ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 4 สีแดงอันโหดเหี้ยม
ทุกคนนอกอารามเต๋าประหลาดใจที่ได้ยินว่าประมุขรองตระกูลถังมา แต่นักพรตไป๋สือรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมา
เฉินฉางเซิงเข้าเมืองเวิ่นสุ่ยมาเมื่อวานนี้ การมาถึงของเขาถูกประกาศผ่านดนตรีของอารามในยามสนธยา อย่างไรก็ตาม ตระกูลถังไม่ได้มีปฏิกิริยาแต่อย่างใด
ทันใดนั้นในเวลาเช่นนี้ตระกูลถังกลับส่งคนมา และยังเป็นประมุขรองตระกูลถังที่มีข่าวลือว่าได้ควบคุมตระกูลถังเอาไว้แล้ว
เห็นได้ชัดว่าตระกูลถังมีคนส่งข่าวในอารามเต๋าและรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักพรตไป๋สือ
การที่คนสำคัญอย่างประมุขรองตระกูลถังมาเยี่ยมอย่างกะทันหันเช่นนี้ก็เพื่อรักษาชีวิตของนักพรตไป๋สือ
ทุกคนหันไปที่เฉินฉางเซิง ต้องการจะรู้ว่าเขาตัดสินใจอย่างไร เขาจะทำตามจดหมายและประหารนักพรตไป๋สือในนามของสังฆราชเพื่อประกาศอำนาจหรือเขาจะทำตามกฎของนิกายและเลื่อนการลงโทษไปก่อน ในเวลาเดียวกันก็เลี่ยงการขัดแย้งกับราชสำนักและตระกูลถัง
กวนเฟยไป่มองไปที่เฉินฉางเซิง ไม่รู้ว่าเฉินฉางเซิงจะเลือกอะไร ไม่รู้ว่าเขาต้องการให้เฉินฉางเซิงเลือกเช่นใด
เจ้าเป็นสังฆราชที่แท้จริงแล้ว เจ้ายังคงทำตัวเหมือนกับนักพรตน้อยที่เข้าจิงตูมาครั้งแรกอีกหรือ
เฉินฉางเซิงพลันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
นี่ยังไม่ห่างจากรุ่งอรุณมากนัก ตะวันยามเช้ายังคงอยู่ที่ปลายแม่น้ำเวิ่นสุ่ย ไม่สูงไปกว่าผิวน้ำมากนัก
แสงสีแดงของรุ่งอรุณอาบย้อมท้องฟ้าห่างไกล หมู่เมฆถึงกับดูเหมือนกับลุกเป็นไฟ มันไม่ต่างไปจากอาทิตย์อัสดงแต่อย่างใด
เขานึกถึงยามสนธยาที่เขากับถังซานสือลิ่วสนทนาบนต้นไทรใหญ่ภายในสำนักฝึกหลวงซึ่งมีบรรยากาศคล้ายคลึงกันนี้
จากนั้นก็นึกไปถึงนิกายหลวงยามความมืดมิดมาแทนที่แสงสนธยา เขากับถังซานสือลิ่วสนทนากันบนต้นไทรใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
โดยสรุป ในช่วงหลายปีนั้นนับจากพบกันในโรงเตี๊ยมสวนหลีจื่อ เขากับถังซานสือลิ่วก็มีการสนทนากันมากมาย
ในการสนทนาเหล่านั้น พวกเขาได้พูดคุยกันหลายอย่าง ไม่ใช่แค่นึกถึงเรื่องเก่าแต่ยังเป็นการคาดการณ์ถึงอนาคต
ในแสงสนธยา ทะเลสาบของสำนักฝึกหลวงอาบย้อมไปด้วยแสงสีทอง ปลาคราฟที่กินมากเกินไปค่อยๆ จมลงสู่พื้นโคลน
พวกเขาไม่ต้องการใช้ชีวิตเช่นนั้น
ในตอนนั้นเซวียหยวนผ้อกำลังต่อยต้นไม้อย่างแข็งขันอยู่อีกฝั่งของทะเลสาบ
ถังซานสือลิ่วพูดกับเฉินฉางเซิงว่า ไม่ว่าจะเป็นลมฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูใบไม้ผลิ เมื่อพวกเขายังเยาว์อยู่ ก็ควรทำตัวตามนิสัยของตน
เซวียนหยวนผ้อได้กลับไปยังเมืองไป๋ตี้และเป็นเวลานานแล้วที่ไม่ได้ข่าวคราวจากเขา ถังซานสือลิ่วก็ยังคงสบถใส่ใครก็ตามตามใจตน หรือหากประกาศว่าเขาจะด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นเขาก็ไม่มีทางด่าแค่สิบเจ็ดรุ่นเป็นแน่ เพราะคนที่มีชื่ออยู่ในหอบรรพบุรุษที่เขาถูกขังอยู่ก็คือบรรพบุรุษของเขานั่นเอง
ในการสนทนาครั้งอื่นในคืนหนึ่ง ถังซานสือลิ่วได้กล่าวกับเขาว่าเขาจะได้เป็นสังฆราชในอนาคต
