ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 36 การเล่นไพ่นกกระจอกครั้งใหม่
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกล่าว “ลูกหมาน้อยอย่างเจ้าจะพูดอะไรกัน”
ถังซานสือลิ่วยิ้มกว้างตอบ “ตาเฒ่า ท่านคิดว่าไพ่นกกระจอกนี่เล่นจบแล้วหรือ”
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เฉินฉางเซิงรู้สึกได้แต่ความเย็นเยียบจากรอยยิ้มนี้ จากนั้นก็รู้สึกเศร้าในฐานะเพื่อนของเขา
ประโยคแรกที่ถังซานสือลิ่วกล่าวหลังจากออกมาจากหอบรรพชนตระกูลถังก็คือ ‘แล้วไอ้แก่ไม่ยอมตายนั่นล่ะ’
เมื่อเทียบ ‘ไอ้แก่ไม่ยอมตาย’ กับ ‘ตาเฒ่า’ แล้วอย่างแรกย่อมมีแสดงความขุ่นเคืองใจมากกว่า
แต่การที่ใช้อย่างหลังไม่ได้หมายความว่าความขุ่นเคืองใจนั้นหายไป แค่เขามีความเฉยชามากขึ้นเท่านั้น
คำพูดเฉยชาที่ไร้ซึ่งความรู้สึก
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังนั้นไร้ความรู้สึกเกินไป
จากภายนอก เหตุการณ์เมื่อวานแสดงให้เห็นถึงความปราดเปรื่องและเด็ดเดี่ยวของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง
หลังได้ยินว่าบุตรคนรองร่วมมือกับเผ่ามาร เขาก็แสดงความยุติธรรมและลงโทษบุตรชายตนเอง
แต่ถังซานสือลิ่วไม่ได้คิดเช่นนั้น
เขาคิดอยู่เงียบๆ มานานครึ่งปีเต็มในหอบรรพชน ดังนั้นจึงคิดทุกอย่างได้อย่างแจ่มชัดมานานแล้ว
เขามองออกแล้วว่าปู่ของตนเองเป็นเช่นใด
หากเฉินฉางเซิงไม่ได้มาเวิ่นสุ่ย บิดาเขาต้องตายและเขาก็ต้องถูกขังในบ้านไปจนตาย
ไม่ว่าจะเป็นการวางยาพิษหรือต่อสู้ชิงอำนาจ หลายสิ่งที่ประมุขรองตระกูลถังทำลงไป แต่ตระกูลถังเป็นของผู้ใดกันเล่า
หากไม่ใช่เพราะประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังนิ่งเงียบอยู่ตลอดเวลา เรื่องเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน
นี่ยังไม่รวมการขังถังซานสือลิ่วไว้ในหอบรรพชนที่เป็นคำสั่งโดยตรงของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง
หากต้องการจะหาตัวการร่วมของเรื่องทั้งหมดนี้ ก็มีแต่ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังเท่านั้น
แต่ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังคาดไม่ถึงว่าเพื่อเห็นแก่หลานชายของตน นิกายหลวงจะแสดงจุดยืนที่แข็งขืนเช่นนี้ ยินดีที่จะทำลายล้างตามอำเภอใจ การที่เฉินฉางเซิงปรากฏตัวในเมืองเวิ่นสุ่ยไม่ใช่สิ่งที่สังฆราชซึ่งเป็นผู้ใหญ่และสำรวมซึ่งเห็นแก่นิกายหลวงกับประชาชนจะพึงกระทำ เขาเป็นเหมือนพวกบ้าคลั่งใจร้อนที่เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่คิดว่าสถานศึกษาหนานซีกับสำนักกระบี่หลีซานจะมีจุดยืนที่เด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ฝ่ายหลังถึงกับทำให้ตระกูลชิวซานถอนตัว เขาประหลาดใจยิ่งขึ้นเมื่อผู้เยาว์เหล่านี้หงายไพ่ เผยให้คนมากมายเห็นความจริงเบื้องหลังไพ่นกกระจอกตานี้
