ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 44 คนหาบของที่ทำจากเหล็กกล้า
เรือรบของกองทัพเรือต้าโจวสิบกว่าลำปรากฏขึ้นบนแม่น้ำ แต่ละลำมีทหารถือหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์อยู่มากมาย
เสียงดังพึ่บพั่บ ยอดฝีมือของราชสำนักมากมายขึ้นฝั่งและวิ่งเข้าสู่เมืองเฟิ่งหยาง
นักพรตสวมชุดสีน้ำเงินพลิ้วไหวโดดออกมาจากป่าอีกฝั่งหนึ่ง พวกเขาเหยียบเรือรบอย่างแผ่วเบาแล้วก็โดดขึ้นฝั่งอีกด้านหนึ่ง
นักพรตชุดน้ำเงินมีสีหน้าเยือกเย็นยากอ่านออกและถือกระบี่เต๋า พวกเขามาจากอารามฉางชุนในลั่วหยาง
รองเท้าหนังเก่าโทรมเหยียบบนบันไดหินที่ยังเปียกน้ำค้างยามเช้าอยู่
พ่อค้าชาและคนเดินถนนสองข้างทางของบันไดหินถอยไปอย่างลืมตัวเมื่อคนผู้นี้ใกล้เข้ามา บางทีอาจเป็นเพราะความกลัว หรืออาจเป็นเพราะความละอาย
เซียวจางไม่มองดูคนพวกนี้ด้วยซ้ำ ไม่สนพวกยอดฝีมือของราชสำนักที่ไล่ล่าเขา ถือทวนเดินตรงไปอย่างเฉยชา
เสียงอุทานดังมาจากมุมถนนแล้วก็หายไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางฝูงชนที่แตกตื่นตกใจยังมีประกายเย็นเยียบของลูกศรหน้าไม้ให้เห็นอยู่รำไร
นักพรตชุดน้ำเงินเหินขึ้นไปบนบันไดหินราวกับนกกระเรียน พวกเขาอยู่ด้านหลังเซียวจางดูเคร่งเครียดพร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อ
เส้นทางจากแม่น้ำถึงป้อมเจ็ดสมบัตินั้นทำขึ้นจากบันไดหิน พวกคนไม่มีอะไรทำเคยนับเอาไว้ และพบว่ามันมีมากกว่าเจ็ดพันขั้น
คนธรรมดาต้องใช้เวลานานกว่าจะเดินขึ้นไปจนสุดทาง
ส่วนเซียวจางถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บหนักก็ยังใช้เวลาไม่มากนัก
ในเวลาชั่วครู่ เขาก็มาถึงช่วงกลางบันไดแล้ว ด้านข้างเป็นสวนหย่อมเล็กๆ แห่งหนึ่ง
คนหลายสิบคนยืนอยู่ในสวนหย่อมนี้ มองดูเขาด้วยสีหน้าซับซ้อนอยู่ใต้ร่มไม้ พวกเขารู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง กระวนกระวายอยู่บ้าง
ทันใดนั้นประกายกระบี่ที่อับแสงซ่อนเร้นพุ่งทะลุตะกร้าที่ชาวบ้านถือและแทงเข้าใส่เซียวจาง
เป็นการโจมตีในแง่มุมที่คิดไม่ถึง เป็นการโจมตีที่ชั่วร้ายที่สุด
แต่เซียวจางก็ดูเหมือนจะเห็นมันมานานแล้ว เขาคำราม แทงทวนผ่านอากาศ โจมตีประกายกระบี่อย่างแม่นยำด้วยกำลังที่รุนแรง
ประกายกระบี่แตกละเอียดไปในทันที มือสังหารที่ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนถูกบีบให้ถอยไปอย่างอนาถ กระแทกเข้าใส่ต้นไม้
ใบไม้ปลิวไปบนร่างของมือสังหาร ถูกย้อมเป็นสีแดงจากเลือดที่กระอักออกมา
ใบหน้ามือสังหารเต็มไปด้วยความตกใจ เขาต้องการที่จะลุกขึ้นหนีแต่ก็ไม่อาจที่จะรวบรวมกำลังได้
น่าประหลาดที่เซียวจางแค่มองดูมือสังหารก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดต่อไป
พวกเฉินฉางเซิงได้ออกจากโรงน้ำชาแล้วและตอนนี้กำลังยืนอยู่ด้านหลังฝูงชน
เห็นภาพนี้ถังซานสือลิ่วก็เอ่ยชม “วิชาชั้นเลิศ”
ในคืนที่เกิดการยึดอำนาจใจสุสานเทียนซูและช่วงเวลาหลังจากนั้น เซียวจางเป็นศัตรูที่ดื้อดึงซึ่งนิกายหลวงต้องรับมือ แต่เรื่องเปลี่ยนไปหลังจากเขาช่วยหวังผ้อจากริมแม่น้ำลั่ว อย่างน้อยในสายตาของถังซานสือลิ่ว ยอดฝีมือที่ควรอยู่อันดับสูงสุดของประกาศเซียวเหยาเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งอันน่าพึงพอใจดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะรู้สึกโปรดปราน
อย่างไรก็ตาม ฮู่ซานสือเอ้อร์กับเจ๋อซิ่วส่ายหน้ากับคำชมของถังซานสือลิ่ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีมุมมองต่างไป
“เขาบาดเจ็บหนักเกินไป หนักยิ่งกว่าที่พวกเราคิดเอาไว้เสียอีก” เฉินฉางเซิงกล่าวอย่างเป็นกังวล
ถังซานสือลิ่วเข้าใจ
จากรูปแบบการต่อสู้อันรุนแรงของเซียวจาง หากเขายังมีความสามารถในการต่อสู้เหลืออยู่สักหกเจ็ดส่วน ต่อให้มือสังหารจากหอความลับสวรรค์ไม่ตายคาที่ ก็ต้องกระดูกแหลกไปแล้ว
ต่อให้พวกเขาโชคดีสามารถรอดชีวิตมาได้ ด้วยนิสัยของเซียวจางต้องลงมือต่อเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาตาย
แต่มือสังหารยังมีชีวิตอยู่
นี่ย่อมหมายความว่าอาการบาดเจ็บของเซียวจางนั้นรุนแรงกว่าที่คิดไว้ ดังนั้นจึงไม่ยอมเสียพลังไปกับการแทงหอกไปอีกครั้ง
ดังที่คาดไว้
ยอดฝีมือมากมายจากราชสำนักใช้ความวุ่นวายของฝูงชนลงมือโจมตีเซียวจาง
เซียวจางไล่ยอดฝีมือพวกนั้นกลับไปได้สำเร็จ แต่ร่างของเขาก็เริ่มสั่น สามารถล้มลงได้ทุกเมื่อ
“มีบาดแผลใหม่อยู่มาก แต่แผลเก่ามากยิ่งกว่า”
เจ๋อซิ่วก็ถือว่าการต่อสู้เป็นวิถีชีวิตเช่นเดียวกับเซียวจาง สายตาของเขามองเห็นปัญหาของเซียวจางได้อย่างชัดเจน
หลังจากถูกไล่ล่าโดยราชสำนักมานานสามปี ต่อสู้อย่างไม่รู้จบโดยไม่อาจได้พัก ต่อให้ร่างของเซียวจางทำขึ้นจากเหล็กกล้า เขาก็ยังต้องรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ดี
เมื่อเขาเหนื่อย ปฏิกิริยาก็ต้องช้าลง ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บง่ายขึ้น
เมื่อเขาเริ่มบาดเจ็บ ก็ต้องพบกับการบาดเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ ปราณแท้แห้งเหือด อ่อนล้าจนเกินทน ในที่สุดก็จะไร้กำลังที่จะสู้กลับ
เขาเป็นยอดฝีมือขั้นสูงสุดระดับรวบรวมดวงดาวบนประกาศเซียวเหยา และก็เป็นเรื่องยากที่จะหาคนระดับต่ำกว่าเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ที่สู้เขาได้ เขาเป็นเหมือนสัตว์อสูรขนาดยักษ์ที่ตระเวนไปทั่วแดนรกร้างตามลำพัง เขาถูกอีแร้งอย่างยอดฝีมือจากราชสำนักไล่ตามมาหบายวันโดยไม่อาจโต้กลับ ถูกบีบให้ต่อสู้ตลอดการเดินทางที่ยาวนาน วันที่ร่างกายของเขาจะล้มลงกับพื้นย่อมต้องมาถึง
