ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 60 ปิดอาราม
กระเรียนขาวเข้าใจความหมายของถังซานสือลิ่ว ก็กระพือปีกทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า บินไปจนถึงสุดปลายของยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
สายลมพัดผ่านลาน ดอกไม้บนต้นส่ายไหว ถังซานสือลิ่วโบกมือและคว้ากลีบดอกไม้ในอากาศ จากนั้นก็เดินเข้าไปในกระท่อม และถามไหวเหริน “เราไม่ใช่เซียวจาง ดังนั้นเรานับเป็นแขกใช่ไหม”
ไหวเหรินรู้ว่าเขาทำอะไรแต่ก็ไม่เปิดโปง นางยิ้มตอบ “ผู้มาไกลย่อมเป็นแขก”
ถังซานสือลิ่วถาม “เมื่อพวกเราเป็นแขกแล้วทำไมไม่มีน้ำชา”
ไหวเหรินยังคงความสุขุมไว้ “ผิงเซวียน เอาชามา”
ศิษย์สถานศึกษาหนานซีผู้คุกเข่าอยู่ด้านหลังนางตลอดเวลา ก็ลุกขึ้นเดินออกจากกระท่อม
ยามนางเดินผ่านถังซานสือลิ่ว เขาเรียกนางให้หยุดแล้วมอบกลีบดอกไม้ที่เพิ่งคว้ามาให้ ใช้เสียงที่อ่อนโยนกล่าว “พี่ผิงเซวียน ข้าชอบดื่มชาที่มีกลิ่นหอม”
ผู้อาวุโสทั้งสามกับศิษย์ทั้งหมดที่อยู่ที่นี่เห็นภาพนี้ ก็อดส่ายหน้าไม่ได้ พลางคิดในใจ เป็นพฤติกรรมของพวกคุณชายจริงๆ ทำให้ผู้คนรู้สึกรำคาญยิ่งนัก
……
……
ต่อให้ต้มน้ำเอาไว้แล้ว การชงชาก็ยังต้องใช้เวลา การพูดคุยสัพเพเหระที่ดำเนินไปพร้อมกับการจิบชาก็ใช้เวลามากขึ้นไปอีก
ในยามที่ถังซานสือลิ่วถือถ้วยชากลิ่นหอม พูดเรื่องขนมเซาปิ่งจากเมืองฟู่ชุนกับศิษย์พี่นามผิงเซวียน เขาก็ถ่วงเวลาได้มากพอแล้ว
เสียงร้องสดใสขอนกกระเรียนดังก้องท้องฟ้า กระเรียนขาวร่อนลงสู่ลานพร้อมเสียงลมหวีดหวิว
ศิษย์สถานศึกษาหนานซีตกตะลึงที่เห็นคนบนหลังนกกระเรียน เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ออกจากการกักตนก่อนกำหนดอย่างนั้นหรือ
ผู้ที่ขี่กระเรียนขาวมาไม่ใช่สวีโหย่วหรง ทว่าเป็นชายหนุ่ม
ครั้นเห็นชายหนุ่ม เยี่ยเสี่ยวเหลียนกับศิษย์อีกมากมายก็ก้มกราบ ศิษย์บางคนไม่ได้ไปหานซานกับจิงตู ดังนั้นพวกเขาจึงตกใจและสงสัยว่าใครกันที่สามารถขี่กระเรียนขาวของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้ เมื่อเห็นพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องก้มกราบและนึกถึงเรื่องราวที่พวกนางเคยเล่าให้ฟังก็ได้สติกลับมาและรีบก้มลงเช่นกัน
“ถวายความเคารพแด่องค์สังฆราช”
เฉินฉางเซิงพยักหน้า เขาพูดกับเยี่ยเสี่ยวเหลียนกับพวกศิษย์สถานศึกษาหนานซีที่เขาคุ้นหน้าสองสามคำ จากนั้นก็เข้าสู่กระท่อมมุงจาก
ไหวเหรินกับศิษย์น้องทั้งสองยืนขึ้นเรียบร้อยแล้ว รอเขามาถึงอยู่ในกระท่อมอย่างใจเย็น
เฉินฉางเซิงกล่าวขอโทษ “เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตช่างไม่เหมาะสมจริงๆ แต่ใจข้าเปี่ยมไปด้วยความกังวล จึงขออภัยด้วย”
ไหวเหรินตอบอย่างสุขุม “คาดว่าองค์สังฆราชเกิดความเข้าใจผิดว่ามีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นในสถานศึกษาหนานซี ด้วยความเป็นห่วงความปลอดภัยของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จึงได้ตรงขึ้นไปยังยอดเขา”
เฉินฉางเซิงรู้สึกเช่นนี้จริงๆ ในตอนแรกเริ่ม ทว่าตอนนี้หากเขาจะยอมรับออกไปตามตรง ก็เกรงจะไม่สะดวก
ไหวเหรินกล่าวต่อ “แต่สถานศึกษาหนานซีในตอนนี้มีประกาศสำคัญสู่โลก บังเอิญองค์สังฆราชมาถึงทันเวลาพอดี นับเป็นการเพิ่มเกียรติยศให้ ข้าต้องขอบคุณการมาเยือนของพระองค์”
