำรงอยู่ได้มานาน การสืบทอดไม่เคยถูกขัดเลยสักครั้ง”
ประมุขรองตระกูลถังมองไปที่พายุหิมะด้านนอกแล้วตอบ “เพราะความขัดแย้งภายในไม่เคยเกิดขึ้นในตระกูลของพวกเรา”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่สนว่าบุตรชายหันหลังให้ “ถูกต้อง ตระกูลอย่างพวกเราสามารถต่อสู้กับพายุใหญ่ภายนอกได้ แต่หากเริ่มมีการเน่าในก็จะเป็นอันตราย คิดเรื่องตระกูลต่างๆ ในเมืองเทียนเหลียงที่เจิดจ้าราวดวงตะวันในยามที่อยู่จุดสูงสุด ตอนนี้พวกเขาค่อยๆ เหี่ยวแห้งไป มีแต่ตระกูลเฉินที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ แต่พวกเขาเองก็แทบจะจบสิ้นเนื่องจากความขัดแย้งภายใน ดังนั้นพวกเราตระกูลใหญ่ทั้งสี่จึงกังวลเรื่องนี้เสมอมาและคิดหาวิธีนับไม่ถ้วนเพื่อจัดการกับมัน ข้าเคยเชื่อว่าวิธีการของข้าถูกต้อง ก่อนที่เสี่ยวถังจะสืบทอดตระกูล ข้าไม่ปล่อยให้สาขาอื่นมีทายาท ตัดความปรารถนาและตัดโอกาสที่จะเกิดความคิดแอบแฝงในใจของพวกเจ้า”
ประมุขรองตระกูลถังหันกลับมาเผชิญหน้ากับบิดา กล่าวอย่างเรียบเฉย “แต่ท่านพ่อเคยคิดหรือไม่ว่ามันไม่ยุติธรรมกับพวกเราอย่างมาก”
“ใช่ มันไม่ยุติธรรม แต่เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดเช่นนี้” ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังก็พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเช่นกัน “เพราะภายหลังข้าเปลี่ยนใจและคิดจะส่งต่อตระกูลให้เจ้า เจ้าเองก็มีทายาทแล้วในตอนนี้ ดังนั้นเข้าจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าจึงวางยาพิษพี่ชายตัวเอง”
ประมุขรองตระกูลถังยังคงเงียบอยู่
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกล่าวเสริม “แน่นอนว่าการวางยาพิษไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างที่เจ้าพูดตระกูลถังของเราเป็นพ่อค้า มีอะไรบ้างที่เราไม่อาจทำเพื่อเงิน”
ประมุขรองตระกูลถังรู้ว่าบิดายังกล่าวไม่จบ จึงยังเงียบต่อไป
“แต่เจ้ารีบเร่งเกินไป”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกล่าวอย่างจริงใจ “ก่อนที่เจ้าจะทำเรื่องทั้งหมดนี้ เจ้าเคยถามข้าสักครั้งหรือไม่ เคยคิดที่จะลองดูท่าทีของข้าบ้างหรือไม่”
ประมุขรองตระกูลถังไม่อาจที่จะเงียบต่อไป เพราะเขาต้องการที่จะหัวเราะและยิ้มกล่าว “ข้าจำเป็นต้องทำเช่นนั้นด้วยหรือ”
บางทีอาจเป็นเพราะท่าทีของเขาหรือคำถามนี้กระตุ้นความโกรธทำให้ใบหน้าของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังเย็นชาขึ้นมาและย้อนกลับไปอย่างรุนแรง “เจ้าคิดว่าอย่างไร นี่เป็นตระกูลถังของเจ้าหรือตระกูลถังของข้า ในอนาคตย่อมเป็นตระกูลถังของเจ้า แต่ตอนนี้มันยังเป็นของข้า! เมื่อเป็นตระกูลถังของข้า เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาปกปิดเรื่องมากมายจากข้า!”
