ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 42 ยุคแม่น้ำภูเขามีท่านอ๋องออกมา
สำหรับยอดฝีมืออย่างเซียวจางหากใช้คำว่า ‘อนาถ’ บรรยายสถานการณ์ของเขาย่อมหมายความว่าเขาต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างมาก
ถังซานสือลิ่วถาม “เพราะเขาช่วยหวังผ้อในตอนนั้นอย่างนั้นหรือ”
ฮู่ซานสือเอ้อร์ตอบ “ถูกต้อง เขาทำลายแผนของปรมาจารย์เต๋าในจิงตู ทำให้ขุนนางทุกระดับขุ่นเคือง ตอนนี้ราชสำนักไม่อาจแตะหวังผ้อได้แม้แต่น้อยจึงไม่ยอมปล่อยเซียวจางไป เพื่อที่จะแสดงอำนาจและกู้หน้าคืนมา พวกเขาได้ไล่ล่าเซียวจางช่วงหลายปีมานี้ในฐานะอาชญากร เขาถูกไล่ราวกับสุนัขจรจัดนับว่าน่าอนาถทีเดียว”
สำหรับฮว่าเจี่ยเซียวจางยอดฝีมือบนประกาศเซียวเหยา การมีชื่อบนบัญชีค่าหัวของราชสำนักและถูกตามล่านั่นดูเหมือนจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ
ต้องไม่ลืมว่าราชสำนักมียอดฝีมือนับไม่ถ้วน พวกเขาสามารถผลัดเปลี่ยนกันพักผ่อน ทว่าเซียวจางตัวคนเดียวไม่มีญาติหรือเพื่อน ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด ก็ต้องระแวดระวังและซ่อนตัวไว้ ไม่เช่นนั้นตอนที่ออกมากินบะหมี่ก็อาจพบเจอมือสังหารที่ชั่วร้ายที่สุดจากกรมอาญาหรือมือปราบที่มากประสบการณ์ของกรมราชทัณฑ์ และนี่ไม่ใช่เวลาแค่วันเดียวแต่คือทุกขณะในชีวิต
ถังซานสือลิ่วมองเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงรู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไรและส่ายหน้า “ข้าให้คนของพระราชวังหลีส่งข้อความไปแล้วแต่เขาไม่ต้องการจะพบ”
ถังซานสือลิ่วถาม “หวังผ้อล่ะ เขาน่าจะทำอะไรได้บ้าง”
เฉินฉางเซิงตอบ “สองปีก่อนตอนที่ข้าได้รับข่าวจากพื้นที่นี้ เซียวจางได้ประกาศไว้ล่วงหน้าว่าหากหวังผ้อพยายามจะช่วยเขา เขาจะฆ่าตัวตายในทันที”
ถังซานสือลิ่วได้แต่ยอมรับว่านี่เป็นการกระทำที่เหมาะสมกับนิสัยของเซียวจางอย่างแท้จริง ส่ายหน้ากล่าว “เขาไม่อาจแบกรับความอับอายในการรับความช่วยเหลือจากผู้อื่น”
ฮู่ซานสือเอ้อร์กล่าว “เพราะเซียวจางเป็นคนทำให้ชาป่าฤดูหนาวของเมืองเฟิ่งหยางมีชื่อเสียงในต้าลู่ ทุกปีเมืองเฟิ่งหยางจะจัดใบชาที่ดีที่สุดให้เขากล่องหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะเรื่องที่ราชสำนักไล่ล่าเขาอย่างกระชั้นชิด เราอาจได้พบกับเซียวจางในอีกไม่กี่วันนี้”
ทั้งสองฝั่งแม่น้ำมีต้นชาเรียงเป็นแถว หลังจากเด็ดใบชาแล้วก็ต้องเอาไปตากแดด กองสุมเป็นภูเขาชาอยู่ในเมือง ใบชาฤดูหนาวจะถูกคัดคุณภาพและแบ่งเป็นกลุ่มวางเรียงไว้ตามบันไดหินของป้อมเจ็ดสมบัติ ยิ่งอยู่สูงใบชาก็ยิ่งมีน้อยลงเท่านั้นและมูลค่าก็ย่อมเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ตามการเรียงลำดับนี้ชาที่มีค่ามากที่สุดสองตะกร้าถูกวางไว้บนยอดสูงสุด
