ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 59 กระเรียนขาวส่งกำลังเสริม
ไหวเหรินมองดูถังซานสือลิ่วอย่างสุขุมแต่ไม่ตอบ
ถังซานสือลิ่วมองกลับไปอย่างใจเย็น ไม่พูดอะไรเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าให้นางตอบคำถาม
ไหวซู่กล่าวอย่างดุดัน “คนบ้าอย่างเซียวจางที่สองมือเปื้อนเลือดน่ะหรือ เราจะปล่อยให้เขาเข้ามาในภูเขาและทำให้ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์แปดเปื้อนได้อย่างไรกัน”
ถังซานสือลิ่วต้องการจะพูดถึงซูหลีอยู่ลึกๆ
จำนวนคนที่ซูหลีฆ่านั้นไม่อาจนับได้ กระบี่ของเขาเปื้อนเลือดมากกว่าทวนของเซียวจาง แต่ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กล้าไล่เขาหรือไม่
ขนาดเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเจ้ายังจากไปพร้อมกับเขา
ยามที่เขากำลังจะพูดออกไปเช่นนั้น เขาก็ยั้งเอาไว้ คำพูดเหล่านี้ก้าวร้าวเกินไป หากไม่พูดให้ดีย่อมจบลงด้วยความขัดแย้ง
เขาส่ายหน้าและกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “หากข้าจำไม่ผิด ก่อนที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จะกักตน นางสั่งให้เรื่องทั้งหมดในสถานศึกษาหนานซีอยู่ใต้การจัดการของศิษย์พี่ผิงเซวียนกับศิษย์พี่อี้เฉินสองคน ข้าคิดว่าการไล่เซียวจางออกจากยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่น่าใช่ความต้องการของพวกนาง แต่เป็นของพวกท่านสามคนใช่หรือไม่”
ได้ยินเช่นนี้ศิษย์ที่อยู่รอบกระท่อมก็กระวนกระวายขึ้นมา โดยเฉพาะศิษย์สองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังนักพรตหญิงทั้งสามซึ่งถึงกับก้มหน้าลง ถังซานสือลิ่วสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าศิษย์ทั้งสองมีระดับการบำเพ็ญเพียรแข็งแกร่ง ดังนั้นพวกนางน่าจะเป็นผิงเซวียนกับอี้เฉิน
ไหวเหรินรู้ว่านางต้องตอบและกล่าวอย่างใจเย็น “ถูกต้อง เป็นความต้องการของข้าที่ไม่ให้เซียวจางเข้ามาในเขา”
ถังซานสือลิ่วจ้องตานางแล้วถาม “ทำไม”
ไหวซู่กล่าวอย่างโมโห “ข้าบอกไปแล้วว่าทำไม”
ถังซานสือลิ่วไม่สนใจนาง ยังจ้องไปที่ดวงตาไหวเหริน เขาถาม “เช่นนั้นแล้ว อะไรทำให้ท่านทำเช่นนั้นได้”
ต่อให้เจ้ามีหมื่นเหตุผลที่จะไม่ยอมให้เซียวจางเข้ามา แต่เจ้ามีอำนาจทำอย่างนั้นได้อย่างไร
นี่เป็นเรื่องของสถานศึกษาหนานซี ท่านมีอำนาจอันใดในการออกคำสั่งนี้
ไหวปี้เย้ย “เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กำลังกักตน แต่นี่หมายความว่าพวกเราเหล่าผู้อาวุโสไม่อาจเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องเช่นนี้อย่างนั้นหรือ”
ถังซานสือลิ่วตอบ “เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กำลังกักตน ย่อมหมายความว่าท่านไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งของนางอย่างนั้นหรือ ใครใหญ่กว่า ท่านหรือเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์”
คำพูดของเขาไม่ได้หยุดความขัดแย้งแต่กลายเป็นการท้าทายโดยตรง
ไหวปี้เดือดดาลกับคำถามนี้และเตรียมที่จะตอบโต้กลับไป
ไหวเหรินแนะนำ “ศิษย์น้อง คุณชายถังขึ้นชื่อเรื่องคารมคมคาย เจ้าไม่อาจเป็นคู่มือของเขาได้”
