ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 41 กลิ่นชาอบอวลทั้งเมืองและภูเขา
เฉินฉางเซิงได้ยินข่าวนี้ก็คิดอยู่เป็นเวลานาน
ผ่านไปหลายวันพวกเขาก็มาถึงเมืองเฟิ่งหยาง
เมืองเฟิ่งหยางเป็นเมืองมณฑลบริหารงานโดยสภาเมืองเฟิ่ง แม้ว่าจะเล็กกว่าเมืองมณฑลอื่นมาก แต่ก็มีความคึกคักอย่างมากเมื่อเทียบกับสถานที่อื่นในโกรกธารนี้
พวกเขายืนอยู่บนหน้าผาและมองไปยังแสงของเมืองจากระยะไกล ก่อนตัดสินใจจะพักในคืนนี้และเข้าเมืองในตอนเช้า
นึกถึงเรื่องละเอียดอ่อนอย่างตัวตนของหนานเค่อ เฉินฉางเซิงจึงส่งนางเข้าไปอยู่ในสวนโจว
นางได้ลืมเหตุการณ์ที่ผ่านมาในสวนโจวไปหมดแล้ว แต่นางก็ชื่นชอบสภาพแวดล้อมจึงไม่ปฏิเสธความคิดนี้
เพราะถังซานสือลิ่วยังดูแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่สุสานเทียนซูในตอนนั้น เขาจึงไม่เคยเข้ามาในสวนโจว ด้วยความสงสัยเขาถามเฉินฉางเซิงว่าจะส่งเขาเข้าไปเล่นในนั้นสักพักได้หรือไม่
แต่หลังจากเข้าไปไม่นานก็ออกมา
สาเหตุที่เขาเห็นว่าสวนโจวไม่น่าสนใจและสาเหตุที่หนานเค่อชื่นชอบมันนั้นมีแค่อย่างเดียวและเหมือนกัน
ไม่มีคนอยู่ในสวนโจว มีแค่สัตว์อสูรนับไม่ถ้วนเท่านั้น
หนานเค่อรู้สึกผ่อนคลายเมื่ออยู่ที่นี่ แต่เรื่องนี้มีแต่ทำให้ถังซานสือลิ่วรู้สึกเบื่อเท่านั้น
เฉินฉางเซิงประหลาดใจที่เจ๋อซิ่วก็ต้องการเข้าสวนโจวเช่นกัน
เขานั่งเงียบๆ อยู่ในทุ่งหญ้าระยะหนึ่งจากนั้นก็ออกมาและกล่าวกับเฉินฉางเซิง “ตอนนี้ทุ่งหญ้านี่ไม่มีอะไรน่าสนใจ ดวงตะวันตกไปหลังเทือกเขา”
ผนึกที่ป้องกันไม่ให้พระอาทิตย์ตกเหนือทุ่งหญ้านี้ได้เสียหายไปแล้ว จำนวนสัตว์อสูรที่อาศัยอยู่ในสวนโจวก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เฉินฉางเซิงรู้ว่าสาเหตุแท้จริงที่ทำให้เจ๋อซิ่วเบื่อนั้นไม่ใช่ดวงตะวันที่ไม่ยอมตกนั่น หากแต่เป็นเด็กสาวที่เคยร่วมชมตะวันกับเขาไม่ได้อยู่ที่นั่นอีกต่อไป
เช้าตรู่ห้านาฬิกา เฉินฉางเซิงสงบจิตใจลืมตาขึ้นมองไปทางแม่น้ำด้านล่าง รู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เขาใช้เวลาตลอดคืนแผ่จิตสัมผัสออกไปทั้งสองฝั่งของโกรกธาร ต้องการจะหาร่องรอยของฉูซู แต่การค้นหาก็ไร้ผล
สภาพอากาศในโกรกธารอบอุ่นกว่าอากาศในทุ่งหญ้านอกเทือกเขาและเมืองเฟิ่งหยางก็อบอุ่นกว่าเมืองเวิ่นสุ่ยมาก แม้แต่กลางฤดูหนาวก็ไม่มีหิมะตกและเสื้อนวมก็ให้ความรู้สึกร้อนเกินไป เฉกเช่นโซ่เหล็กใหญ่บนผิวน้ำที่อาบแสงตะวัน มันไม่ได้แผ่ความเย็นของโลหะหากแต่เป็นความร้อนลวก
เมืองเฟิ่งหยางสร้างขึ้นกลางเทือกเขา หากเดินไปตามหน้าผาสู่ตัวเมืองจะมองเห็นต้นชาอยู่ทั่วไปหมด ต้นชาพวกนี้เห็นได้ชัดว่าเพิ่งถูกเก็บเกี่ยวไป
