ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 37 ลูกล้างผลาญที่โดดเด่นที่สุด
นอกจากความแข็งแกร่งที่แสดงออกมาบนโต๊ะไพ่นกกระจอก ก็ยังมีความแข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะที่มีบทบาทสำคัญในช่วงเวลาที่คับขันที่สุด
ยกตัวอย่างเช่นการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซูเมื่อสามปีก่อน หากตระกูลถังไม่ลงมือ ซางสิงโจวย่อมต้องพบกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในการควบคุมจิงตู
“เจ้าเป็นทายาทตระกูลถัง ก็ควรเข้าใจว่าจุดแข็งแกร่งที่สุดของตระกูลถังอยู่ที่ใด”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมองไปที่ถังซานสือลิ่วและกล่าว
“คำพูดโบราณคร่ำครึนั่นอีกแล้วหรือ”
ถังซานสือลิ่วตีหน้าตายกล่าว “ตอนอยู่ในจิงตูอารองพูดกรอกหูข้าว่าข้าต้องรู้จักมีความเคารพ และสิ่งที่ควรให้การเคารพที่สุดในตระกูลถังของเราก็คือประวัติศาสตร์ พูดอีกอย่างก็คือเพราะตระกูลถังเราเก่าแก่ที่สุดในต้าลู่”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกล่าว “เป็นคำพูดโบราณคร่ำครึจริงๆ นั่นแหละ แต่คำพูดคร่ำครึพวกนี้ก็มักจะถูกต้อง”
“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าคำพูดนี้ผิด เวลาและประวัติศาสตร์ย่อมควรค่าให้เคารพ แค่คิดก็กลัวจะแย่แล้ว”
ถังซานสือลิ่วมองประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังและกล่าว “ยิ่งมีชีวิตอยู่นานแค่ไหน ก็ยิ่งรู้ความลับมากขึ้นเท่านั้น ตระกูลถังอยู่ในโลกนี้มานานจนนับปีไม่ถ้วน จึงรู้ความลับมากมายนับไม่ถ้วน มีลูกไม้ซ่อนเอาไว้มากมาย ข้าคิดว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าพื้นฐานมั่งคั่ง”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังตอบ “ไม่ได้ง่ายเช่นนั้น แต่เจ้าจะเข้าใจอย่างนั้นก็ได้”
ถังซานสือลิ่วกล่าวอย่างสุขุม “หากใช้เวลาเป็นตัววัด ไม่ใช่ตระกูลชิวซาน ตระกูลอู๋หรือตระกูลมู่ท่า หรือแม้แต่ตระกูลเหลียง เฉิน หวังหรือจูในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมาก็ไม่อาจสู้ตระกูลถัง ไพ่ที่ข้าเล่นก็ไม่อาจเทียบได้ แต่ท่านลืมไปอย่างหนึ่ง”
“อะไร”
“ข้ามีเพื่อน”
ถังซานสือลิ่วตบไหล่เฉินฉางเซิงแล้วกล่าวต่อ “ประวัติศาสตร์ เวลา พื้นฐานมั่งคั่ง… ทุกคนในตระกูลถังพูดคำพวกนี้วันแล้ววันเล่า ข้าเบื่อแล้วจริงๆ ท่านคิดจริงหรือว่าไม่มีใครในโลกสามารถสู้ท่านได้เพราะเหตุนี้ พวกท่านลืมไปแล้วหรือว่ายังมีที่ที่เรียกว่าสำนักเต๋า”
สำนักเต๋าคือความศรัทธาในเต๋าไม่ใช่สถานที่ ในตอนนี้มันคือนิกายหลวง
นิกายหลวงไม่ใช่ตระกูลสูงศักดิ์ ทว่าเก่าแก่ยิ่งกว่าตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหมด รวมถึงตระกูลถัง
นิกายหลวงไม่ใช่สำนักหรือพรรค แต่ก็เป็นสำนักที่ใหญ่ที่สุด ใหญ่กว่าพรรคฉางเซิงด้วย
มีใครที่ดำรงอยู่มานานกว่านิกายหลวง มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า มีพื้นฐานลึกล้ำยิ่งกว่า
ตระกูลถังอย่างนั้นหรือ เมื่อพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้านิกายหลวง จะไม่กลายเป็นเรื่องน่าขันหรอกหรือ