“ผิดแล้ว” ถังซานสือลิ่วแก้ไขคำพูดนาง “ข้าไม่ได้มีลิ้นทองคำ ก็แค่พูดได้ดังพูดได้เร็วเท่านั้น”
ไหวเหรินยิ้ม “คนที่พูดด้วยเหตุผลไม่จำเป็นต้องพูดเสียงดัง หากเจ้าแค่พูดเสียงดังและพูดเร็ว ทำไมไม่มีใครสามารถถกเถียงชนะเจ้าได้มาก่อน”
“ผิดอีกแล้ว” ถังซานสือลิ่วอธิบาย “คนที่พูดด้วยเหตุผลย่อมพูดได้เสียงดัง เหตุผลของข้าตรงไปตรงมา ดังนั้นเสียงข้าจึงดังชัดเจน ที่ไม่มีใครพูดเอาชนะข้าได้ก็เพราะพวกมันไม่อาจพูดด้วยเหตุผล”
คำพูดของเขาย่อมหมายถึงเรื่องของสถานศึกษาหนานซี
เขารู้สึกว่าเขามีเหตุผล ดังนั้นสามผู้อาวุโสของสถานศึกษาหนานซีย่อมเป็นฝ่ายที่ไร้เหตุผล
ความเงียบปกคลุมทั้งภายในและภายนอกกระท่อม ศิษย์สถานศึกษาหนานซีก้มหน้าต่ำไม่รู้จะพูดอะไร
“คุณชายถังรู้สึกว่าพวกเราสามผู้อาวุโสกลับมาสถานศึกษาหนานซีเพื่ออาศัยช่วงที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กักตนแย่งยิงอำนาจอย่างนั้นหรือ”
ไหวเหรินมองไปที่เหล่าศิษย์และถาม “บางทีพวกนางก็คิดเช่นเดียวกันกระมัง”
ได้ยินเช่นนี้ศิษย์ร้อยกว่าคนรอบกระท่อมรีบเปิดปากบอกว่าพวกนางไม่กล้า
ศิษย์สองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังนักพรตหญิงทั้งสามถึงกับคุกเข่าลง กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ศิษย์ไม่กล้า”
ถังซานสือลิ่วคิด สองคนที่สวีโหย่วหรงมอบหมายให้รับผิดชอบการดูแลสำนักกลับเป็นศิษย์ของนักพรตหญิงชรา นี่คือปัญหา ศิษย์สามารถออกคำสั่งอาจารย์ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หากอาจารย์ออกคำสั่ง มีศิษย์คนไหนกล้าขัดขืน ความผิดฐานล้างครูหรือทรยศนั้นมากพอที่จะส่งคนลงเหวนรกไปตลอดกาล
“ข้าคิดว่าองค์สังฆราชกับแขกของเราไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไป เรื่องของสถานศึกษาหนานซีเราย่อมจัดการได้ด้วยศิษย์ของเราเอง”
ไหวเหรินกล่าวอย่างอบอุ่น “แต่ในฐานะผู้อาวุโสของสถานศึกษาหนานซี มีเรื่องสำคัญที่เราต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจน”
ถังซานสือลิ่วถาม “อย่างเรื่องของเซียวจางน่ะหรือ”
ไหวเหรินตอบ “เรื่องนี้บอกอะไร ข้าคิดว่าคุณชายถังกับใต้เท้ามุขนายกคงเข้าใจดี”
นี่เป็นคำถามที่ถังซานสือลิ่วต้องการฟังคำตอบ
ผู้อาวุโสทั้งสามของสถานศึกษาหนานซีปฏิเสธที่จะคุ้มครองเซียวจาง นี่หมายความว่าพวกเขาไม่ยินยอมให้ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เป็นพันธมิตรกับพระราชวังหลี อย่าพูดถึงการรวมนิกายหลวงฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้เลย
ไหวเหรินมองไปที่ถังซานสือลิ่วแล้วถาม “ต่อให้เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้กักตัว ข้าก็เชื่อว่านางจะพิจารณาจุดยืนของพวกเรา”
ถังซานสือลิ่วถาม “แล้วจุดยืนของท่านคืออะไร”
ไหวเหรินกล่าวอย่างเรียบเฉย “จุดยืนของเราก็คือคัดค้าน”
ถังซานสือลิ่วจมอยู่ในความคิด เขาไม่คาดคิดว่าผู้อาวุโสนี้จะมีท่าทีสุขุมหนักแน่นเช่นนี้ นางไม่สนคำขู่ของเขาหรือแรงกดดันจากนิกายหลวงเลย
การเจรจามาถึงทางตัน หากดำเนินไปแบบนี้ต่อไป เรื่องใหญ่ที่เยี่ยเสี่ยวเหลียนพูดถึงอาจกลายเป็นจริง