ฮู่ซานสือเอ้อร์ชี้ไปที่นั่นและอธิบาย “ใบชาในตะกร้าทั้งสองนั่นมีค่าเท่ากับทอง และต่อให้ท่านยินดีจ่าย ก็ไม่มีพอค้าคนใดจะซื้อได้ จึงไม่มีที่ขายมัน”
เฉินฉางเซิงถาม “ชาสองตะกร้านี้จะส่งไปที่ไหน”
ฮู่ซานสือเอ้อร์ตอบ “ทั้งสองตะกร้าเป็นเครื่องบรรณาการ ตะกร้าหนึ่งส่งเข้าวัง”
เฉินฉางเซิงถาม “แล้วอีกตะกร้าหนึ่งเล่า”
ครั้นได้ยินคำถามนี้ ถังซานสือลิ่วก็มองเขาราวกับเป็นคนปัญญาอ่อน ฮู่ซานสือเอ้อร์มีสีหน้าประหลาดทีเดียวตอนที่เขาอธิบาย “มันย่อมเป็นของพระองค์”
เฉินฉางเซิงเข้าใจในที่สุดเมื่อใบชาล้ำค่าเหล่านี้เป็นเครื่องบรรณาการ เมื่อหนึ่งถูกส่งไปยังวังหลวง อีกหนึ่งก็ย่อมต้องส่งไปที่พระราชวังหลี
ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างราชสำนักกับนิกายหลวงจะเป็นอย่างไร เมืองเล็กๆ อย่างเมืองเฟิ่งหยางก็ต้องแสดงความเคารพอย่างสูงกับทั้งสองฝ่าย
“แล้วใบชาที่เก็บไว้ให้เซียวจางก็เป็นชานี้เช่นกันหรือ” ถังซานสือลิ่วถาม
ฮู่ซานสือเอ้อร์ส่ายหน้าและชี้ไปที่ศาลาสมบัติด้านบนสุดของป้อมเจ็ดสมบัติ “ชาป่าที่มองให้เซียวจางนั้นพิเศษและถูกวางไว้ในนั้น”
ถังซานสือลิ่วกล่าว “ด้วยนิสัยของเซียวจาง ต่อให้ราชสำนักเลือกที่แห่งนี้ล้อมฆ่าเขา เขาก็อาจจะมาอยู่ดี”
ฮู่ซานสือเอ้อร์พยักหน้า “เขามาครั้งล่าสุดก็คือเมื่อสองปีก่อน”
ถังซานสือลิ่วถาม “แล้วใครได้ชานั่นไป”
ฮู่ซานสือเอ้อร์อธิบาย “จากภายนอก มันย่อมไม่ถูกมอบออกไป แต่คนมากมายรู้ว่ามันถูกส่งไปยังจวนเซียงอ๋องในจิงตู”
ถังซานสือลิ่วถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมเป็นเช่นนั้น เซียงอ๋องมีเกียรติสูงกว่าราชสำนักกับนิกายหลวงได้อย่างไร”
ฮู่ซานสือเอ้อร์ยิ้มและอธิบาย “ผู้ว่าการมณฑลของสภาเมืองเฟิ่งเป็นหุ่นเชิดของท่านอ๋อง”
ตอนที่พวกเขาดื่มชาสนทนา มีเส้นใยเล็กๆ หลุดออกมาจากเมฆบาง ห่านแดงทะลวงผ่านชั้นเมฆลงมายังที่ว่าการเมืองที่อยู่ไกลออกไป
ไม่น่านจากนั้น เสียงฆ้องเสียงกลองก็เริ่มดังขึ้น การประกาศเริ่มขึ้นแล้ว บทเพลงสนุกสนานก็ดังขึ้นในที่ว่าการเมือง
สามปีที่ผ่านมา เฉินฉางเซิงอยู่บนเขาชายแดนเหนือและถังซานสือลิ่วก็ถูกขังอยู่ในจวนเก่าและหอบรรพชน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“หอความลับสวรรค์ได้ปรับการจัดอันดับใหม่” ฮู่ซานสือเอ้อร์กล่าวด้วยสีหน้าผสมปนเป
เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ในอดีตหอความลับสวรรค์จะจัดอันดับในช่วงการสอบใหญ่หรือช่วงที่ผู้คนออกมาจากสุสานเทียนซูหลังจากทำความเข้าใจแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ ในตอนนี้เวลาผ่านไปสามปีแล้วนับจากการสอบใหญ่ครั้งล่าสุดและหอความลับสวรรค์ก็เหลือแต่ชื่อ แต่การประกาศยังดำเนินต่อไป อย่างไรก็ตามในตอนนี้มันแทบไม่เกี่ยวกับนิกายหลวง งานส่วนใหญ่ราชสำนักเป็นผู้ดำเนินการ