“ท่านขังข้าในหอบรรพชนมาครึ่งปี ทำให้ข้าได้ครุ่นคิดถึงปัญหาบางประการ”
ถังซานสือลิ่วนำเอาม้วนกระดาษออกมาวางไว้บนโต๊ะ กล่าวกับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง “บางปัญหาต้องแก้ไขก่อนและตอนนี้ก็ถูกแก้ไขแล้ว บางปัญหาจำเป็นต้องเตรียมการเผื่ออนาคต และนี่ก็คือการเตรียมการของข้า ลองดูสิ”
ม้วนกระดาษมีตัวอักษรเขียนไว้หนาแน่น อย่างน้อยก็หมื่นคำ
เมื่อประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมองดูตัวอักษรเหล่านั้น สีหน้าก็เย็นเยียบยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาหรี่ลงเรื่อยๆ
ห้องเงียบสงัด เสียงเดียวที่ได้ยินก็คือม้วนกระดาษถูกคลี่
เฉินฉางเซิงมองไปที่ถังซานสือลิ่วพลางสงสัย เขาเขียนอะไรเอาไว้
ถังซานสือลิ่วไม่สนใจเขา เขาจ้องมองไปที่ประมุขผู้เฒ่าอย่างเงียบงัน มือกำแน่นโดยไม่รู้ตัว นิ้วมือซีดลงเล็กน้อย
“เจ้าคิดว่าสถานการณ์จะเป็นไปตามที่เจ้าจินตนาการเช่นนั้นหรือ”
ในที่สุดประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังก็อ่านม้วนกระดาษจบ ก่อนเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองถังซานสือลิ่วอย่างเฉยชา
ถังซานสือลิ่วตอบ “ข้าเป็นหลานคนเดียวของตระกูลถัง ไม่มีใครเข้าใจตระกูลถังยิ่งไปกว่าข้า หากข้ารับหน้าที่โจมตีตระกูลถัง สิ่งต่างๆ ย่อมเป็นไปตามนี้ไม่มากก็น้อย”
เฉินฉางเซิงพอจะเข้าใจว่าม้วนกระดาษนั้นเขียนอะไรไว้
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังครุ่นคิดอยู่เงียบๆ เป็นเวลานานแล้วกล่าว “ข้ายอมรับว่าเจ้ามีความเข้าใจในกิจการของตระกูลอย่างลึกซึ้ง และยังยอมรับว่าแผนของเจ้านี้ชั่วร้ายโหดเหี้ยมอย่างแท้จริง แต่เมื่อเจ้าเป็นหลานชายคนเดียวของตระกูลถัง เจ้าจะโหดเหี้ยมต่อตระกูลตนเองได้อย่างไร เจ้าจะทำใจได้อย่างไร”
ถังซานสือลิ่วกล่าว “ข้าจะบอกตัวเองว่าข้าเรียนรู้มาจากท่าน ผู้นำตระกูลถังต้องโหดเหี้ยมไร้น้ำใจไม่ใช่หรือ”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถาม “แล้วเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมนุษยชาติหากตระกูลถังถูกทำลาย”
“ข้าคิดมาตลอดว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของตระกูลถังก็คือการหลงตัวเอง”
ถังซานสือลิ่วอธิบาย “สำหรับคนผู้หนึ่ง ในบางแง่มุมการหลงตัวเองอาจเพิ่มเสน่ห์ อย่างเช่นในกรณีของข้า แต่สำหรับตระกูลหนึ่ง การหลงตัวเองเกินไปไม่ใช่เรื่องดี เพราะมันทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองสำคัญและก่อให้เกิดความผิดพลาดในการเจรจากับศัตรู ข้าหวังว่านายท่านจะไม่ทำผิดเช่นนี้ ตระกูลถังไม่ได้สำคัญอย่างที่พวกท่านอาทั้งหลายคาดคิด พวกเขาคิดว่าหากตระกูลถังล่มสลาย โลกมนุษย์ก็จะล่มสลายเช่นกัน อุตสาหกรรมทั้งหมดจะล้มเหลว ผู้คนจะบ้านแตกสาแหรกขาด ทุกสิ่งจะตกอยู่ในความโกลาหล”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังจ้องมองดวงตาเขาและกล่าว “คำถามก็คือเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าสถานการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้น”