คำพูดพวกนี้ทำให้ถังซานสือลิ่วรู้สึกวูบในหัวใจ เขารู้ว่าเรื่องใหญ่นี้เป็นสิ่งที่เยี่ยเสี่ยวเหลียนเป็นกังวล
เฉินฉางเซิงถามด้วยความเคร่งขรึมอยู่บ้าง “ประกาศอันใดหรือ”
ไหวเหรินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างที่สุด ประหนึ่งกำลังพูดเรื่องทั่วไปไม่สลักสำคัญอันใด “สถานศึกษาหนานซีจะปิดอารามหลังจากจบงานฉลองปีใหม่”
ครั้นได้ยินเช่นนี้ ผิงเซวียน อี้เฉินและศิษย์รุ่นสองรู้สึกได้ถึงความสั่นสะเทือนที่ผ่านขึ้นมาในร่าง พวกนางหันไปทางไหวเหรินต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ในที่สุดก็รักษายังคงเงียบเอาไว้
เยี่ยเสี่ยวเหลียนกับเด็กสาวคืนอื่นในสถานศึกษาหนานซีมีสีหน้าไม่ยินยอม แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
เฉินฉางเซิงรู้สึกสับสนกับเรื่องนี้อยู่บ้าง
สวีโหย่วหรงไม่ได้กักตนอยู่ในถ้ำบนยอดเขาหรอกหรือ ใครอีกที่ต้องการจะทำการปิดอาราม
จากนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องที่เขาเคยอ่านในหนังสือ ‘เรื่องเบ็ดเตล็ดของวิหารฝ่ายใต้”
สถานศึกษาหนานซีมีการปิดอารามสามแบบ
หากผู้บำเพ็ญเพียรของสถานศึกษาหนานซีทำการกักตน นี่ก็เรียกได้ว่าปิดอาราม
คนทั้งสถานศึกษาหนานซีสามารถทำการปิดอารามได้ ก็เหมือนกับนักบวชบำเพ็ญตบะ ซึ่งใช้คำว่าปิดอารามเช่นกัน
ระหว่างที่ทำการปิดอาราม สถานศึกษาหนานซีจะไม่ติดต่อกับโลกภายนอก ผนึกและค่ายกลทั้งหลายบนยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จะถูกเปิดใช้ เรียกได้ว่าตัดขาดจากโลกภายนอก
เฉินฉางเซิงมองไปที่ดวงตาของไหวเหรินแล้วถาม “ปิดอารามที่ท่านพูดถึง…คือตัดสถานศึกษาหนานซีออกจากโลกภายนอก้เช่นนั้นหรือ”
ไหวเหรินมีสายตาที่ด้านชา เอ่ยตอบอย่างสุขุม “ถูกแล้ว”
กระท่อมมุงจากเงียบงันไปเป็นเวลานาน
เฉินฉางเซิงเดินไปที่ประตู มองออกไปที่ภาพอันงดงามด้านนอกและถาม “นานแค่ไหน”
ไหวเหรินเดินมาด้านหลังเขาและกล่าวเบาๆ “สิบปี”
ได้ยินเช่นนี้ศิษย์สถานศึกษาหนานซีก็ยังจิตตกเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าพวกนางได้รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว
“สิบปี…” เฉินฉางเซิงพึมพำกับตัวเอง
ชีวิตของผู้บำเพ็ญเพียรยาวนานกว่าคนทั่วไปมาก การมีชีวิตอยู่สองสามร้อยปีเป็นเรื่องธรรมดามาก ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีการบำเพ็ญเพียรล้ำลึกสามารถอยู่ได้หกร้อยถึงหนึ่งพันปี
ด้วยอายุขัยที่ยืนยาว สิบปีนั้นนับเป็นเวลาที่สั้นมาก ใบหน้าอ่อนเยาว์ยังไม่แก่ขึ้น ผมเผ้าก็ยังไม่หงอกขาว
แต่กับพวกเด็กสาวสถานศึกษาหนานซี การถูกตัดจากโลกภายนอกสิบปีก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับได้
พวกนางทำได้แค่มองดูเมฆบนยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่ใช่เมฆของโลกภายนอก มองเห็นได้แค่ดอกไม้บนที่ราบสูง ไม่อาจเห็นดอกไม้ของโลกภายนอก
ทำได้แค่เห็นหน้ากันเอง ไม่อาจพบเห็นผู้คนจากภายนอก
หากไม่พิจารณาเรื่องพวกนี้ แต่พิจารณาจากมุมมองของเฉินฉางเซิง หากสถานศึกษาหนานซีปิดอารามเป็นเวลาสิบปี พระราชวังหลีย่อมเสียพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดไปเป็นเวลาสิบปี
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมจึงมีคณะทูตจากราชสำนักตามคำบอกเล่าของเซียวจางในเมืองเฟิ่งหยาง
