ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 49 ข้าจะรอเจ้าอยู่ในนรก
คู่หนุ่มสาวนี้เดินทางร่วมกันจากเมืองฮั่นชิวถึงเมืองเฟิ่งหยาง แม้จะไม่ใกล้ชิดกันเหมือนคู่รักทั่วไป ทว่าสีหน้าท่าทางของพวกเขาก็ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า
มู่จิ่วซือยืนอยู่ข้างกายเปี๋ยเทียนซิน เอนกายพิงอกเขาอย่างเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
แม้ว่าภาพนี้จะเกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว เปี๋ยเทียนซินก็ยังตื่นเต้นอยู่ดี หัวใจเต้นเร็วขึ้นอย่างฉับพลัน
มู่จิ่วซือส่งยิ้มชั่วร้าย พบว่าท่าทางของเขาน่าขันยิ่ง นางยื่นมือสีขาวบริสุทธิ์มาวางมันบนหน้าอกเขา
ใต้ฝ่ามือนางคือหัวใจของเขา
เปี๋ยเทียนซินย่อมไม่สนใจการกระทำของนาง แต่ไม่นานหลังจากนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดผิดปกติ
คนในชุดสีน้ำเงินสวมหน้ากากทองแดงปรากฏตัวขึ้นในห้องอย่างไม่อาจอธิบายได้
เมื่อเห็นคนชุดน้ำเงิน เปี๋ยเทียนซินก็หรี่ตาลง
คนผู้นี้เป็นใครจึงสามารถเข้ามาในห้องนี้อย่างไร้เสียงโดยที่เขากับมู่จิ่วซือไม่รู้ตัวเลย
คนผู้นี้ไม่ได้แผ่ไอปราณใดๆ ออกมา กระนั้นเปี๋ยเทียนซินก็พอจะเดาได้ถึงระดับการบำเพ็ญเพียรของเขาและรู้สึกว่าขมับเปียกชื้นขึ้นเล็กน้อย
เขาอยู่แค่ขึ้นรวบรวมดวงดาวเท่านั้นแต่พ่อแม่ของเขาเป็นยอดฝีมือขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเขาจึงมีประสบการณ์เรื่องนี้มากว่าคนอื่น
ตอนที่เดินทางท่องโลก เปี๋ยเทียนซินไม่เคยกังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะไม่มีใครกล้าแสดงความไม่เคารพต่อเขาแม้แต่น้อย
หากจะมีใครในโลกนี้ที่กล้าเสียงทำให้ยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์สองคนโกรธด้วยการโจมตีเขา ก็คงมีแต่ยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
เปี๋ยเทียนซินไม่รู้ว่าคนชุดน้ำเงินเป็นใครหรือทำไมถึงได้มาหาเขา แต่เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายใหญ่หลวง
“รีบไปอย่าสนใจข้า”
เปี๋ยเทียนซินมองไปที่คนชุดน้ำเงินในขณะที่พูดกับมู่จิ่วซือ
ใบหน้างดงามของมู่จิ่วซือแสดงสีหน้าแปลกประหลาดอยู่บ้าง คล้ายยิ้มคล้ายไม่เชิงยิ้ม ดูเหมือนหวั่นไหวแต่ก็เย้ยหยันด้วยเช่นกัน
แต่นางไม่ได้จากไป ไม่ได้ถามอะไร นางไม่ได้เอามือออกจากอกเขาด้วยซ้ำ
เปี๋ยเทียนซินรู้สึกว่าประหลาดอยู่บ้าง แต่ความสนใจทั้งหมดของเขาในตอนนี้อยู่ที่คนชุดน้ำเงิน เขาไม่มีเวลามาใส่ใจรายละเอียดพวกนี้และเขาก็มีสิ่งที่สำคัญมากให้ทำ