ประมุขรองตระกูลถังมองเขาอย่างสุขุม นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็พูดอย่างดูถูก “เป็นเรื่องนี้เองสินะ”
เขากำลังดูถูกตัวเองหรือดูถูกโลกนี้
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถาม “เจ้าว่าอะไรนะ”
“พูดไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะทุกอย่างที่ท่านพูดนั้นผิด ท่านพ่อ สิ่งที่ท่านต้องการไม่ใช่เหตุผล แต่เป็นความเคารพ ท่านแค่ต้องการที่จะรักษาความลึกลับเอาไว้ ซ่อนตัวอยู่ในจวนเก่าและเล่นไพ่นกกระจอกทุกวี่วัน เป็นธรรมดาที่บรรดาลูกและปฏิคมดูแลกิจการให้ท่าน หากเราทำได้ดี ท่านก็กล่าวคำชมไม่กี่คำ หากทำได้ไม่ดี นั่นก็จะเป็นปัญหา ท่านก็จะโยนทิ้งไปราวกับเป็นผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่ง”
ประมุขรองตระกูลถังมองดูบิดาของตนและกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “ใช่แล้ว ท่านกังวลแค่ว่าตระกูลถังนี้เป็นตระกูลถังของท่านหรือเปล่าอย่างนั้นหรือ”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังหรี่ตากล่าว “นั่นเป็นเพราะเจ้าทำสิ่งที่ข้าไม่อาจทนได้”
“ท่านไม่อาจทนได้อย่างนั้นหรือ” ประมุขรองตระกูลถังเสียงดังขึ้นในทันที “ท่านไม่ได้เพิ่งพูดเองหรือว่าตราบใดที่ตระกูลไม่ล่มสลาย ต่อให้ข้าวางยาพิษท่านก็ไม่เป็นปัญหา!”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ข้าพูดได้แต่เจ้าไม่อาจพูด แค่นี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ”
ประมุขรองตระกูลถังตอบอย่างเย็นชา “เพราะมันโหดเหี้ยมเกินไปอย่างนั้นหรือ ที่เจ้าสำนักซางให้การสนับสนุนข้าด้วยกำลังทั้งหมดของราชสำนักก็เป็นเพราะข้าเป็นคนโหดเหี้ยมเหมือนกับท่านไม่ใช่หรือ”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังหรี่ตายิ่งกว่าเก่า ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็กล่าวในที่สุด “สิ่งที่ทำให้ข้าผิดหวังในตัวเจ้าที่สุดในวันนี้ก็คือประโยคนี้”
ใบหน้าประมุขรองตระกูลถังเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน แต่เขาไม่ตอบโต้
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกล่าว “ข้ารู้จักกับซางมาหลายศตวรรษ เราทั้งคู่ต่างก็เดินในเส้นทางเดียวกัน ข้ารู้ว่าเขาน่าเกรงขามเพียงใด จิตใจน่ากลัวแค่ไหน ที่เจ้าพูดเมื่อครู่บ่งบอกว่าใจเจ้ายอมแพ้ให้กับเขาแล้ว แต่ตระกูลถังทำได้แค่ร่วมมือกับเขาเท่านั้น หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป เจ้าจะนำตระกูลถังไปสู่หายนะ”
ครั้นได้ยินเช่นนี้ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังก็หรี่ตา
“แล้วท่านเล่า ท่านคิดจริงๆ หรือว่าจะส่งมอบตระกูลถังให้กับข้า”
น้ำเสียงเขาอ่อนลง แต่ก็ไม่สงบ เสมือนบรรจุไว้ด้วยความไม่พอใจมาหลายปี “ใช่ ท่านคิดเกี่ยวกับข้าในช่วงสามปีมานี้ แต่การที่ท่านตัดสินใจนั้นก็เป็นเพราะข้าทำให้ลูกชายคนโตของท่านพิการ เพราะหลานชายที่ท่านฝากความหวังเอาไว้ยืนกรานอย่างโง่เขลาที่จะอยู่ข้างเฉินฉางเซิง ท่านจึงถูกบีบให้เลือกข้า”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถาม “หากข้าไม่มอบตระกูลให้เจ้า แล้วจะมอบให้ใครกัน”
“มอบให้ใครอย่างนั้นหรือ” ประมุขรองตระกูลถังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เสียงหัวเราะที่หาได้ยากออกมาจากปากของเขา “ฮ่าๆๆ …มอบให้ใคร”
เขาคำรามอย่างเกรี้ยวกราด “ท่านคิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่รู้ว่าคนผู้นั้นมาเยือนจวนเก่าเมื่อสามวันก่อน ท่านเคยบอกเรื่องนี้ต่อข้าหรือเปล่า ไม่! เพราะท่านกลัวว่าข้ากับราชสำนักจะโจมตีเขา เพราะที่นี่คือเมืองเวิ่นสุ่ย! ท่านยังมีความหวังในตัวเขาอยู่หรือ หลังจากผ่านมาหลายปี ท่านยังรู้สึกว่าข้าอ่อนด้อยกว่าเขาอีกหรือ อย่าลืมว่าเขาแซ่หวังไม่ใช่ถัง ใครกันแน่ที่เป็นลูกชายตัวจริงของท่าน!”