ฮู่ซานสือเอ้อร์เห็นสีหน้าสงสัยของพวกเฉินฉางเซิง จึงอธิบาย “ที่แห่งนี้มีต้นชาป่ามากมาย ในฤดูหนาวต้นชาป่าเหล่านี้มีรสชาติดีที่สุด สิบกว่าปีมานี้ชาป่าเฟิ่งหยางมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ และชาป่าที่เก็บเกี่ยวในฤดูหนาวก็เป็นผลผลิตล้ำค่า ทุกปีจะมีการจัดงานเลี้ยงน้ำชาขึ้น ผู้ว่าการมณฑลและมุขนายกก็มาร่วมงานด้วยตัวเอง ชาที่รวมอยู่ในงานนี้มีหลากหลายประเภทจนเกินจะนับถ้วน”
นี่ยังเป็นเวลาเช้าอยู่มาก แต่เมืองเฟิ่งหยางก็คึกคักอย่างยิ่ง ทั้งสองข้างถนนหลักที่ทอดตัวไปตามแม่น้ำ ร้านชาหลายสิบร้านได้เปิดร้านแล้ว เสียงร้องตะโกนและทักทายดังขึ้นไม่จบสิ้น สามารถได้กลิ่นชาลอยมาตามสายลมยามเช้า
ฮู่ซานสือเอ้อร์นำพวกเฉินฉางเซิงเดินเล่นรอบป้อมเจ็ดสมบัติก่อน จากนั้นก็เดินทางลงไปที่แม่น้ำเพื่อดูรูปสลักหินมังกรขาวอันโด่งดัง เมื่อแสงแดดแรงขึ้นพวกเขาก็หาโรงน้ำชาที่เงียบสงบใกล้ท่าเรือข้ามน้ำเพื่อนั่งพักและรอรายงานข่าวล่าสุด
ป้อมเจ็ดสมบัติเป็นเมืองมณฑลฉบับย่อส่วน สร้างขึ้นตามแนวเทือกเขา แบ่งออกเป็นเจ็ดชั้น แต่ไม่มีอะไรโดดเด่น ยิ่งไปกว่านั้นการเตรียมงานเลี้ยงน้ำชาทำให้สามชั้นบนถูกปิดเอาไว้ แล้วยังบังเอิญเกิดน้ำท่วมฤดูหนาว ดังนั้นรูปสลักหินมังกรขาวจึงจมอยู่ใต้น้ำเสียเป็นส่วนใหญ่ ถังซานสือลิ่วไม่ยินดีเท่าไรนัก หลังจากดื่มชาถึงได้อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
“ข้าไม่คิดเลยว่าชานี้จะรสชาติดีเช่นนี้” เขายกถ้วยชาในมือขึ้นแล้วมองดูด้วยความตกใจอยู่บ้าง
ชาป่าในถ้วยยังมีควันลอยกรุ่น กลิ่นเข้มแต่ไม่ฉุน ดูเหมือนจะบรรจุไว้ด้วยธรรมชาติของป่าเขา
“ในแง่ของการชิมชา คนแรกที่ผู้คนนึกถึงก็คือเหลียงหวังซุน แต่ฮว่าเจี่ยเซียวจางดูถูกเหลียงหวังซุนอยู่เสมอ เชื่อว่าเขามีชื่อเสียงจอมปลอมและไม่สนใจมานานแล้ว ครั้งหนึ่งมีคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเอาเรื่องนี้ไปบอกเหลียงหวังซุน เหลียงหวังซุนก็หัวเราะแล้วกล่าว ‘ข้าไม่ยอมแพ้เขาในเรื่องการต่อสู้ แต่ข้ายอมแพ้ในเรื่องของชา’ ”
ฮู่ซานสือเอ้อร์กล่าวต่อ “ตอนนั้นเองที่ผู้คนได้รู้ว่าเซียวจางก็เป็นผู้ชื่นชอบชาเช่นกัน และเขาไม่เคยชอบชาชื่อดังเหล่านั้น เขาชอบค้นหาชาป่าตามป่าเขา หมู่บ้านเล็กและอารามน้อย ชื่อเสียงของชาป่าเมืองเฟิ่งหยางก็มาจากเซียวจาง ทำให้มันเป็นที่รู้จักกันในช่วงไม่กี่ปีมานี้”
เมื่อดื่มชาหากไม่มีของว่างให้กินก็ต้องมีเรื่องน่าสนใจให้พูดคุย ต้องเป็นเช่นนี้จึงเรียกว่าดื่มชาสนทนา ฮู่ซานสือเอ้อร์เป็นคนที่รู้จักกาลเทศะที่สุดในนิกายหลวง ดังนั้นเขาย่อมไม่ปล่อยให้เรื่องดีหลุดไป
