ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 50 ความลับจมลงในแม่น้ำ
“เร็วเข้า”
คนชุดน้ำเงินพลันกล่าวขึ้น “อู๋ฉยงปี้ต้องสัมผัสได้แน่ว่าพลังชีวิตของเขาแห้งเหือดไป”
ยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างอู๋ฉยงปี้กับเปี๋ยยั่งหงย่อมต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้ในห้วงแห่งจิตของบุตรชายเพื่อให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัย
ปราณประหลาดสามารถตัดขาดการเคลื่อนไหวภายในร้านอาหาร รวมถึงปราณเย็นเยียบที่มู่จิ่วซือออกจากโลกภายนอก แต่ก็ไม่อาจตัดความเชื่อมโยงที่เกิดขึ้นจากเลือดแท้ระหว่างดวงวิญญาณได้
มู่จิ่วซือได้สติกลับมาจากอารมณ์ที่ค่อนข้างซับซ้อนและสะบัดนิ้วเบาๆ
สายลมแผ่วเบาพุ่งขึ้นจากปลายนิ้วนาง ตกลงบนร่างเปี๋ยเทียนซิน
รูปปั้นน้ำแข็งถล่มลงเป็นเศษเสี้ยวนับไม่ถ้วนเสียงดังโครมคราม จากนั้นก็ถูกสายลมขัดสีจนกลายเป็นผงใสๆ ขนาดเท่าเม็ดทราย
คนชุดน้ำเงินเหยียดแขนคว้าเม็ดทรายใสบนพื้นเก็บไว้ในแขนเสื้อและออกจากร้านอาหารไปพร้อมมู่จิ่วซือ
นักบวชเข้าห้องมาและใช้ไม้กวาดทำความสะอาดพื้น
หากเฉินฉางเซิงอยู่ที่นี่เขาย่อมจำนักบวชคนนี้ได้ เพราะนักบวชคนนี้เป็นคนคุ้นเคยกับสำนักฝึกหลวง
นักบวชซินจากสำนักการศึกษากลางได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งหลังจากผ่านไปนานกว่าสามปี ทว่าตอนนี้อยู่ในเมืองเฟิ่งหยาง เพราะเหตุใดกัน
นักบวชซินเอาเก้าอี้จากห้องข้างๆ มานั่งที่ระเบียง หลับตารอ
สีหน้าเขาดูไม่ดีนัก เพราะเขากำลังรอความตาย
เรือหาปลาออกจากท่าเรือเมืองเฟิ่งหยาง แล่นทวนน้ำขึ้นไป ครั้นออกไปพ้นสายตา เรือก็เริ่มเร่งความเร็วขึ้นแม้ไร้ลม เดินทางด้วยความเร็วที่เหนือจินตนาการ
ในเวลาอันสั้น เรือหาปลาก็เดินทางไปหลายสิบลี้แล้ว
คนชุดน้ำเงินยืนอยู่ที่หัวเรือ มองดูน้ำที่ไหลเชี่ยวอยู่เงียบๆ เขากำลังมองหาอะไรอยู่หรือว่ากำลังหาร่องรอยที่เหลืออยู่จากการเหยียบลงบนผิวน้ำของคนผู้นั้นเมื่อไม่นานมานี้
มู่จิ่วซือนั่งอยู่ในเรือ มองไปที่หลังของคนชุดน้ำเงินและกล่าว “วันนี้มังกรดำไม่ได้อยู่ที่เมืองเฟิ่งหยาง”
คนชุดน้ำเงินตอบ “ใช่”
มู่จิ่วซือถามอย่างสงสัย “เมื่อเราไม่อาจลงมือในเมืองฮั่นชิว ทำไมถึงได้ลงมือในวันนี้”
คนชุดน้ำเงินตอบ “ข้อแรกเพราะเรามีเวลาไม่มาก ข้อสองข้าไม่รู้ว่ามังกรดำอยู่ไหนวันนี้ แต่ข้ารู้ว่านางอยู่ที่ไหนในวันนี้ และไม่มีใครอื่นอีกที่รู้”
มู่จิ่วซือไม่เข้าใจแต่นางก็เชื่อในคำพูดเขา
คนชุดนำเงินดูเหมือนจะเห็นบางอย่างเข้าแล้วและโบกแขนเสื้อเล็กน้อย
ผงใสหล่นจากแขนเสื้อของเขาและหายไปในสายน้ำเชี่ยวทันที ไม่เหลือร่องรอยให้เห็น ไม่มีแม้แต่การกระเพื่อม
……
……
แม่น้ำเฮิ่นเหอมีสาขามากมาย แม่น้ำสาขาสายหนึ่งมีน้ำที่ใสมาก มีต้นไม้มากมายเติบโตอยู่ริมฝั่ง เป็นภาพอันงดงาม เรียกว่าแม่น้ำถงเจียง
ตอนบนของแม่น้ำถงเป็นเทือกเขาที่เขียวชอุ่ม เทือกเขาหนึ่งทอดตัวไปทางใต้