สุดท้ายแล้วเขาก็ยังเป็นลูกชายของเปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้ แม้ว่าจะไม่ถึงระดับของลั่วลั่ว เขาก็มีของวิเศษติดตัวอยู่ไม่น้อย
ยกตัวอย่างเช่น ของวิเศษที่เขาซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อตอนนี้ ของวิเศษนี้ไม่อาจเอาชนะยอดฝีมือขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ก็สามารถสร้างเกราะศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยให้เขาทนไปได้ครู่หนึ่ง และเมื่อเปิดใช้งานของวิเศษนี้ พ่อแม่เขาก็จะสัมผัสได้ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ตาม
นี่ยังเป็นสาเหตุที่เขายังรักษาความสงบเอาไว้และบอกให้มู่จิ่วซือออกไปก่อน
แต่เขาก็พบว่าไม่อาจที่จะรักษาความสุขุมได้ต่อไป สีหน้าซีดลงอย่างรวดเร็ว เขาพบว่าของวิเศษในแขนเสื้อมีบางอย่างผิดปกติไป
มีปราณบางๆ แต่ไม่อาจทำลายได้ปรากฏอยู่รอบร้านอาหาร คาดว่าเป็นฝีมือของคนชุดน้ำเงิน มันป้องกันไม่ให้สัญญาณอันใดส่งผ่านไปได้
แต่ของวิเศษเล่า ทำไมถึงได้ไม่ทำงานในช่วงเวลาคับขันที่สุดเช่นนี้
เขามองไปที่มู่จิ่วซือในอ้อมอก สัมผัสได้ว่าฝ่ามือบนหน้าอกเย็นลงเรื่อยๆ เขาพอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดวงตาของเขาแสดงความเจ็บปวดและไม่อยากเชื่อ
“ทำไม”
นี่เป็นคำถามที่เปี๋ยเทียนซินต้องการรู้คำตอบมากที่สุด
มู่จิ่วซือเงยหน้าขึ้นและแลบลิ้นออกมาอย่างขี้เล่น หัวเราะกล่าว “เพราะว่าเข้าไม่เคยชอบเจ้าเลย”
เปี๋ยเทียนซินได้ยินคำตอบแล้วแต่เขาก็ยังไม่อาจที่จะเชื่อได้ ร่างกายสั่นด้วยความกลัวและโศกเศร้า ในยามที่กล่าว “เช่นนั้นหรือ”
“ข้าไม่ยอมให้เจ้าบอกคนอื่นรวมถึงพ่อแม่เจ้าก็เพราะว่าข้าไม่เคยคิดที่จะอยู่ร่วมกับเจ้า”
มู่จิ่วซือยืดตัวตรง ฝ่ามือบอบบางของนางยังวางอยู่บนอกของเขา ดูเหมือนไม่อาจที่จะออกห่างจากความอบอุ่นของเขาได้
“เพื่อให้เจ้าตายอย่างไม่คาใจ การเดินทางไปเมืองฮั่นชิวก็เพื่อให้เจ้าได้พบกับเฉินฉางเซิง หลังจากนั้นเราก็จะฆ่าเจ้า อย่างไรก็ตามมีเรื่องบางอย่างทำให้เราไม่สะดวกจะลงมือ เป็นเหตุให้ต้องเลื่อนมาจนถึงตอนนี้ อันที่จริงหากเจ้าคิดดูให้ดีก็จะรู้ว่ามันเป็นกับดัก แต่เจ้ามันโง่เกินไป”
นางเย้ย “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาแต่งงานกับข้า ข้าคือคนที่จะได้เป็นสังฆราช”
เปี๋ยเทียนซินเห็นสีหน้าของนางก็สลัดความกลัวก่อนหน้านี้เหลือไว้แค่ความเจ็บปวดและโมโห เขาพึมพำ “แผนของเจ้าก็คือใส่ร้ายเฉินฉางเซิงและทำให้ต้าลู่ตกอยู่ในความวุ่นวายไม่รู้จบ คาดว่านี่น่าจะเป็นแผนของตระกูลมู่ของเจ้า ตอนนี้คิดดูแล้ว การที่มู่ฮูหยินไปยังเมืองไป๋ตี้ในตอนนั้นก็น่าจะเป็นปัญหาเช่นกัน”