ถังซานสือลิ่วตอบ “ถ้าเกิดขึ้นแล้วจะทำไม มีข้าอยู่ตราบใดที่ราชสำนักกับนิกายหลวงไม่เสียผู้นำไป ความโกลาหลจะเกิดขึ้นแค่หนึ่งปีครึ่งเป็นอย่างมาก”
ดวงตาประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ “แต่เจ้าคิดหรือไม่ว่ามีคนมากมายเท่าใดต้องอดตายในช่วงหนึ่งปีครึ่งนี้”
ถังซานสือลิ่วจ้องกลับไปเงียบๆ ดูราวกับผ่านไปนานกว่าจะพูดขึ้น “ข้าอาจอดตายในหอบรรพชน นายท่านเคยคิดหรือไม่”
ในตอนนี้เองที่ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังรู้สึกได้ถึงการข่มขู่ในที่สุด
เพราะถังซานสือลิ่วได้ข่มขู่เขาด้วยของที่เขาห่วงใยที่สุด การสืบทอดตระกูลถังไปชั่วลูกชั่วหลาน
ถังซานสือลิ่วก็พิสูจน์แล้วว่ามีความสามารถที่จะทำให้ตระกูลจบสิ้น อย่างน้อยก็มีโอกาสที่จะทำลายตระกูลถังได้ และยังมีเจตนาที่จะทำอีกด้วย
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังรู้ในที่สุดว่าหลานชายที่ร่าเริงซุกซนของเขาได้เปลี่ยนไปหลังจากอยู่ในหอบรรพชนมาครึ่งปี
……
……
“หากเจ้าทำจริงๆ ป้ายวิญญาณของเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ตั้งในหอบรรพชนและชื่อของเจ้าก็จะถูกตัดออกจากบันทึกตระกูล”
“ในวันแรกที่ตระกูลถังล่มสลาย ข้าจะเผาหอบรรพชน ข้าอยู่ในนั้นมาครึ่งปี ท่านคิดหรือว่าข้าอยากจะกลับไปอยู่ที่นั่นหลังจากตายแล้ว”
“แล้วการเสื่อมเสียไปชั่วกาลเล่า ต่อให้เจ้าได้ฝังในพระราชวังหลี ผู้คนก็ยังถ่มน้ำลายใส่หลุมศพเจ้าเมื่อใดก็ตามที่เดินผ่าน”
“หากข้ายังคลานขึ้นจากหลุมศพได้ ข้าก็จะถ่มน้ำลายกลับไป หากทำไม่ได้แล้วจะสนไปทำไม”
“เจ้าคิดจะเป็นลูกล้างผลาญอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์หรืออย่างไร”
“ข้าสนใจมาก ท่านไม่คิดจะยกตระกูลให้ข้า ทำไมข้าไม่ทำลายมันไปเสียละ”
คนทั่วไปอาจบรรยายความองอาจด้วยประโยคที่ว่า “ใช้ทองหมื่นแท่งไปล้วนได้กลับมา”
แต่การรับบทเป็นลูกล้างผลาญในระดับนี้จึงเรียกว่าองอาจอย่างแท้จริง
“หากมอบตระกูลถังให้กับข้า มันก็คือของข้าและข้าจะปกป้องมันอย่างดี หากไม่มอบตระกูลถังให้กับข้า ก็จะมีวันที่ข้าทำให้มันล่มจมด้วยมือของข้า”
ถังซานสือลิ่วมีสีหน้าจริงจังมากยามที่เขากล่าวกับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง ไม่มีความรู้สึกว่าเขากำลังล้อเล่นแม้แต่น้อย
เห็นได้ชัดว่าเขามีนิยามคำว่า “ล่มจม” ในใจอยู่สองอย่าง
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมองดวงตาเขาและกล่าว “บางทีข้าควรจะฆ่าเจ้าก่อน”
ถังซานสือลิ่วตอบ “ตอนนี้ก็สายไปแล้ว”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังนิ่งเงียบไปเป็นเวลานานแล้วกล่าว “ก็จริง”
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบเป็นเวลานานกว่าประมุขผู้เฒ่า ไม่กล่าวอะไรนับตั้งแต่การสนทนานี้เริ่มขึ้น ในตอนนี้เขาก็กล่าวขึ้นในที่สุด
เขามองไปที่ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังแล้วส่ายหน้า “ไม่”