แต่นี่ไม่ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของการประกาศ สุดท้ายแล้วสำหรับคนทั่วไป ชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของหอความลับสวรรค์ยังคงอยู่ และตอนนี้เมื่อมีตราประทับของจักรพรรดิบนประกาศก็ยิ่งทำให้น่าเชื่อถือมากขึ้นกว่าเดิม
บทสนทนาในโรงน้ำชาจบลง ทุกคนจิบชาเงียบๆ ขณะสดับฟังเสียงบนถนน
ประกาศแรกที่ออกมาก็ยังเป็นประกาศชิงอวิ๋น นำโดยถอดชื่อโก่วหานสือกับเฉินฉางเซิงออก มีอัจฉริยะรุ่นเยาว์ในขั้นทะลวงอเวจีปรากฏขึ้นมากมาย อันดับที่เคยเป็นตัวแทนของศักยภาพอัจฉริยะรุ่นเยาว์นี้กลับไร้คนสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เฉินฉางเซิงสังเกตเห็นว่ามีชื่อที่คุ้นเคยอยู่บนประกาศชิงอวิ๋น
ฝูซินจือ เฉินฟู่กุ้ยและชูเหวินปินล้วนเป็นนักเรียนรุ่นแรกของสำนักฝึกหลวง
ดูเหมือนว่าซูม่ออวี๋จะดูแลสำนักฝึกหลวงได้ดีทีเดียว
ยามที่ราชสำนักปรับการจัดอันดับนั้น มีวิธีที่ต่างจากตอนที่หอความลับสวรรค์จัดการเรื่องต่างๆ ทำการประกาศผลการจัดอันดับของประกาศเตี่ยนจินและประกาศเซียวเหยาเช่นกัน ที่ประกาศต่อมาคือประกาศเตี่ยนจิน ในครั้งนี้มีชื่อที่คุ้นเคยมากขึ้นปรากฏขึ้น โก่วหานสือ กวนเฟยไป๋ เหลียงปั้นหู จงฮุย… ด้วยสถานะของเขากับสวีโหย่วหรง หมายความว่าพวกเขาย่อมไม่รวมอยู่ในการจัดอันดับ แต่ไม่ว่าอย่างไรอายุของคนในประกาศเตี่ยนจินปีนี้ก็ยังจัดอยู่ในระดับต่ำสุดในช่วงหลายศตวรรษ นอกจากยุคของโจวตู๋ฟูกับเฉินเสวียนป้า ก็ไม่มียุคใดที่มีคนรุ่นเยาว์เข้าสู่ขั้นรวบรวมดวงดาวมากมายเพียงนี้ ช่วงเวลานี้ช่างสมกับชื่อยุคแห่งดอกไม้เบ่งบานจริงๆ
จากนั้นก็เป็นประกาศเซียวเหยา เมื่อหวังผ้อทะลวงผ่านเมื่อสามปีก่อน เขาก็หลุดออกจากอันดับแรกที่เขาอยู่มาหลายสิบปี เมื่อเซียวจางกลายเป็นคนที่ราชสำนักไล่ล่า เขาย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะถูกจัดอันดับ ดังนั้นตำแหน่งอันดับหนึ่งจึงตกเป็นของเหลียงหวังซุน ตามมาด้วยเสี่ยาเต๋อและยอดฝีมือคนอื่นที่มีชื่อเสียงกว้างขวาง แต่เมื่อเฉินฉางเซิงได้ยินว่า ‘กวนไป๋ผู้โด่งดัง’ จัดอยู่อันดับเก้า เขาก็อดที่จะดีใจอยู่บ้างไม่ได้
ตอนที่เขายังไม่ได้ยินชื่อชิวซานจวินทั้งที่ประกาศเซียวเหยาจบลงแล้ว เขาก็มองย้อนขึ้นไปและส่ายหน้า ยากจะบอกได้ว่าในใจเขาคิดอะไร
ทันใดนั้นดอกไม้ไฟก็พุ่งขึ้นจากที่ว่าการเมืองอันห่างไกล เนื่องจากมีแสงตะวันเจิดจ้า ดอกไม้ไฟจึงดูไม่งดงามนัก น่าจะเป็นเพราะมีเวลาเตรียมการน้อยเกินไปสำหรับจัดงานเช่นนี้
เหตุใดที่ว่าการเมืองจึงเล่นดนตรีรื่นเริง เหตุใดต้องจุดดอกไม้ไฟ และที่สำคัญที่สุด… เหตุใดราชสำนักจึงทำการปรับปรุงประกาศในตอนนี้
พวกเฉินฉางเซิงในโรงน้ำชาและทุกคนตามแม่น้ำต่างรู้เหตุผลนี้อย่างรวดเร็ว
เซียงอ๋องได้เข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว!