ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 43 ทวนและชาป่าฤดูหนาว
ผู้ว่าการมณฑลแห่งเมืองเฟิ่งเพิ่งมาถึงเมืองเฟิ่งหยางเมื่อวานนี้เพื่อร่วมงานเลี้ยงน้ำชา ตอนนี้ได้รับการแสดงความยินดีจากผู้คนมากมายในที่ว่าการเมือง
กลุ่มคนในโรงน้ำชาได้ยินข่าวนี้ก็มองหน้ากันอย่างพูดอะไรไม่ออก ความเย็นเยียบผุดขึ้นมาในหัวใจ
ไม่มีใครคาดคิดว่าเซียงอ๋องจะเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จระหว่างการกักตัว
นับจากตอนที่เขาก้าวข้ามเส้นแบ่ง ตราบใดที่เขาไม่วางแผนร้ายหรือต่อสู้กับปรมาจารย์เต๋า สถานะของเขาในราชวงศ์ต้าโจวจะไม่มีทางสั่นคลอน
ไม่ว่าในราชสำนักหรือฝ่ายทหารเซียงอ๋องก็มีอำนาจมหาศาล และตอนนี้เขาก็ได้เข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว ย่อมกลายเป็นขุนนางที่ทรงอำนาจที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
เฉินฉางเซิงนึกถึงการประเมินอย่างย่ำแย่ที่สวีโหย่วหรงมีต่อเซียงอ๋อง นางได้กล่าวว่าถึงแม้ท่านอ๋องจะมีพรสวรรค์โดดเด่น แต่ก็มีนิสัยโหดเหี้ยม มักมากในกาม ไม่มีโอกาสที่จะเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้ดูเหมือนว่านั่นเป็นเพียงแค่การเสแสร้งแกล้งทำเท่านั้น
เซียงอ๋องผู้นี้เสแสร้งอยู่เป็นเวลานานซึ่งหมายความว่าเขามีแผนการใหญ่ หมายความว่าเขามีความทะเยอทะยานอย่างมาก
ในฐานะท่านอ๋องผู้ทรงอำนาจที่สุดในราชวงศ์ต้าโจว หากเขายังทะเยอทะยาน เป้าหมายของเขาย่อมชัดเจนยิ่ง
เฉินฉางเซิงรู้สึกเป็นห่วงศิษย์พี่ที่อยู่ในวังอันห่างไกลอยู่บ้าง
ในตอนนี้มีการประกาศก็ดังขึ้นบนถนนอีกครั้งหนึ่ง
คาดไม่ถึงว่าเซียงอ๋องเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์กลับไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดในการปรับปรุงอันดับใหม่
สามเดือนก่อนเจ้าสำนักกระบี่หลีซานได้ใช้ใจชำระกระบี่และเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ!
ข่าวนี้ปัดเป่าความรู้สึกกดดันในโรงน้ำชาไปในทันที ลมเย็นพัดมาจากแม่น้ำ
ถังซานสือลิ่วมองไปที่เฉินฉางเซิงและกล่าว “ยินดีด้วย”
สำนักฝึกหลวงกับสำนักกระบี่หลีซานมีความขัดแย้งกันมากมาย ถึงกับมีความเป็นปฏิปักษ์อันยากจะแก้ไขได้ ทว่าเรื่องทั้งหมดล้วนผ่านไปแล้ว
ทุกคนในต้าลู่รู้ว่าระหว่างราชสำนักกับนิกายหลวง สำนักกระบี่หลีซานต้องสนับสนุนฝ่ายหลังอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาคือพันธมิตรของเฉินฉางเซิง
เจ้าสำนักกระบี่หลีซานเข้าสู่ขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ย่อมเป็นเรื่องดีสำหรับเฉินฉางเซิงกับนิกายหลวง
แม้ว่ายอดฝีมือขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์แค่คนเดียวจะไม่อาจเปลี่ยนระดับความแข็งแกร่งที่แตกต่างระหว่างทั้งสองฝ่ายได้ แต่ข่าวนี้ก็ยังลดความตกใจที่เกิดขึ้นจากข่าวของเซียงอ๋องได้