ถังซานสือลิ่วเป็นทายาทตระกูลสูงศักดิ์ จึงคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจทีเดียว แต่เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วไม่เคยสนใจกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความวิจิตร’ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ พวกเขาไม่ได้คิดถึงคุณภาพของชาเมืองเฟิ่งหยางหรือเหลียงหวังซุนกับเซียวจางใช้เวลาว่างอย่างไร ทว่าเป็นเรื่องที่น่าเบื่ออย่างมาก
“ข้าสงสัยว่าใครแข็งแกร่งกว่าระหว่างเหลียงหวังซุนกับเซียวจาง” เฉินฉางเซิงกล่าว
ทุกคนรู้ว่าโลกของการบำเพ็ญเพียรในตอนนี้คือยุคของดอกไม้เบ่งบาน และยุคนี้ก็เริ่มขึ้นโดยหวังผ้อ เซียวจาง เหลียงหวังซุน สวินเหมยและประมุขรองตระกูลถัง
ในบรรดาผู้โดดเด่นในรุ่นนี้ หวังผ้อย่อมเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงกระนั้นฮว่าเจี่ยเซียวจางกับเหลียงหวังซุนก็เป็นคนที่โดดเด่นอย่างยิ่ง
ในเมืองสวินหยาง เฉินฉางเซิงได้พบกับเซียวจางและเหลียงหวังซุน หลังจากนั้นในวันที่เขาฆ่าโจวทงก็ได้พบกับเซียวจางอีกครั้ง
ในวันหิมะโปรยนั้น เขาบุกไปกรมอาญาในขณะที่หวังผ้ออยู่ที่แม่น้ำ ตัดแขนตัวเองทะลวงผ่านสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ สังหารเถี่ยซู่ในดาบเดียว สุดท้ายแล้วก็เป็นเซียวจางที่ช่วยหวังผ้อไว้
ทุกคนเข้าใจว่าเหตุใดเซียวจางถึงได้ทำเช่นนั้น
หากบอกว่าเป้าหมายในชีวิตของเหลียงหวังซุนเป็นที่รู้ไปทั่วต้าลู่ แล้วที่เซียวจางไขว่คว้าคืออะไร
“เซียวจางแข็งแกร่งว่าเหลียงหวังซุน”
เจ๋อซิ่วเป็นคนที่กล่าวออกมา ที่เขากล่าวเช่นนี้ไม่ได้อ้างอิงจากอันดับในประกาศเซียวเหยาเท่านั้น
“เขาไล่ตามความแข็งแกร่งอยู่ตลอดชีวิต เป้าหมายของเขาชัดเจนและวิธีการก็เรียบง่าย ดังนั้นเทียบกันแล้วเขาย่อมน่ากลัวยิ่งกว่า”
เส้นทางการฝึกตนของเซียวจางคืออะไร ไม่ใช่เส้นทางแห่งการฆ่าของโจวตู๋ฟู ไม่ใช่เส้นทางตรงของหวังผ้อ เส้นทางของเขาคือต่อสู้
ไม่ว่าเขาจะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้หรือไม่ เขาก็ต้องการจะสู้ ยิ่งไม่อาจเอาชนะเท่าไรเขาก็ยิ่งอยากสู้มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นคนมากมายจึงมองเขาเป็นคนบ้า
หลายสิบปีที่ผ่านมา เขาสู้กับหวังผ้อมานับครั้งไม่ถ้วน เขาไม่เคยชนะสักครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยยอมรับความพ่ายแพ้
ในตอนนี้หวังผ้อได้เป็นยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ความแตกต่างในความแข็งแกร่งก็ยิ่งห่างจากในอดีตมาก แต่อนุมานได้ว่าเซียวจางก็ยังไม่ยอมแพ้
จากเรื่องนี้ คำพูดของหวังผ้อบนถนนหิมะนั้นถูกต้อง ประมุขรองตระกูลถังนั้นด้อยกว่าคนอย่างเซียวจางกับสวินเหมย
ฮู่ซานสือเอ้อร์พลันกล่าวขึ้น “สถานการณ์ของเซียวจางช่วงไม่กี่ปีมานี้ค่อนข้างน่าอนาถทีเดียว”