……
……
ไพ่นกกระจอกที่ทำจากหยกถูกสับไม่หยุดหย่อน เสียงไพ่กระทบกันฟังไม่รื่นหู แล้วก็ค่อยๆ ถูกจัดเรียง
ถังซานสือลิ่วมีความคุ้นเคยกับการสับไพ่ ไม่ลืมที่จะพูดคุยกับเฉินฉางเซิงไปด้วย “นับตั้งแต่ข้ายังเด็ก ข้าก็อยากจะเล่นไพ่นกกระจอกในห้องนี้มาตลอด แต่ตาเฒ่านี่บอกตลอดว่าข้ายังเด็กเกินไป ไม่เคยให้โอกาสข้าเลย อันที่จริง ในเรื่องการเล่นไพ่นกกระจอกนั้นเขาสู้ข้าไม่ได้”
หลังจากได้รู้ว่าสวีโหย่วหรงเคยเล่นไพ่นกกระจอกกับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง เฉินฉางเซิงก็สงสัยมาตลอดว่าทำไมถังซานสือลิ่วไม่เคยพบนาง หลังจากได้ยินเช่นนี้จึงได้รู้เรื่องราวเบื้องหลัง ในตอนนั้นถังซานสือลิ่วยังเป็นเด็กในสายตาประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาในห้องนี้
“เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเจ้ามีสิทธิ์มาเล่นไพ่นกกระจอกกับข้า”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่เคลื่อนไหว มือขวาลูบไม้เท้าในขณะที่มองถังซานสือลิ่วอย่างใจเย็น
ถังซานสือลิ่วไม่มีความคิดที่จะแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโส เขาจัดไพ่ของตัวเองเสร็จแล้ว ไม่สนใจไพ่ที่เหลือซึ่งกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ
เขากล่าว “ที่ข้าเล่นกับอารองก็ไม่เลวไม่ใช่หรือ”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังตอบ “นั่นเป็นเพราะข้ามอบไพ่ดีให้เจ้า”
ถังซานสือลิ่วตอบ “แต่ไพ่สุดท้ายนั่นก็เป็นของข้า”
ทั้งสองต่างถูกต้อง
หอลงทัณฑ์กับเว่ยซั่งซู คนห้าเหล่า กำลังลับของจวนเก่าล้วนเป็นไพ่ดีที่ตระกูลถังมอบให้
ตอนที่ไพ่พวกนี้ถูกวางในมือถังซานสือลิ่ว ประมุขรองตระกูลถังย่อมไม่อาจที่จะสู้ได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไม่สู้ แต่เขากลับทุ่มความหวังทั้งมวลไว้กับการโจมตีครั้งสุดท้าย แต่เขาไม่คาดคิดว่าถังซานสือลิ่วก็ซ่อนไพ่ดีเอาไว้เช่นกัน
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ไม่มีไพ่ของข้า เจ้าก็เสียทุกอย่างไปแล้ว แล้วจะสามารถอยู่มาจนถึงรอบสุดท้ายได้อย่างไร”
“มีเหตุผล”
ถังซานสือลิ่วเงยหน้าแล้วกล่าว “เช่นนั้นวันนี้ ข้าจะไม่ใช้ไพ่ของตระกูล ข้าจะใช้ไพ่ของข้าเล่นกับท่านสักตา”
เมื่อเขากล่าวก็มองไปที่ดวงตาประมุขผู้เฒ่า สายตาประสานกัน ช่างไม่สุภาพและหนักแน่นยิ่งนัก
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกล่าวอย่างเย้ยหยัน “ลูกหมาน้อยอย่างเจ้ามีไพ่ดีอันใด”
ถังซานสือลิ่วตอบ “ไพ่ของเขาก็คือไพ่ของข้า ใครกล้าพูดว่าไพ่พวกนี้ไม่ดี” แล้วเขาก็หันไปหาเฉินฉางเซิงแล้วถาม “ขอข้ายืมหน่อยได้ไหม”
เฉินฉางเซิงตอบ “นั่นไม่ใช่หนังสือ หากต้องการจะใช้ก็เอาไป”