เขาได้กล่าวว่าการเป็นสังฆราชไม่ใช่เรื่องดีนัก
ถังซานสือลิ่วก็บอกว่ามันไม่ใช่เรื่องดี
ถังซานสือลิ่วเคยบอกเช่นกันว่าในอนาคต สำนักฝึกหลวงจะเป็นรากฐานให้เขากลายเป็นสังฆราช ทำให้เขาทุ่มเทกำลังไปมากมายในการหานักเรียนใหม่เข้ามาในสำนักฝึกหลวง
เจ้าหมอนี่ได้คาดถึงเรื่องในตอนนี้มานานแล้ว เจ้าหมอนี่ช่วยเขารับมือเรื่องต่างๆ มากมายตลอดมา
ตอนนี้เป็นตาของเขาที่ต้องตัดสินใจและรับมือ เขาก็ตระหนักว่ามันเป็นงานที่ไม่ง่ายเลย
……
……
เฉินฉางเซิงดึงสายตากลับมา หันกลับไปและเดินกลับเข้าไปในอาราม
เขาได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนยิ่ง
นักพรตไป๋สือตกใจอย่างมากใช้กำลังทั้งหมดพุ่งตัวไปราวกับสายลม เขาพุ่งตามหลังร่างนั้นในประตูศักดิ์สิทธิ์ หวังจะตายไปพร้อมกัน
แต่เขาก็ไม่อาจที่จะสัมผัสเฉินฉางเซิงได้ด้วยซ้ำ
หนานเค่อยังยืนอยู่ตรงหน้าเขา จ้องไปที่เขาด้วยสีหน้าปัญญาอ่อนของนาง
ในสายตาของเขาเด็กสาวคนนี้เป็นมารร้ายที่แท้จริง
เสียงดังหนักทึบสามครั้ง บรรทัดเหล็กของราชันแห่งหลิงไห่ เข็มขัดของอันหลินและกระบี่มารของเจ๋อซิ่วโจมตีใส่นักพรตไป๋สือแทบจะในเวลาเดียวกัน
นักพรตไป๋สือทรุดลงตรงหน้าธรณีประตูศักดิ์สิทธิ์ กระดูกทุกชิ้นแตกหัก เลือดไหลเข้าไปในปอด แดนลี้ลับแตกสลาย ไม่อาจที่จะลุกขึ้นได้อีกเลย
ดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ความแตกตื่นครุ่นแค้นที่ใกล้ตายเปลี่ยนเป็นเสียงร้องโหยหวนออกจากปาก
เขาต้องการจะแจ้งให้ประมุขรองตระกูลถังที่อยู่นอกป่าให้รู้ รีบมาช่วยข้า!
น่าเสียดาย เขาไม่อาจที่จะส่งเสียงร้องนั่นได้
ทันทีที่ริมฝีปากของเขาเปิดออก ผ้าผืนหนึ่งก็ถูกอุดเข้ามาในปากของเขาด้วยความเร็วปานสายฟ้า
มหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยปรากฏข้างกายเขาเมื่อใดไม่ทราบ
มือซ้ายของเขายัดผ้าเข้าไปในปากนักพรตไป๋สือ
ในเวลาเดียวกันมือขวาของเขาก็กำกระบี่สั้นและปักมันใส่หน้าอกของนักพรตไป๋สือ
มันเงียบมาก ดังนั้นเสียงกระบี่สั้นแทงใส่ร่างของเขาจึงชวนให้ขนลุกยิ่งนัก
กระบี่สั้นส่วนหนึ่งปักอยู่ในร่างกายของเขา สงบดั่งกระจกและแผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์จางๆ ออกมา
สีหน้าของมหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยยังคงสงบนิ่งดูศักดิ์สิทธิ์
ดวงตาของนักพรตไป๋สือเหลือกตามองใจขณะที่เสียงอู้อี้ออกมาจากลำคอ เขายื่นมือและคว้าใส่เสื้อคลุมของมหามุขนายกแต่ก็ล้มเหลว
เขาดิ้นทุรนทุรายราวกับปลาที่ถูกตกขึ้นมาจากแม่น้ำเวิ่นสุ่ย ไม่อาจหายใจและกำลังจะตาย ไม่อาจที่จะหนีรอดไปได้
มหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยมองไปที่เฉินฉางเซิงและกล่าว “องค์สังฆราชโปรดพักผ่อนสักครู่ ข้ามั่นใจว่าประมุขรองตระกูลถังมีความอดทนที่จะรอได้สักครู่หนึ่ง”
ตอนที่เขาพูด มือหนึ่งใช้ผ้าอุดปากนักพรตไป๋สือและอีกมือก็จับกระบี่สั้นที่แทงใส่อกนักพรตไป๋สือ
นักพรตไป๋สือยังคงดิ้นทุรนทุรายอยู่ในมือของเขา
เสียงของมหามุขนายกไม่สั่นแม้แต่น้อย แต่ยังคงสงบและถึงกับถ่อมตนอยู่บ้าง
อันหลินไม่อาจทนดูอีกต่อไปและหันหน้าไป
อีกด้านหนึ่งราชันแห่งหลิงไห่ดูเหมือนจะพึงพอใจอยู่บ้าง แทบจะเอ่ยปากชมออกมา