ใครกันทีต้องการเห็นสถานศึกษาหนานซีปิดอารามนานสิบปีที่สุด แน่นอนว่าเป็นอาจารย์ของเขา ซางสิงโจว รวมถึงทุกคนในราชสำนักต้าโจว
เซียงอ๋องกับอู๋ฉยงปี้ที่เป็นสองยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้มาทำภารกิจทางการทูตด้วยตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าเรื่องนี้จะดำเนินไปอย่างราบรื่น
อนุมานจากจุดนี้ก็สรุปได้ว่าผู้อาวุโสทั้งสามของสถานศึกษาหนานซีหยุดการเดินทางอย่างฉับพลันและลับมายังภูเขาทำการสั่งปิดอารามอย่างแข็งขันนั้นเป็นเพราะซางสิงโจวกับราชสำนัก
คิดดูแล้วเขาก็มองไปทางฮู่ซานสือเอ้อร์และคิดในใจ เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ในสถานศึกษาหนานซี ทำไมนิกายหลวงไม่ได้ยินข่าวอะไรเลย
ฮู่ซานสือเอ้อร์พยักหน้าเล็กน้อยจนแทบมองไม่ออก ใช้ดวงตาบ่งบอกว่าเขาจะสืบดู
นี่เป็นเรื่องที่ต้องทำหลังจากนี้ เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือเปลี่ยนใจของผู้อาวุโสทั้งสามของสถานศึกษาหนานซี
“ขอพูดเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่” เฉินฉางเซิงถามไหวเหริน
ไหวเหรินตอบ “ตามแต่ประสงค์ของพระองค์”
……
……
ดวงอาทิตย์อัสดงลับเหลี่ยมเขา
สันเขาอันงดงามที่ทอดไปตามแม่น้ำถงเจียงสูงอย่างมาก ดวงตะวันจึงลับเหลี่ยมเขาเร็ว ทำให้ดูราวกับเป็นเวลาย่ำค่ำ
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ริมหน้าผามองไกลออกไปยังดวงอาทิตย์อัสดง เขานิ่งเงียบ คิดอะไรอยู่ไม่ทราบ
“ใช่ เป็นปรมาจารย์เต๋าที่ส่งคนมาหาเรา จากนั้นก็โน้มน้าวพวกเราด้วยตัวเองให้จบการเดินทางก่อนกำหนด”
ไหวเหรินยืนอยู่ข้างเขา ใบหน้านางยังเยาว์วัยและงดงาม ใต้แสงอาทิตย์อัสดงมันดูเหมือนกับฉาบเอาไว้ด้วยทองคำ ทำให้นางดูทั้งสูงส่งทั้งศักดิ์สิทธิ์
“สำหรับพวกศิษย์แล้ว การถูกตัดออกจากโลกภายนอกนั้นยากจะรับได้ คาดว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน แต่ข้าก็ยังยืนกราน”
ไหวเหรินหันหน้ามามองเขา กล่าวอย่างสุขุม “พระองค์ควรรู้ว่าการปิดอารามมีสามระดับ ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งปิดอารามนั้นหมายถึงการที่เขาทำการกักตน หากสำนักปิดอารามก็หมายถึงการตัดขาดจากโลกภายนอก แต่ความหมายแรกของการปิดอารามก็คือสถานศึกษาหนานซีกับพระราชวังหลีรวมเป็นหนึ่งเดียว หากข้าไม่ต้องการเหตุการณ์สุดท้ายเกิดขึ้น ข้าก็ต้องเลือกแบบที่สองเท่านั้น”
เฉินฉางเซิงตอบ “เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คนแรกได้เขียนไว้ใน ‘อยู่ว่างข้างหน้าต่างหนานซี’ บรรยายการปิดอารามแบบสุดท้ายไว้ คำพูดของนางบอกอย่างชัดเจนว่าแม้สถานศึกษาหนานซีจะเป็นนางสร้างขึ้น นางก็ยังหวังว่าจะสามารถกลับไปรวมกับนิกายหลวงได้ในที่สุด ที่ข้ากับโหย่วหรงต้องการจะทำก็เป็นไปตามความคิดของนาง มันไม่เหมาะสมตรงไหน”
“นั่นเป็นเรื่องที่นานจนนับปีไม่ได้แล้ว เวลาเปลี่ยนเรื่องก็เปลี่ยน สถานศึกษาหนานซีในตอนนี้มีการสืบทอดของตัวเอง แล้วเหตุใดต้องหยุดการสืบทอดนี้เพื่อไปรวมกับพระราชวังหลีด้วย ที่สำคัญหากทุกอย่างเป็นไปตามที่พระองค์กับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องการ สถานศึกษาหนานซีก็เหมือนก้าวลงสู่หุบเหวแห่งหายนะ”
ไหวเหรินมองตาเขาและประกาศอย่างสุขุมหนักแน่น “ข้าไม่อาจมองดูพระองค์กับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์นำสถานศึกษาหนานซีเข้าสู่สงครามได้”