ยอดเขาในส่วนลึกของภูเขาถูกเมฆปกคลุมตลอดทั้งปี จึงดูลึกลับและศักดิ์สิทธิ์
มันคือแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้บำเพ็ญเพียรและผู้ศรัทธามากมายนับไม่ถ้วน ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
สถานศึกษาหนานซีอยู่บนยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แต่พื้นที่ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมก็กว้างใหญ่ยิ่งกว่า อย่างน้อยก็กินพื้นที่เขานับร้อยลูกและที่ราบนับพันลี้ภายใต้การดูแล
เช่นเดียวกับพรรคฉางเซิง สถานศึกษาหนานซีก็เป็นบรรพบุรุษของนิกายหลวงฝ่ายใต้ มีพรรคสำนักเล็กๆ มากมายอย่างเช่นวัดฉือเจี้ยนและสระบัวที่อยู่ใต้การปกครอง รวมกับประชาชนที่อาศัยอยู่ที่นี่มารุ่นแล้วรุ่นเล่า ทำให้เป็นสถานที่ซึ่งคึกคักมีชีวิตชีวามาก โดยเฉพาะในหมู่บ้านเล็กๆ ริมแม่น้ำถงเจียงที่คึกคักถึงขีดสุด
บ่ายวันหนึ่ง แม่น้ำนอกหมู่บ้านสงบนสุขเหมือนเช่นเคยในยามที่ลมพัดขึ้นอย่างฉับพลัน พัดต้นกกลู่ลง ทำให้ฝูงวัวหนีไปอย่างแตกตื่น
แสงสีเขียวสองดวงสว่างขึ้นกลางอากาศแล้วก็หายไป
เด็กสาวใบหน้าทึมทึบปรากฏกายขึ้นริมแม่น้ำ เป็นหนานเค่อเอง
เฉินฉางเซิงลุกขึ้นจากพื้น ปัดฝุ่นออกจากร่างจากนั้นก็มองไปที่หนานเค่อ เขาต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายแล้วก็เลือกที่จะเงียบไว้
ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีคนสามคนตกลงมาจากอากาศลงสู่พื้นหญ้า
ถังซานสือลิ่วกับฮู่ซานสือเอ้อร์ยังเป็นปกติ ดูเหมือนกับตอนที่พวกเขาเข้าไปในสวนโจว
แต่เจ๋อซิ่วกับมีสภาพน่าอนาถทีเดียว เสื้อผ้าเต็มไปด้วยฝุ่นยิ่งกว่าเฉินฉางเซิงเสียอีก ทั้งยังมีรอยฉีกขาดอีกด้วย น่าประหลาดที่บนใบหน้ามีบาดแผลอีกด้วย
เฉินฉางเซิงตกใจ พลางคิดว่า ในสวนโจวไม่น่ามีศัตรูอยู่ แล้วทำไมเขาถึงได้ต่อสู้อย่างหนักหน่วงแบบนี้
เห็นสายตาของเขาเจ๋อซิ่วก็อธิบาย “ข้าอยากลองสู้กับพวกสัตว์อสูรเหล่านั้นสักรอบ”
คำพูดนี้ทำให้ถังซานสือลิ่วนึกไปถึงภาพที่เห็นและส่ายหน้าไปมา ฮู่ซานสือเอ้อร์ก็มีสีหน้าที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง
พวกเขานั่งอยู่บนจุดสูงสุดของสุสานโจว ฝุ่นควันลอยอยู่รอบกาย และฝูงสัตว์อสูรก็บุกเข้ามา เสียงร้องคำรามของพวกมันราวกับจะฉีกกระชากท้องฟ้าให้ขาดออก
เจ๋อซิ่วเป็นเสมือนดั่งหินผาที่เดี๋ยวจมเดี๋ยวโผล่อยู่ใต้คลื่น พวกเขาทั้งชื่นชมทั้งเป็นห่วงในตัวเขา
เฉินฉางเซิงไม่ได้ถามว่าทำไมเจ๋อซิ่วถึงได้สู้กับสัตว์อสูรพวกนั้น เพราะเขารู้สาเหตุอยู่แล้ว
ในตอนนั้นเจ๋อซิ่วที่ตาบอดแบกชีเจียนไว้บนหลังหลบหนีไปบนที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล เขาได้สร้างความแค้นลึกล้ำกับสัตว์อสูรเหล่านี้เอาไว้
ฮู่ซานสือเอ้อร์มองไปที่เฉินฉางเซิง สีหน้านับถือยิ่งกว่าเดิม
ในเมืองเวิ่นสุ่ยและการเดินทางผ่านโกรกธาร มหามุขนายกผู้นี้ก็เคารพนับถือเฉินฉางเซิงอย่างมากแล้ว เป็นความเคารพจากใจ อย่างไรก็ตามในตอนนี้ความเคารพที่มีต่อเฉินฉางเซิงได้ฝังลึกลงไปในใจเขายิ่งกว่าเดิม
จะชี้วัดความสามารถและศักยภาพของยอดฝีมือที่แท้จริงได้อย่างไร วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือดูว่าโลกใบเล็กที่เขาได้ครอบครองนั้นกว้างใหญ่แค่ไหน
ยิ่งโลกใบเล็กในการควบคุมใหญ่เท่าไร ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น
ตอนนี้เขาก็ได้ยืนยันแล้วว่าข่าวลือที่ว่าสวนโจวตกอยู่ในมือของสังฆราชเป็นเรื่องจริง
หลายปีก่อน เขาได้ดำรงตำแหน่งในตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ เคยได้เข้าไปในโลกใบไม้ครามของอดีตสังฆราชมาครั้งหนึ่ง
เขาแน่ใจว่าโลกใบไม้ครามนั้นเล็กกว่าสวนโจวมาก
นี่ทำให้เขารู้สึกมั่นใจในอนาคตของสังฆราช นิกายหลวงและของตัวเขาเองมากขึ้น
เฉินฉางเซิงย่อมไม่รู้ว่าส่งฮู่ซานสือเอ้อร์เข้าไปในสวนโจวแล้วจะได้ผลดีเช่นนี้ อย่างเช่นที่เขาไม่รู้ว่าการนำอันหวากับเฉินโฉวเข้าสู่สวนโจวนั้นจะทำให้เกิดประโยชน์ตามมา
สายตาเขาในตอนนี้จับจ้องไปยังเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไป
เทือกเขาเหล่านี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณเขียวชอุ่ม แม้แต่ใต้แสงของตะวันยามเที่ยงก็ไม่ได้แสดงเศษเสี้ยวของความแห้งแล้งออกมาเลย เพียงมองก็ทำให้รู้สึกว่าใจสงบแล้ว
เมื่อมุ่งหน้าเข้าไปในเทือกเขา ก็จะพบกับความเขียวชอุ่มยิ่งขึ้น แต่ภาพทิวทัศน์ไม่เคยน่าเบื่อ สีเขียวค่อยๆ จางลงเพราะเมฆและหมอก เพิ่มความงามให้กับเทือกเขาอันงดงาม
ในส่วนลึกของเมฆ ก็จะมองเห็นยอดเขาที่สูงอย่างยิ่ง ดูเหมือนจริงและไม่เหมือนจริง รูปลักษณ์ที่แท้จริงของมันถูกเมฆล้อมบังเอาไว้
นั่นคือยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ
ถังซานสือลิ่วเห็นเทือกเขาที่ห่างไกล ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง ถึงอย่างไรยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียง และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมันกับตาตัวเอง
อารมณ์ของเฉินฉางเซิงเปลี่ยนไปยิ่งกว่าเพราะยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ซึ่งสวีโหย่วหรงใช้ชีวิตและบำเพ็ญเพียรอยู่
ในจดหมายฉบับหลังๆ สวีโหย่วหรงไม่เคยบรรยายเกี่ยวกับยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เลย
เขาเคยจินตนาการถึงมันมาหลายครั้ง
แม้ว่าสวีโหย่วหรงน่าจะยังคงกักตัวอยู่ ไม่อาจพบกันได้…
ตอนที่เขาคิดว่านางอยู่บนเขาเป็นอย่างไรบ้าง เขาก็รู้สึกคิดถึงอย่างล้ำลึก
มันเป็นเหมือนกับคำบรรยายที่น้ำเน่าที่สุด
เขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าจะกางปีกบินไปหานาง
หนานเค่อเดินไปตรงหน้าเขา เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างจริงจัง “เจ้าอยากบินอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็แค่บอกข้ามา”