ในที่สุดเซียวจางก็ไปถึงจุดสูงสุดของเมืองเฟิ่งหยาง
เขายืนตรงหน้าป้อมเจ็ดสมบัติ มองลงไปที่แม่น้ำด้านล่างแล้วหรี่ตา
ตะวันยามเช้าลอยอยู่เหนือภูเขาแล้ว ลำแสงเจิดจ้าส่องเหนือแม่น้ำและภูเขาเป็นประกายแวววาว
เขาเห็นอย่างชัดเจนว่ายอดฝีมือจากราชสำนักและหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้ล้อมเมืองเฟิ่งหยางไว้แล้ว
แม้ว่าจิตใจเขาจะยังคงสงบ แต่ก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง ราวกับเห็นฝูงแมลงวันที่ไล่ไม่ไป
คนอย่างเซียวจางอาจคิดว่าตัวเองเป็นอสูรยักษ์ที่เตร่ไปตามแดนรกร้างตามลำพังจริงๆ แต่เขาก็ไม่เคยยอมรับว่าพวกยอดฝีมือราชสำนักที่ไล่ล่าเขามาหลายปีจะเป็นอีแร้ง ในสายตาของเขาคนพวกนี้น่ารำคาญเหมือนกับแมลงวันหรือยุง ส่งเสียงหึ่งๆ อยู่ช้าหูทุกวี่วัน จึงยากจะที่จะนอนหลับได้ ทำให้เขาในตอนนี้รู้สึกง่วงนัก
ใช่ เขาก็แค่ง่วงอยู่บ้าง
เขารู้สึกว่าทั้งหมดที่เขาต้องการก็แค่ได้นอนบ้าง ไม่อย่างนั้นทำไมหนังตาของเขาถึงได้หนักแบบนี้ ริมฝีปากเขาชา พวกไล่ล่าตามเขาทันแล้วหรือ
เขารู้สึกง่วงมากขึ้นเรื่อยๆ หนังตาหนักขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่เขาเองก็ยากจะบอกได้ว่าเขาหรี่ตาหรือหลับตาไปแล้ว
ตะวันยามเช้าส่องแสงเหนือเมืองเฟิ่งหยางและใบหน้าของเขา
เขาส่ายไปมาสองครั้งแล้วก็ล้มลง
ทว่าเขาไม่ได้กลิ้งลงไปตามบันได
ปลายทวนทิ่มพื้นดังตุบ ช่วยพยุงร่างอ่อนล้าของเขาเอาไว้ในช่วงเวลาที่คับขันที่สุด
เห็นภาพนี้ผู้คนที่ไม่ลืมสิ่งดีๆ ที่เซียวจางเคยทำให้กับเมืองเฟิ่งหยางก็ไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป และหันหน้าไปทางอื่น แต่บางคนยืนขึ้นมา
คนแรกที่ยืนขึ้นคือพ่อค้าชาของเมืองเฟิ่งหยาง รวมถึงลูกจ้างในร้านสิบกว่าคนที่ทำงานเกี่ยวกับธุรกิจชา
“คุ้มกันท่านเซียว!”
พ่อค้าชากัดฟันและตะโกน จากนั้นก็นำพวกคนงานขึ้นบันไดหินสู่ป้อมเจ็ดสมบัติและยืนตรงหน้าเซียวจาง บางคนเอากระบี่ที่พกเอาไว้ป้องกันตัวออกมา แต่ส่วนใหญ่เอาคานหามที่เอาไว้ใช้ขนของชี้ไปทางพวกยอดฝีมือที่ใกล้เข้ามา
ในฐานะพ่อค้าชาเขาย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการประสบปัญหายามทำธุรกิจและอาจต้องเผชิญหน้ากับพ่อค้าชาคนอื่นในเมืองเฟิ่งหยาง พ่อค้าชาขึ้นชื่อเรื่องอารมณ์ร้อนและพวกลูกจ้างของเขาก็กล้าหาญมีชื่อเสียงภายในเมืองอยู่บ้าง แต่พวกเขาจะหยุดยอดฝีมือเหล่านั้นกับหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์ของราชสำนักได้อย่างไร
แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีพ่อค้าชาและชาวบ้านมาร่วมกับพวกเขามากขึ้น
บันไดหินของป้อมเจ็ดสมบัติเต็มไปด้วยผู้คนอย่างรวดเร็ว