แผนนี้จะทำลายได้อย่างไร ถังซานสือลิ่วไม่อาจคิดหาทางได้ ดังนั้นเขาจึงใช้ความชำนาญในการก่อเรื่องของเขา
“เมื่อพวกท่านไม่มีใครดูแลจัดการเรื่องของสำนัก ทำไมท่านถึงได้ตีนาง”
ถังซานสือลิ่วชี้ไปที่เยี่ยเสี่ยวเหลียนด้านหลังและถามไหวเหริน “หรือว่าชรารังแกทารกเป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญของพวกท่าน”
ไหวปี้ในชุดดำโมโหและตะโกน “ข้าไม่ได้จัดการเรื่องของสำนัก แต่ด้วยอาวุโสของข้า ข้าจะสั่งสอนเด็กคนนี้ให้รู้จักเคารพนับถืออาจารย์ไม่ได้หรือ”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนไม่ได้ยืนอีกต่อไปเมื่อเห็นอาจารย์ย่าโมโห นางคุกเข่าลงเช่นกัน ต่อให้นางรู้สึกว่าถูกรังแก ก็ไม่กล้าแสดงออกมา
ถังซานสือลิ่วเห็นศิษย์สามคนคุกเข่ากับพื้น ก็ถอนหายใจอยู่ข้างใน สุดท้ายแล้วพวกนางก็เป็นแค่เด็กสาว เติบโตขึ้นใต้การสอนสั่งตามธรรมเนียมของยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกนางจะเป็นเหมือนเขากับเฉินฉางเซิง ที่กล้าขัดขืนอาจารย์และทรยศบรรพบุรุษ ดูเหมือนว่าจะไม่มีโอกาสที่จะแก้ปัญหาภายในนี้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่หวังว่าเฉินฉางเซิงจะหาวิธีได้ จากเวลาที่ผ่านไป เฉินฉางเซิงน่าจะไปถึงปลายยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว เมื่อไม่มีการเคลื่อนไหวใดตลอดเวลาที่ผ่านมาก็หมายความว่าสวีโหย่วหรงยังกักตนอยู่ในถ้ำได้โดยไม่ถูกรบกวน ดังนั้นนี่ก็ควรถึงเวลาที่เฉินฉางเซิงจะแสดงตัวออกมาแล้ว
ปัญหาก็คือมีผู้อาวุโสสามคนมองเขาอยู่ มันเป็นการท้าทายอย่างมากสำหรับเขาที่จะกระซิบกับเยี่ยเสี่ยวเหลียน ดังนั้นเขาจะแจ้งต่อเฉินฉางเซิงบนยอดเขาได้อย่างไร
ตอนที่เขาขบคิดเรื่องพวกนี้ ดวงตาก็พลันเป็นประกาย เขาเห็นกระเรียนขาวเกาะอยู่บนต้นไม้ในลาน
มีใครบ้างที่จำกระเรียนขาวนี้ไม่ได้
……
……
กระเรียนขาวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ มีแต่สวีโหย่วหรงเท่านั้นที่สามารถขี่ได้ และมันก็มีสถานะสูงส่งอย่างมากในยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ที่ออกดอกบานสะพรั่งภายในสำนักหรือน้ำตกที่ไหลลงมาระหว่างต้นไม้ มันก็สามารถเกาะที่ไหนก็ได้ตามใจ ไม่มีใครกล้าจะปฏิบัติต่อกระเรียนขาวตัวนี้อย่างไม่สุภาพ ทว่าวันนี้มันเกือบถูกรองเท้าเหม็นฟาดใส่
นกกระเรียนส่งเสียงร้องอย่างโมโหดังก้องลาน ปีกยาวสิบกว่าจั้งกางออก มันเตรียมจะตอบโต้กลับแต่ก็พลันตระหนักได้ว่าคนที่โยนรองเท้ามาเป็นใคร
“ไอ้ตัวไร้หัวใจ พวกเราเฝ้ามองดูคู่รักนั่นมาด้วยกันแต่ตอนนี้ข้ามาเยือนถึงที่แต่เจ้ากลับไม่แม้แต่จะกล่าวทักทาย!”
ถังซานสือลิ่วยืนอยู่นอกกระท่อมมุงจาก มือเขาถือรองเท้าฟางอีกข้างตอนที่เขาตะโกนเสียงดัง
เยี่ยเสี่ยวเหลียนและพวกศิษย์ทีรู้เรื่องอีกจำนวนหนึ่งตัวแข็งทื่อไป เป็นเพราะเขาโยนรองเท้าใส่กระเรียนขาวหรือเพราะเรื่องที่เขาพูดถึงกันแน่
กระเรียนขาวแสดงความไร้เดียงสาออกมาจากดวงตา สงสัยว่าทำไมเจ้าหมอนี่ถึงได้เป็นบ้าขึ้นมา
ถังซานสือลิ่วโมโหมากขึ้นและโยนรองเท้าอีกข้าง ในเวลาเดียวกันเขาก็มองไปที่ยอดเขาแล้วขยิบตา