เฉินฉางเซิงคิดในใจ เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้บนหลีซาน มิน่าเล่าหลัวปู้กับกวนเฟยไป๋ถึงได้รีบร้อนกลับไป
ทุกคนมีความสุขมีแต่เจ๋อซิ่วที่ไม่แสงสีหน้าอันใด
ถังซานสือลิ่วเข้าใจว่าเหตุใดจึงกล่าวปลอบโยน “เจ้าคิดมากไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรต่อให้เจ้าสำนักกระบี่หลีซานไม่ได้เข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็เอาชนะเขาไม่ได้”
หลังจากส่งข้อความแล้วห่านแดงก็กินอาหารและน้ำในที่ว่าการเมืองแล้วพักผ่อนสักครู่หนึ่ง ตอนนี้มันก็ขึ้นบินอีกครั้ง บินอย่างรวดเร็วไปตามถนนภูเขาสู่แม่น้ำ คาดว่าเมื่อมันมาถึงพื้นที่เปิดก็จะสะบัดปีกทะลวงขึ้นสู่ชั้นเมฆ เดินทางไปยังดินแดนที่ห่างไกลยิ่งขึ้นเพื่อถ่ายทอดเจตนาของราชสำนัก
ผู้คนในเมืองมองไปที่เงาสีแดงซึ่งบินต่ำผ่านอากาศไปราวสายฟ้าฟาดและเริ่มตบมืออย่างตื่นเต้น สายตานับไม่ถ้วนมองตามไป รวมถึงพวกเฉินฉางเซิงในโรงน้ำชา พวกเขามองไปที่ห่านแดงซึ่งกระพือปีกบินอยู่เหนือแม่น้ำ และบินผ่านโซ่พวกนั้นไปอย่างรวดเร็วพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ทันใดนั้นหน้าไม้นับไม่ถ้วนก็ยิงออกมาจากป่าฝั่งตรงข้าม!
ห่านแดงโดนโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ถูกลูกศรปักใส่ตกลงไปในแม่น้ำหายจากสายตาไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนที่ได้เห็นตะลึงงันไป
สีหน้าเฉินฉางเซิงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา
เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหน้าไม้พวกนั้นไม่ได้มีเป้าหมายไปที่ห่านแดง
ศรหน้าไม้พวกนั้นแผ่ปราณที่น่ากลัวออกมา น่าจะถูกยิงออกมาจากหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์
แม้แต่ห่านแดงที่สำคัญที่สุดก็ไม่จำเป็นต้องใช้ฝนลูกศรแน่นขนัดเช่นนี้ อย่าว่าแต่ถึงกับใช้หน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์เลย
และข่าวที่ห่านแดงนี้ส่งก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับข้อมูลเร่งด่วนทางทหาร
แล้วเป้าหมายที่แท้จริงของหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้คืออะไร
เมฆมากมายลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือแม่น้ำ แต่ไม่อาจบดบังแสงตะวันยามเช้า ย่อมไม่ใช่เค้าลางว่าจะเกิดพายุ
แต่ตอนนั้นเองที่เสียงระเบิดกึกก้องจนแก้วหูแทบแตกดังขึ้นบนท้องฟ้า เหมือนกับสายฟ้ากลางฤดูร้อน
ลูกศรจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าหายไปไหนไม่ทราบ จากนั้นก็มีประกายกระบี่น่าหวาดกลัวและแปลกประหลาดสิบกว่าสายฉายขึ้นบนท้องฟ้า
เมฆกระจายตัวไปและเสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้นในอากาศ