“ทำไมต้องทำเป็นใจกว้างด้วย” ถังซานสือลิ่วพูดอย่างเย้ยหยัน “ตอนที่ข้าอยากดูกระบี่ของเจ้า เจ้าไม่ยอมให้ ทำอย่างกับว่าเป็นเรื่องใหญ่โต”
เขาพูดถึงเรื่องเก่าในโรงเตี๊ยมสวนหลีจือ
ทั้งสองมองตากันแล้วยิ้ม ไม่เถียงกันอีก
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่ยิ้ม ใบหน้าเขาเคร่งขรึมขึ้นเป็นครั้งแรก
……
……
คนเดียวที่ได้ชมการต่อสู้ระหว่างปู่หลานตระกูลถังครั้งนี้ก็คือเฉินฉางเซิง
แม้เขาจะไม่ได้เล่นด้วย แต่เขาก็ไม่ใช่แค่คนดูเท่านั้น ถึงอย่างไรบนโต๊ะที่วางตรงหน้าถังซานสือลิ่วก็เป็นไพ่ของเขา
ไพ่นกกระจอกตานี้ไม่ได้เล่นตามกติกาของจิงตู ไม่ใช่การต่อสู้นองเลือดจนจบซึ่งเป็นที่นิยมในเมืองเวิ่นสุ่ย ไม่ใช่เลือดไหลนองเป็นธารซึ่งเป็นที่นิยมของศิษย์สำนักกระบี่หลีซาน
วิธีเล่นของถังซานสือลิ่วนั้นเหมาะกับนิสัยของเขาอย่างที่สุด แต่ก็เป็นวิธีที่มือใหม่อย่างเฉินฉางเซิงสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดาย
วัดว่าใครใหญ่กว่า
เสียงกระทบดังก้องห้องที่เงียบงัน
เป็นเสียงปะทะของไพ่หยกกับโต๊ะไม้แข็ง
ไพ่ถูกโยนลงบนโต๊ะ พวกมันถูกวางไว้เงียบๆ เหมือนกับม้ามังกรที่หมอบอยู่ในทุ่งหญ้า เผยพุงให้รับแสงแดดอบอุ่น
ทหารและม้าจัดเรียงแถวและบุกไปไม่หยุดหย่อนตามคำสั่ง
ไพ่มังกรแดง (中) คือธงที่ย้อมสีแดงพลิ้วไหวในสายลม ทหารม้านิกายหลวง กองทัพซงซาน กองทัพจงโจว
ไพ่สองไผ่คือทวน ฮวาเจี๋ยเซียวจางที่ถูกราชสำนักไล่ล่ามาสามปีแต่กลับตอบโต้ด้วยการฆ่ายอดฝีมือที่ถูกส่งมาไปไม่น้อย
แล้วยังมีดาบ มังกร พยัคฆ์และเหล่าผู้ศรัทธานับล้าน
ลูกไก่ก็คือนกยูงและยังมีหงส์อีกด้วย
……
……
ถังซานสือลิ่วหงายไพ่ในมือทั้งหมด
เฉินฉางเซิงถามอย่างอึดอัดอยู่บ้าง “การบรรยายเช่นนี้ออกจะทำให้พวกนางไม่พอใจใช่ไหม”
ถังซานสือลิ่วกล่าว “ปัญหานี้ด้อยกว่าเรื่องนั้นหรือ… มันก็แค่คำบรรยาย จะจริงจังไปทำไม นอกจากนี้เจ้าเป็นคนเลือกไพ่ที่มีรูปหงส์เองไม่ใช่หรือ”
เฉินฉางเซิงเพิ่งจะเรียนรู้ไพ่พวกนี้เมื่อวานนี้เอง ดังนั้นเขาย่อมไม่อาจเลือกได้ เขาจึงต้องฝืนตัวเองให้เงียบไว้
นี่ค่อนข้างน่าขันแต่ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังยังคงไม่ยิ้ม สีหน้าถึงกับเคร่งขรึมกว่าเก่า
ถังซานสือลิ่วเล่นตาของตัวเองจบแล้ว แต่ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังยังไม่เคลื่อนไหว
ไพ่นกกระจอกแต่ละตัวเป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งของแต่ละฝ่าย หากมองแค่ความแข็งแกร่งที่แสดงผ่านไพ่พวกนี้ ก็ยากที่จะบอกได้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะในที่สุด
หากประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังใช้ไพ่พวกนี้ถกเหตุผลกับผู้เยาว์ทั้งสอง เขาย่อมชนะเป็นแน่
แต่ตระกูลถังย่อมพ่ายแพ้แน่นอน