ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 57 สาเหตุความปั่นป่วนของสถานศึกษาหนานซี
ป่าไผ่เงียบไปบ่งบอกว่าผู้คนที่อยู่ลึกเข้าไปด้านด้านในก็รู้สึกเช่นเดียวกับถังซานสือลิ่ว
ตอนที่นางได้ยินเสียงนี้ ความโหดเหี้ยมบนใบหน้านักพรตหญิงชุดดำค่อยๆ หายไป นางจ้องมองไปที่ถังซานสือลิ่วอย่างเย็นชาดู ประหนึ่งต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่นางจำคำขู่ของถังซานสือลิ่วก่อนหน้านี้ได้ ดังนั้นคำพูดทั้งหมดที่นางตั้งใจจะกล่าวก็เปลี่ยนเป็นการพ่นลมออกมาเท่านั้น นางสะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างฉุนเฉียว
เห็นนักพรตหญิงชุดดำเดินจากไป ถังซานสือลิ่วก็ตะโกนบอก “นี่! แน่จริงก็อย่าไปสิ! พ่นลมก็นับนะ! เงินบริจาคปีหน้าจะลดลงอีกครึ่งหนึ่ง!”
พวกศิษย์ที่ไม่เคยไปหานซานหรือจิงตูมองหน้ากัน พูดอะไรไม่ออก นี่คือคุณชายตระกูลถังที่ข้าเคยได้ยินคำล่ำลือมากมายอย่างนั้นหรือ ทำไมเขาถึงได้ต่างไปจากข่าวลือขนาดนี้ นิสัยเช่นนี้ออกจะเกินไปหน่อย
“ไม่เป็นไรๆ อาจารย์ย่าย่อมไม่สนใจเรื่องเงินบริจาค นางมีตระกูลชั้นสูงคอยหนุน หากไม่ใช่เพราะคำพูดของท่านอาจารย์ย่าใหญ่ นางไม่มีทางสนใจคำขู่และฟาดเจ้าล้มในฝ่ามือเดียว”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนยกมือน้อยๆ ของนางและแกล้งชกท้องถังซานสือลิ่วแล้วกล่าว “เงินบริจาคเป็นพวกเราเหล่าศิษย์ที่ใช้ ทางที่ดีเจ้าอย่าได้ลดมันเด็ดขาด”
ถังซานสือลิ่วกุมท้องและแสร้งเป็นเจ็บปวดพร้อมกล่าวอย่างเสียใจ “มือกับหน้าเล็กๆ ของเจ้าก็ดูงดงามดี แล้วทำไมใจถึงได้ดำนัก ข้าก้าวออกมาก็เพื่อเจ้าไม่ใช่หรืออย่างไร”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนคุ้นกับพฤติกรรมหน้าด้านของเขานานแล้วจึงไม่สนใจ “เมื่ออาจารย์ย่าใหญ่ต้องการจะพบเจ้า ก็รีบไปเถอะ”
ถังซานสือลิ่วมีปฏิกิริยาในที่สุด ถามด้วยความตกใจ “เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กลับมาแล้วหรือ แล้วซูหลีล่ะ อย่าบอกข้าว่านางถูกทิ้งอีกแล้วนะ”
เขาย่อมไม่ได้พูดถึงสวีโหย่วหรง แต่เป็นอาจารย์ของสวีโหย่วหรง อดีตเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
ฮู่ซานสือเอ้อร์ก็ตะลึงไปเช่นกัน ทว่าเมื่อได้ยินคำถามสุดท้าย เขาก็สะดุดและเกือบจะล้มลงกับพื้นทางเดิน
เยี่ยเสี่ยวเหลียนกับพวกเด็กสาวโมโหยิ่งกว่า พวกนางจ้องมองถังซานสือลิ่วด้วยสายตาดุดันทีละคนๆ ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้ใช้กระบี่สับเขาเป็นชิ้นๆ อีกแล้ว
“ข้าก็แค่พูดล้อเล่นให้ผ่อนคลายกัน ทำไมต้องจริงจังนักเล่า” ถังซานสือลิ่วกล่าวพร้อมรอยยิ้มขอโทษ
เยี่ยเสี่ยวเหลียนข่มอารมณ์และอธิบาย “อาจารย์ย่าใหญ่ที่ข้าพูดถึงนั้นหมายถึงศิษย์พี่ของอาจารย์ย่าเมื่อครู่นี้”
ถังซานสือลิ่วกล่าว “ข้ารู้สึกว่าเจ้าพูดอะไรไร้ประโยชน์”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนหมดแรงจะเถียงและอธิบายต่อ “อาจารย์ย่าใหญ่ไม่ใช่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คนก่อน เจ้ารู้แค่นั้นก็พอ ในแง่ของอาวุโสนางเป็นผู้อาวุโสที่มีฐานะสูงอย่างมากในสำนัก”
“เกิดอะไรขึ้นในสถานศึกษาหนานซี”
เมื่อยืนยันแล้วว่านักพรตหญิงชุดดำไปไกลแล้ว ถังซานสือลิ่วก็หยุดและยิ้มถามอย่างจริงใจ “ยายเฒ่านั่นกับอาจารย์ย่าใหญ่ที่เจ้าพูดถึงเป็นใครกัน ทำไมข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับพวกนางมาก่อน”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนอธิบาย “โปรดให้ความเคารพสักหน่อย และ…อาจารย์ย่าได้บรรลุถึงขั้นสูงสุดแล้ว ประสบความสำเร็จในเรื่องการบำเพ็ญเพียร นั่นหมายความว่านางจะไม่ดูแก่ลง แล้วทำไมนางถึงได้ดูแก่นัก”
“สำหรับคนอย่างพวกนาง ไม่ว่าจะดูอ่อนเยาว์แค่ไหนอันที่จริงก็แก่มากอยู่ดี”
ถังซานสือลิ่วชี้ไปที่พุงตัวเอง จากนั้นก็มองไปที่เด็กสาวสถานศึกษาหนานซีและประกาศ “แต่พวกเรายังเยาว์นัก ดังนั้นย่อมต้องมีสักวันที่พวกเราไม่จำเป็นต้องฟังพวกนางอีก”
ความหมายในคำพูดนี้ทำให้พวกเด็กสาวตกอยู่ในอารมณ์หม่นหมอง
ฮู่ซานสือเอ้อร์ถอนหายใจ บางทีเพราะเขาคิดถึงอายุของตนขึ้นมา
เยี่ยเสี่ยวเหลียนหวั่นไหวกับคำพูดของถังซานสือลิ่วและดวงตาก็เริ่มชื้นขึ้นมา
เด็กสาวคนหนึ่งรวบรวมความกล้าและกล่าว “จะพูดเอง”
ก่อนนางจะได้เริ่ม ศิษย์ร่วมสำนักและเพื่อนของนางแนะนำ “อาจารย์ย่าไม่ยินดีเป็นแน่”
“อย่ากลัวเลย เจ้าบอกข้าได้ทุกอย่าง”
ถังซานสือลิ่วกล่าวกับเยี่ยเสี่ยวเหลียน “หากยายเฒ่านั่นกล้าด่าเจ้า ก็จะไม่มีการบริจาคในปีหน้า”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนยิ้มแล้วถาม “เจ้าสามารถรับผิดชอบได้หรือ”
ถังซานสือลิ่วสีหน้าไม่เปลี่ยน “หากการหลอกลวงคนเพื่อช่วยพวกเจ้าเป็นความผิด ถ้าอย่างนั้นก็จับข้าขังในคุกโจวเลย”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนหน้าแดง “เจ้าพูดจาให้จริงจังหน่อยได้ไหม”
ถังซานสือลิ่วตอบอย่างใสซื่อ “ข้าไม่ใช่พวกเคร่งเครียดจริงจังสักหน่อย”
……
……
นับตั้งแต่โบราณกาล ผู้บำเพ็ญเพียรในแดนใต้มีธรรมเนียมที่จะลงเขาและท่องโลกหลังจากบรรลุการบำเพ็ญเพียรถึงระดับหนึ่งแล้ว สำนักต้นไหวก็มีธรรมเนียมนี้ เช่นเดียวกับสำนักกระบี่หลีซาน ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
สวีโหย่วหรงเคยเดินทางไปทะเลใต้ครั้งหนึ่ง ในขณะที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อาจารย์ของนางก็เดินทางไปยังอีกดินแดนหนึ่งกับซูหลี
นอกจากพวกเขา ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็มีผู้อาวุโสจากรุ่นก่อนที่ใช้เวลาไปกับการท่องโลก ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะกลับมาสักครั้ง เป็นเพราะการทิ้งช่วงยาวนานนี่เองที่ทำให้คนมากมายลืมเลือนพวกเขาไป ต่อให้มีบางคนจำได้ พวกเขาก็คงคิดว่าผู้อาวุโสเหล่านั้นยังคงเดินทางอยู่หรือบางทีอาจกลับคืนสู่ทะเลดวงดาวไปแล้วก็ได้
ไม่มีใครคาดคิดว่าเมื่อครึ่งปีก่อน ผู้อาวุโสสามคนจากรุ่นก่อนที่เดินทางท่องโลกมานานหลายสิบปีจะพลันกลับคืนสู่ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
ผู้อาวุโสทั้งสามคนนี้มีระดับอาวุโสสูงมาก ในสถานศึกษาหนานซีตอนนี้ ไม่อาจหาคนที่มีรุ่นสูงไปกว่าพวกเขาอีกแล้ว พูดอีกอย่างหนึ่ง พวกเขาคือผู้มีอาวุโสสูงสุดในยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
การกลับมาของผู้อาวุโสรุ่นก่อนย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ไม่นานจากนั้น ทุกคนก็ตระหนักว่าการกลับมาของพวกเขานั่นนำมาซึ่งปัญหาที่แก้ได้ยากยิ่ง
ตอนที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คนก่อนจากไป นางไม่คาดคิดว่าศิษย์น้องของนางที่เดินทางท่องโลกจะกลับมา และได้ส่งต่อสถานศึกษาหนานซีให้กับสวีโหย่วหรงโดยตรง
ตอนที่สวีโหย่วหรงเข้าสู่การกักตัว นางก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน จึงได้ส่งต่อการจัดการสำนักให้กับศิษย์น้องสองคนที่มีความซื่อสัตย์และพฤติกรรมมั่นคง
ในตอนนี้เมื่อผู้อาวุโสเหล่านี้กลับมาแล้ว ใครกันที่จะเป็นคนควบคุมดูแลสถานศึกษาหนานซี
ว่าตามเหตุผล ก็ควรเป็นไปตามที่สวีโหย่วหรงสั่งการเอาไว้ แต่ผู้อาวุโสทั้งสามคนนี้เป็นผู้มีลำดับอาวุโสสูงเกินไป หากพวกนางแสดงความคิดเห็นออกมาว่าอยากดูแลสำนัก ใครจะกล้าไปปฏิเสธพวกนาง
จะเป็นการดีที่สุดหากอาจารย์ย่าทั้งสามจะอุทิศตัวให้กับการบำเพ็ญเพียรและไม่สนใจเรื่องการจัดการในสำนัก แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น
พวกนางไม่ได้สนใจในเรื่องธุระประจำนวันของสำนัก แต่พวกนางมีท่าทียืนกรานอย่างชัดเจนในเรื่องที่เจาะจงเรื่องหนึ่ง
คือเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กับพระราชวังหลี
เป็นเรื่องการควบรวมของนิกายหลวงฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้
อาจารย์ย่าทั้งสามปฏิเสธเสียงแข็งในเรื่องนี้ พวกนางได้ทำการตัดสินใจที่จะสะเทือนไปทั้งต้าลู่
การตัดสินใจนี้เป็นเหตุผลให้เยี่ยเสี่ยวเหลียนและศิษย์คนอื่นของสถานศึกษาหนานซีหดหู่และมีอารมณ์ที่ซับซ้อน
……
……
หลังจากฟังเยี่ยเสี่ยวเหลียนเล่าเรื่องราว ถังซานสือลิ่วก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถาม “พวกเขาไม่ได้ส่งข้อความก่อนที่จะกลับมาอย่างนั้นหรือ”
เขาเข้าใจ ถึงกับยอมรับได้ที่ผู้อาวุโสทั้งสามยืนกรานคัดค้านการรวมกันของนิกายหลวงฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้
ความคิดของผู้อาวุโสมักจะดื้อดึงและยากที่จะเปลี่ยนใจ ประมุขผู้เฒ่าในตระกูลของเขาเองก็เป็นตัวอย่างชั้นดี
สิ่งที่ทำให้เขาระแวงก็คือการตัดสินใจที่เยี่ยเสี่ยวเหลียนไม่ได้บอกออกมาอย่างชัดเจน รวมถึงข้อมูลที่ซ่อนเอาไว้เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้
การที่พวกนางได้ออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการบูชามากที่สุดในโลกและเดินทางอยู่เป็นเวลาหลายทศวรรษ อาจารย์ย่าทั้งสามย่อมไม่ใช่คนที่ฝักใฝ่ในลาภยศชื่อเสียง ต่อให้พวกเขามีบางอย่างที่ไม่อาจปล่อยวางได้ ใครกันจะสามารถหาตัวพวกนางในต้าลู่ที่กว้างใหญ่ จากนั้นก็ให้พวกนางกลับสู่สถานศึกษาหนานซีเพื่อทำเรื่องพวกนี้
“ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกนางจะพลันกลับมา มันดูเหมือน…” เยี่ยเสี่ยวเหลียนหยุดไปจากนั้นก็กล่าวต่อ “การซุ่มโจมตี”
ถังซานสือลิ่วถาม “พวกนางมีชื่อว่าอะไรบ้าง”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนตอบ “อาจารย์ย่าใหญ่ชื่อว่าไหวเหริน และอาจารย์ย่าที่เจ้าเห็นก่อนหน้านี้มีชื่อทางเต๋าว่าไหวปี้”
ถังซานสือลิ่วรู้สึกประหลาดใจ ข้าเคยได้ยินสองชื่อนี้จากไหนมาก่อนหรือเปล่า
เยี่ยเสี่ยวเหลียนไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่จึงกล่าวต่อ “และอาจารย์ย่าอีกคนมีนามว่าไหวซู่”
ถังซานสือลิ่วครุ่นคิดถึงชื่อเหล่านี้แล้วกล่าว “หากพวกนางต่างก็เหมือนนังเฒ่านั่นหมด นิสัยของพวกนางก็ตรงข้ามกับชื่อ ถ้าอย่างนั้นนี่ก็ค่อนข้างเป็นปัญหาทีเดียว [1] ”
——
[1] ชื่อนักพรตหญิงทั้งสามคนมีความหมายที่แสดงถึงความดี ไหวเหรินแปลว่าชื่นชมความกรุณา ไหวปี้แปลว่าชื่นชมหยก ไหวซู่แปลว่าชื่นชมการอภัย