แม่น้ำพลันปั่นป่วนขึ้นมา คลื่นรุนแรงซัดขึ้นสู่ท้องฟ้า ป่าฝั่งตรงข้ามถูกลมรุนแรงพัดใส่ ต้นไม้นับไม่ถ้วนหักโค่น ครั้นแล้วเสียงกรีดร้องคำรามก็ดังออกมาจากป่า
เลือดนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากป่าทึบตกลงในแม่น้ำ หายไปจากสายตาอย่างรวดเร็วเฉกเช่นห่านแดงนั่น
โซ่ที่ทอดอยู่บนแม่น้ำเริ่มส่ายอย่างรุนแรง ส่งเสียงกระทบกันอย่างต่อเนื่อง
รองเท้าหนังเก่าโทรมคู่หนึ่งเหยียบลงบนโซ่
ไม่ว่าโซ่จะส่ายไหวรุนแรงเพียงใด น้ำไหลเชี่ยวแค่ไหน ลูกศรและประกายกระบี่แหลมคมปานใด รองเท้าเก่าโทรมคู่นั้นก็ยังเหยียบโซ่เอาไว้อย่างมั่นคง
สายลมยังคงส่งเสียงหวีดหวิวเหนือแม่น้ำ พัดใส่แผ่นกระดาษขาว ทำให้มันกระพือเสียงดังจนแม้แต่เสียงกระทบกันของโซ่ก็ไม่อาจซ่อนเอาไว้ได้
คนที่ยืนอยู่บนโซ่สวมกระดาษสีขาวที่เจาะรูเอาไว้บนใบหน้า โดยรวมแล้วเป็นภาพที่น่ากลัวทีเดียว
แต่เทียบกับในอดีต กระดาษขาวบนใบหน้าเขาได้ขาดบางส่วนไปและมีจุดสีดำที่เกิดจากเลือดแห้ง น่าจะเป็นรอยที่เกิดจากการบาดเจ็บเมื่อนานมาแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก และเขาก็ถูกไล่ล่าตลอดมานับจากนั้น ไม่มีเวลาให้พักแม้แต่น้อย
หากเป็นคนอื่นในสถานการณ์นี้คงคิดหาทางหนีหรืออย่างน้อยก็ต้องออมกำลังเอาไว้บ้าง
ทว่าคนผู้นี้ไม่ เขากวัดแกว่งทวนเลื่องชื่อของเขารับลูกศรทั้งหมดเอาไว้ ปัดประกายกระบี่แหลมคมและเดินไปยังเมืองเฟิ่งหยาง
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องมองเขาและตามรอยเท้าของเขาไป ทุกคนนิ่งเงียบและกังวล
คนผู้นั้นตะโกนไปที่เมือง “ชาของบิดาอยู่ไหน! ใครกล้าแตะต้องมัน!”
ทั่วทั้งเมืองเฟิ่งหยางเงียบไป ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าตอบ
ตะโกนครั้งเดียวทั้งเมืองก็เงียบงันไป
คนผู้นี้ช่างหยิ่งผยองอย่างที่สุด
สมกับชื่อฮว่าเจี่ยเซียวจางเป็นที่สุด [1]
……
……
ชาป่าฤดูหนาวเมืองเฟิ่งหยางมีชื่อขึ้นมาก็เพราะเซียวจาง ทว่าเพราะราชสำนักไล่ล่าอย่างกระชั้นชิด เขาจึงไม่ได้มางานเลี้ยงน้ำชาป่าเมืองเฟิ่งหยางมาสองปี และผู้อาวุโสของเมืองก็ส่งกล่องชาที่รับปากจะมอบให้เขาไปให้จวนเซียงอ๋อง ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะปรากฏตัวในปีนี้ แต่โชคไม่ดีที่เขามาแล้ว
ไม่มีใครในเมืองรู้ว่าจะตอบอย่างไร
โซ่สั่นไหวกระทบกันส่งเสียงระรัว น้ำในแม่น้ำกระเพื่อมส่งเสียงน่าเบื่อ นอกจากนี้ก็ไม่มีเสียงอื่นแล้ว
เซียงจางเดินลงจากโซ่มายืนอยู่บนพื้นดินของเมืองเฟิ่งหยาง เขาเริ่มเดินขึ้นไปบนบันไดหิน
บนยอดของบันไดหินก็คือป้อมเจ็ดสมบัติ
บนจุดสูงสุดของป้อมเจ็ดสมบัติก็คือศาลาสมบัติ
ภายในศาลาสมบัติมีชากล่องหนึ่ง
เขามาเพื่อเอาชาจริงหรือ
——
[1] คำว่า 嚣张 ที่แปลว่าหยิ่งผยองออกเสียงว่าเซียวจางเหมือนชื่อของฮว่าเจี่ยเซียวจาง