มู่จิ่วซือไม่คาดคิดว่าตอนใกล้ตาย คุณชายเจ้าสำราญที่นางดูถูกจะสงบและฉลาดขึ้นมา นางอดที่จะตกตะลึงอยู่บ้างไม่ได้
แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว สิ่งต่างๆ ก็ได้ผ่านจุดที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกแล้ว
“แน่นอน พี่สาวข้าเป็นคนเช่นใดกัน นางเป็นอัจฉริยะที่ฉลาดที่สุดในตระกูลข้า! แล้วนางจะถูกบีบออกจากดินแดนต้าซีเพราะเรื่องบัลลังก์ได้อย่างไรกัน”
มู่จิ่วซือกล่าวกับเขาอย่างใจเย็น “สามีของพี่สาวข้าเป็นวีรบุรุษแห่งยุค แต่เขาก็ไม่อาจที่จะผ่านด่านหญิงงามและจบลงด้วยการถูกนางชักจูงอยู่หลายปี แม้ว่าเจ้าจะด้อยกว่าสามีของพี่สาวข้าอยู่มาก เจ้าในตอนนี้ก็ดูไม่เลวนัก จงตายอย่างสงบเถอะ ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่ลืมว่าเจ้าดีต่อข้าแค่ไหนตอนที่เราอยู่ด้วยกัน”
เปี๋ยเทียนซินจ้องมองดวงตานาง “เจ้าต้องการใส่ร้ายเฉินฉางเซิงแต่ไม่มีใครจะเชื่อเจ้าหรอก”
มู่จิ่วซือกล่าวเบาๆ “ทุกคนรู้ว่าเจ้าถูกมังกรดำฆ่า”
ทันนั้นมือน้อยๆ ของนางก็แผ่ปราณที่บริสุทธิ์และเย็นอย่างยิ่งออกมา
ร่างเปี๋ยเทียนซินถูกแช่แข็งในทันที ทำให้เขาไม่อาจเคลื่อนไหวได้
เขาสังเกตเห็นว่าดวงตานางได้เปลี่ยนเป็นสงบลึกล้ำผิดปกติ ราวกับบ่อน้ำเย็น
เขาเข้าใจว่ามู่จิ่วซือตั้งใจทำอะไร และนางตั้งใจจะใส่ร้ายเฉินฉางเซิงอย่างไร
มู่จิ่วซือมองไปที่เขายามที่แผ่พลังเย็นออกจากฝ่ามืออย่างต่อเนื่อง
ร่างกายและจิตใจของเปี๋ยเทียนซินเย็นเยียบ บางทีเพราะปราณเย็นนี้หรือบางทีอาจเป็นเพราะความโหดเหี้ยมไร้น้ำใจของนาง
เกล็ดน้ำแข็งปกคลุมขนตาเขา ดูราวกับน้ำค้างแข็งที่ปกคลุมต้นไม้ทางตอนเหนือ ดูงดงามทีเดียวแต่ก็ดูน่าเศร้าอยู่บ้าง
เขาจ้องมองไปที่ใบหน้าของมู่จิ่วซือ ราวกับต้องการจะจดจำความงาม ความบริสุทธิ์แต่ก็ชั่วร้ายนี้ไปตลอดกาล
“ข้าจะไม่ไปสู่ทะเลดวงดาว ข้าจะไปนรกซึ่งข้าจะไม่มีวันลืมเจ้า และข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นั่น”
นี่คือคำพูดสุดท้ายของเปี๋ยเทียนซิน
ว่าแล้วเขาก็หลับตาลงและหยุดหายใจ
แดนลี้ลับ จุดลมปราณ เลือด เนื้อต่างก็ถูกแช่แข็งจนหมดกลายเป็นผลึกแก้วที่เย็นเยียบ ไร้ซึ่งชีวิต
หลังจากเวลาผ่านไป มู่จิ่วซือก็ชักมือออกจากหน้าอกของเขาในที่สุด
นางมองรูปปั้นน้ำแข็งที่เคยเป็นเปี๋ยเทียนซินอย่างเงียบงันอยู่เป็นเวลานาน ใบหน้าซีดขาวอยู่บ้าง
นั่นเป็นเพราะปราณเย็นเยียบนี้สิ้นเปลืองปราณแท้ของนางจนเกินไป หรือเป็นเพราะคำพูดสุดท้ายของเปี๋ยเทียนซินกันแน่