ประตูศักดิ์สิทธิ์ปิดลงช้าๆ
ตอนที่มันเกือบจะปิดนั่นเอง กวนเฟยไป๋เห็นมหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยลากนักพรตไป๋สือเข้าไปในป่า ในเวลาเดียวกันก็จิ้มกระบี่สั้นใส่ร่างนักพรตไป๋สืออีกสองสามครั้ง
จิ้ม ไม่ใช่แทง
แทงนั้นใช้ในการต่อสู้ ส่วนจิ้มนั้นเป็นการเชือดสัตว์
หางตาของกวนเฟ๋ยไป๋กระตุก
ในครั้งนี้มันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เขาได้เป็นพยานในเหตุการณ์ใหญ่ของนิกายหลวง
เขารู้ว่ามหามุขนายกที่นิกายหลวงส่งมาเมืองเวิ่นสุ่ยและสามารถดำรงตำแหน่งมานานย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
แต่เขาไม่อาจนึกถึงและไม่อยากที่จะยอมรับว่ามหามุขนายกที่สุขุมนุ่มลึกมีมารยาทจะกลายเป็นเหมือนคนบ้าในช่วงเวลาพิเศษบางขณะ
หากนิกายหลวงมีคนมากมาย ไม่ต่อให้แค่ไม่กี่คนเป็นแบบเขา นั่นก็น่ากลัวเกินไปแล้ว
……
……
นักพรตไป๋สือเป็นมหามุขนายกตำหนักวัฒนธรรมนิกายหลวง เป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งนิกายหลวง เขาย่อมเป็นคนที่สำคัญอย่างมากในแผนของซางสิงโจวโดยไม่ต้องสงสัย
วันนี้เขาได้ตายลง ตายลงในอารามเต๋าแห่งเมืองเวิ่นสุ่ย
การถูกยั่วยุครั้งใหญ่เช่นนี้ อีกฝ่ายย่อมต้องตอบโต้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะที่นี่คือเวิ่นสุ่ย เวิ่นสุ่ยที่ลึกล้ำยากหยั่งถึง เวิ่นสุ่ยของตระกูลถัง
การตายของนักพรตไป๋สือทำให้จุดยืนของนิกายหลวงกับเฉินฉางเซิงนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง พวกเขาพร้อมที่จะแตกหักกับตระกูลถัง
ทุกคนรู้ว่าตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยนั้นร่ำรวยที่สุดในต้าลู่ ผู้นำของสี่ตระกูลใหญ่แต่อันที่จริงความแข็งแกร่งที่ตระกูลถังซ่อนเอาไว้นั้นเหนือว่าที่ทุกคนจะคาดคิดได้
ประวัติศาสตร์ของตระกูลถังนั้นยาวนานเกินไป
สามปีก่อนที่การยึดอำนาจในสุสานเทียนซู ตระกูลถังได้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง แต่มีน้อยคนนักที่ได้รู้
หากไม่ใช่เพราะการที่ตระกูลถังคิดหาวิธีทำลายผังลายจักรพรรดิได้ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่คงยังนั่งครองบัลลังก์อยู่
ในตอนนี้ความลับของหอความลับสวรรค์ได้ตกอยู่ในการควบคุมของอารามฉางชุนเมืองลั่วหยาง สินทรัพย์และกิจการส่วนใหญ่ถูกส่งให้ตระกูลถัง ทำให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม
เบื้องหลังของขุมกำลังอย่างตระกูลถังย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ นิกายหลวงกับราชสำนักก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ว่าตามเหตุผล แม้ว่าตระกูลถังจะใกล้ชิดกับราชสำนักมากกว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ นิกายหลวงก็ไม่ควรแสดงท่าทีอันดุดันเช่นนี้
กล่าวได้ว่าคนเขียนจดหมายมีความเข้าใจในตัวเฉินฉางเซิงลึกซึ้งอย่างมาก
เขาหรือนางรู้ว่าเฉินฉางเซิงต้องนำตัวถังซานสือลิ่วออกจากหอบรรพบุรุษ
หากเรื่องนี้ไม่เปลี่ยน ไม่ว่านิกายหลวงจะปฏิบัติต่อตระกูลถังอย่างอบอุ่นเพียงใด การแตกหักก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี