ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 58 กระท่อมมุงจากของไหวเหริน
ระหว่างที่คุยกันไป พวกเขาก็มาถึงหน้าผา
มีต้นสนเติบโตอยู่บนหน้าผาไม่กี่ต้น และก็มีน้ำตกสายเล็กๆ ที่มีหยดน้ำกระจายไปทั่ว
ด้านหน้าของหน้าผาเป็นที่ราบสูงกว้างใหญ่ มีลักษณะแบนราบ ทอดไกลสุดลูกหูลูกตา จนดูเหมือนกทุ่งราบมากกว่าที่ราบสูง
ที่ราบสูงปกคลุมไปด้วยต้นไม้และจะเห็นดอกไม้มากขึ้นหากเดินลึกเข้าไป ด้านหลังต้นไม้ที่ออกดอกมากมายเหล่านี้มีสิ่งก่อสร้างมากมาย ภาพหลังคาสีดำกับผนังสีขาวที่มองเห็นผ่านช่องว่างระหว่างต้นไม้เป็นภาพที่งดงามทีเดียว
ได้เห็นสถานศึกษาหนานซีในตำนาน ฮู่ซานสือเอ้อร์ก็พบว่ามันค่อนข้างต่างไปจากพระราชวังหลีและเต็มไปด้วยความชื่นชม อย่างไรก็ตามถังซานสือลิ่วนึกไปถึงหอบรรพชนในเมืองเวิ่นสุ่ยกับภูเขาจีหมิงนอกเมืองทำให้ตกอยู่ในอาการครุ่นคิด
พวกเขาเดินผ่านต้นไม้เขียวชอุ่มที่ออกดอกมากมาย เดินลดเลี้ยวเคี้ยวคดไปตามทางหินที่เปียกชื้น และมาถึงสถานศึกษาหนานซี
กลุ่มคนเดินผ่านโถงพิธี เดินผ่านสวนน้อยมากมาย ผ่านหอตำราหลายหลัง จนมาถึงส่วนลึกที่สุด ที่ซึ่งพวกเขาได้เห็นกระท่อมมุงจากหลังหนึ่ง
มีแผ่นศิลาจารึกตั้งอยู่มากมายรอบกระท่อมมุงจาก มีตะไคร่ขึ้นประปรายอยู่บนแผ่นศิลา แต่ก็ไม่อาจบดบังลายเส้นที่สลักลึกลงไปบนหินได้
ทั้งถังซานสือลิ่วและฮู่ซานสือเอ้อร์เคยเข้าไปในสุสานเทียนซูเพื่อดูแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์และทำความเข้าใจเต๋า แค่เหลือบมองพวกเขาก็สามารถจดจำได้ว่าแผ่นศิลาจารึกพวกนี้เป็นตัวคัดลอกของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์
แผ่นศิลาจารึกเหล่านี้ไม่ใช่แบบจำลองหยาบๆ ง่ายๆ มันแผ่กลิ่นอายเก่าแก่โบราณ เมื่อรวมกับกระท่อมมุงจากก็ดูเหมือนจะสร้างโลกเล็กๆ ของมันเองขึ้นมา ภาพนี้ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามและน่าเคารพ
แม้ว่าถังซานสือลิ่วจะมีนิสัยขี้เล่น การเข้ามาในที่แบบนี้ก็ยังทำให้เขาสงบปากคำกว่าเดิมและเป็นห่วงอยู่บ้างว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ๋อซิ่วที่ซ่อนตัวอยู่หรือไม่
เบาะรองนั่งสามใบวางอยู่ในกระท่อมมุงจาก ลำแสงส่องลงมาจากกระจกแก้วสีที่ติดตั้งไว้บนหลังคา ลำแสงนี้ไม่มีทางหม่นมัวลง ทำให้สามารถมองเห็นภายในได้อย่างชัดเจน
นักพรตหญิงชุดดำที่พวกเขาได้พบใกล้ประตูทางเข้าภูเขานั่งอยู่บนเบาะทางด้านซ้าย สีหน้านางยังคงเย็นชา และตอนที่นางเห็นถังซานสือลิ่วเข้ามาในกระท่อม ประกายความโหดเหี้ยมก็ฉายขึ้นในดวงตานาง
นักพรตหญิงชุดม่วงนั่งอยู่บนเบาะทางด้านขวา นางมีคิ้วตรงหนาและดวงตาที่เด็ดเดี่ยว แค่เหลือบมองก็เห็นได้ว่านางมีนิสัยดุดันและใจร้อน
นักพรตหญิงที่นั่งตรงกลางสวมชุดสีขาว สีหน้าอบอุ่นนุ่มนวล ดวงตากระจ่างใสราวกับน้ำในฤดูใบไม้ร่วง นางแผ่กลิ่นอายที่จริงใจน่าคบหา
แต่เมื่อถังซานสือลิ่วเห็นนักพรตหญิงชุดขาว เขาก็รู้สึกเป็นกังวล เดาได้ในทันทีว่านางคือเจ้าของเสียงที่ดังขึ้นก่อนหน้านี้
ไม่ใช่เพราะนางสวมชุดสีขาว สีที่ได้รับความเคารพที่สุดในยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ หากแต่เป็นเพราะตัวคน
เยี่ยเสี่ยวเหลียนข้างกายเขากล่าวเบาๆ ไม่กี่คำ คำนับนักพรตหญิงทั้งสาม จากนั้นก็ถอยไป
ถังซานสือลิ่วได้รู้ว่านักพรตหญิงชุดม่วงก็คือไหวซู่ และนักพรตหญิงชุดขาวก็คือไหวเหริน
ไหวเหรินกล่าวอย่างอบอุ่น “คุณชายถังและมหามุขนายกฮู่ เชิญนั่ง”
ถังซานสือลิ่วกับฮู่ซานสือเอ้อร์นังลงบนเบาะที่เตรียมไว้ให้แขกอย่างเชื่อฟัง
ไหวเหรินมองไปที่ถังซานสือลิ่วและถาม “ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังสบายดีหรือไม่”
ถังซานสือลิ่วตอบ “เขาสบายดียังไม่ยอมตาย แต่เมื่อข้ายังมีชีวิตอยู่เขาย่อมไม่มีความสุขนัก”
ทั่วทั้งต้าลู่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองเวิ่นสุ่ย แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะเปิดเผยมันออกมาเอง และยังพูดถึงประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังอย่างไม่เคารพเช่นนี้
ไหวปี้ยิ้มเยาะคำพูดนี้ในขณะที่ไหวซู่เลิกคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับคำพูดของเขา
“คุณชายถังพูดได้ดี ตราบใดที่ยังมีชีวิตก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว” ไหวเหรินยิ้มจางๆ กล่าวกับถังซานสือลิ่ว
ถังซานสือลิ่วเข้าใจความหมายของผู้อาวุโสสถานศึกษาหนานซี
ตราบใดที่ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังยังมีชีวิตอยู่ ตระกูลถังก็ยังเป็นตระกูลถังของประมุขผู้เฒ่า คำขู่สถานศึกษาหนานซีที่เขาพูดไว้ตรงหน้าประตูทางเข้าย่อมไม่มีทางเป็นจริงได้
“ใช่ มีชีวิตก็ดีที่สุดแล้ว แต่คนอย่างอารองของข้าย่อมไม่คิดเช่นนั้น เพราะเขาตายไปแล้ว”
ถังซานสือลิ่วกล่าวอย่างจริงจัง “นี่นับเป็นเรื่องที่ทำให้มีความสุขจริงๆ”
ตระกูลแบบไหนกันที่รู้สึกยินดีเมื่ออาคนหนึ่งตายไป
ต่อให้ทั้งโลกรู้ปัญหาระหว่างเขากับประมุขรองตระกูลถัง มันก็ไม่สมควรที่จะพูดเช่นนี้ไม่ใช่หรือ
คิ้วไหวซู่เลิกสูงขึ้นเรื่อยๆ ความโกรธบนใบหน้านางเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นางมีนิสัยก้าวร้าวและถือว่าความชั่วร้ายเป็นศัตรู สิ่งที่นางเกลียดที่สุดก็คือคนที่ไม่ให้ความเคารพกับลำดับอาวุโส
ไหวเหรินยังคงสงบนิ่ง แต่ตอนนี้นางมองไปที่ถังซานสือลิ่วด้วยสายตายากจะบรรยายกว่าเดิม
นางเองก็เข้าใจว่าถังซานสือลิ่วพูดอะไร
นางพูดเพื่อบอกถังซานสือลิ่วว่าเขาคนเดียวไม่อาจข่มขู่สถานศึกษาหนานซีได้ ถังซานสือลิ่วก็ย้อนบอกนางว่าประมุขรองตระกูลถังได้ตายไปแล้วและเขาชนะสงครามในการสืบทอดตระกูลถัง ตระกูลถังย่อมเป็นของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง แต่ในอนาคตมันย่อมจบลงด้วยการเป็นของเขา
เงินบริจาคที่สถานศึกษาหนานซีได้รับทุกปีนั้นส่วนใหญ่มาจากการบริจาคของตระกูลถัง
แต่มันไม่ใช่จุดสำคัญ ปัญหาสำคัญก็คือสถานศึกษาหนานซีมีสำนักใต้บัญชามากมายนับไม่ถ้วน ธุรกิจการเกษตรที่เป็นรายได้หลักก็ผูกพันใกล้ชิดกับธุรกิจของตระกูลถัง
มีหลายสำนักทำเช่นนี้ หากพวกเขาไม่ทำธุรกิจกับตระกูลถัง พวกเขาก็ต้องทำธุรกิจกับตระกูลชิวซาน ตระกูลอู๋หรือตระกูลมู่ท่า
การบำเพ็ญเพียรเป็นธุรกิจใหญ่เสมอมา
ด้วยฐานะของสถานศึกษาหนานซีในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ตอนที่ผู้อาวุโสเลือกคู่ค้าทำธุรกิจ พวกเขาย่อมต้องเลือกตัวเลือกที่มีชื่อเสียงดีที่สุด มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุด ซึ่งก็คือตระกูลถัง
ใครจะไปคาดคิดว่าหลังจากผ่านมาหลายปี ผู้สืบทอดตระกูลถังจะใช้ความสัมพันธ์นี้มาข่มขู่สถานศึกษาหนานซี
ไหวเหรินไม่ได้พูดเรื่องกับถังซานสือลิ่วนี้ต่อไป กลับถามว่า “แล้วเพื่อนคุณชายถังอยู่ที่ไหน”
นี่ย่อมหมายถึงเจ๋อซิ่ว ซึ่งหมายความว่าสถานศึกษาหนานซีรู้ว่ามีเขาอยู่ตลอดเวลา และบางทีอาจจับตาดูเขาทุกการเคลื่อนไหว
ถังซานสือลิ่วได้รับพรเป็นหนังที่หนามาก จึงถามกลับไปอย่างสุขุม “ท่านพูดถึงอะไรหรือ”
ไหวเหรินยิ้มจางไม่คิดอะไรกับคำตอบของเขา นางหันไปทางฮู่ซานสือเอ้อร์แล้วถาม “องค์สังฆราชอยู่ที่ใด ศิษย์ในสำนักอยากฟังคำสอนของพระองค์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
นี่เป็นถ้อยคำที่ชาญฉลาดและสุภาพมาก แต่โครงสร้างประโยคไม่สละสลวยนัก ถึงกับน่าขันอยู่บ้างที่ใช้ออกมาอย่างน่ากระอักกระอ่วน
แต่ความหมายของนางก็ชัดเจนพอแล้ว แม้ว่าทุกคนจะพูดว่าสถานศึกษาหนานซีสืบทอดมาจากนิกายหลวง และแม้ว่าสังฆราชจะมีฐานะสูงสุดการเข้ามาโดยไม่แจ้งล่วงหน้าก็ยังไม่เหมาะสมอยู่ดี
แม้ว่าฮู่ซานสือเอ้อร์ก็มีหนังหน้าหนาเช่นกัน แต่เขาก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาทำตัววู่วาม เขาชี้และกล่าว “พระองค์น่าจะไปบนยอดเขาแล้ว”
ทะเลเมฆลอยอยู่ด้านหลังหน้าผา ภายในเมฆพวกนั้นจะมองเห็นยอดเขาสูงสง่าอยู่ นั่นคือยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
นักพรตหญิงที่นั่งอยู่ด้านข้างได้ยินเช่นนี้ก็ตกตะลึงไปในทันที โดยเฉพาะไหวซู่ในชุดสีม่วง นางตะโกนอย่างฉุนเฉียว “เหลวไหล! เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กำลังกักตนและตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่คับขันที่สุด ห้ามใครเข้าไปรบกวนนางแม้แต่น้อยเพราะมันจะส่งผลเสียต่อการบำเพ็ญเพียรของนาง ใครจะรับผิดชอบไหว! สังฆราชคิดที่จะทำอะไรกันแน่!”
ถังซานสือลิ่วตอบ “หลังจากได้ยินว่าเกิดปัญหาในสถานศึกษาหนานซี องค์สังฆราชก็กังวลถึงความปลอดภัยของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เขารีบรุดมาเป็นระยะทางไกลโดยไม่นอนหลับหรือแม้แต่พักสักครู่ แล้วไม่เหมาะสมตรงไหน”
ไหวปี้เย้ย “สถานศึกษาหนานซีของข้าเคยมีปัญหาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ความปลอดภัยของยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เป็นหน้าที่ของพวกเรา แล้วคนนอกจำเป็นต้องมาห่วงใยด้วยหรือ”
ถังซานสือลิ่วถาม “ข้าได้ยินว่าเซียวจางมาที่ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เมื่อหลายวันก่อนใช่ไหม”
ไหวเหรินยกมือขึ้น ห้ามไม่ให้ศิษย์น้องพูดอะไรต่อ นางตอบอย่างใจเย็น “ถูกต้อง”
ถังซานสือลิ่วจ้องไปที่ดวงตานางและถาม “ทำไมเขาจึงไม่อาจเข้ามาในเขาได้”
สามปีก่อน ยามที่หิมะตกลงเหนือจิงตู เซียวจางใช้ทวนที่ริมแม่น้ำลั่วและช่วยชีวิตหวังผ้อที่บาดเจ็บสาหัสเอาไว้
นับจากนั้นไม่ว่าเซียวจางจะยินยอมหรือไม่ ทั่วต้าลู่นับว่าเขาเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของนิกายหลวงกับเฉินฉางเซิง
ราชสำนักไล่ล่าเขามาตลอดสามปีด้วยเหตุนี้
ในช่วงที่ตกต่ำที่สุดเขามายังยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เพื่อหาที่พักพิงชั่วคราว แต่เขาก็ถูกขับไล่ไป
นี่หมายความว่ายอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้นับว่าตัวเองเป็นพันธมิตรกับพระราชวังหลีอีกต่อไปเช่นนั้นหรือ