ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 61 บทสนทนาที่จะถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์
เฉินฉางเซิงกล่าว “ข้าไม่เคยคิดที่จะนำสถานศึกษาหนานซีไปสู่อันตราย”
“องค์สังฆราช ข้าเข้าใจพระองค์ หากนี่เป็นเมื่อสามปีก่อน ข้าย่อมเชื่อคำพูดพระองค์อย่างเต็มที่ แต่อย่างที่ข้าบอกไป เวลาเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ก็เปลี่ยน”
ไหวเหรินกล่าวอย่างโศกเศร้า “หลังจากสามปี พระองค์เปลี่ยนไปแล้ว หากไม่มีคนตายมากมายในเทือกเขาหิมะ หากราชันย์แห่งหลิงไห่ไม่ไปที่ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน หากพระองค์ไม่ไปที่เมืองเวิ่นสุ่ย หากพระองค์ไม่ยืนอยู่ข้างกายข้าในตอนนี้ บางทีข้าจะเชื่อพระองค์ อย่างไรก็ตามในตอนนี้ข้าไม่อาจเชื่อ”
“ทั่วทั้งต้าลู่รู้ว่าพระองค์ต้องการจะทำอะไร”
“จากศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานถึงเมืองเวิ่นสุ่ย พระองค์ตั้งใจจะแย่งพันธมิตรนอกเมืองจิงตูของปรมาจารย์เต๋ากับราชสำนัก นำพวกเขามาอยู่ใต้ธงของพระองค์ พระองค์ถึงกับสามารถเปลี่ยนจุดยืนของตระกูลถัง แล้วพระองค์จะปล่อยยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไปได้อย่างไร”
“พระองค์เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าทำไม แม้ว่าทุกคนจะรู้ว่าพระองค์มีเจตนาเช่นใด แต่ปรมาจารย์เต๋าก็ไม่เคยพยายามหยุดพระองค์เลย เพราะเขาไม่จำเป็นต้องสนใจ เพราะตอนที่ท่านพยายามจะตัดแขนขาของเขา สายตาเขาได้จับจ้องมาที่นี่หลายปีแล้ว บนยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ซึ่งควรเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดของพระองค์”
เฉินฉางเซิงรับฟังเงียบๆ ไม่มีท่าที่จะตอบ
“การกบฏของศิษย์อาจไม่มีทางสำเร็จไปชั่วชีวิต ต่อให้พระองค์สามารถฝืนทนไปจนจบ โลกมนุษย์ก็ยังเดือดร้อน เผ่ามารก็จะอาศัยความวุ่นวายนี้เข้าบุกรุก เมื่อถึงเวลานั้น พระองค์จะมองหน้าผู้ศรัทธาที่เดือดร้อนและยากจนข้นแค้น เผชิญหน้ากับกองกระดูกข้างถนน เผชิญหน้ากับอดีตสังฆราชของนิกายหลวงได้อย่างไร ยอมแพ้เถอะ ข้าได้พูดกับปรมาจารย์เต๋าในจิงตู เขารับปากข้าว่าตราบใดที่ท่านยอมสละตำแหน่งสังฆราช ท่านสามารถบำเพ็ญเพียรในสถานศึกษาหนานซีหรือหลีซานได้ตามใจ รับรองว่าท่านจะปลอดภัย”
ไหวเหรินมองไปที่เขาแบบผู้อาวุโสมองดูผู้เยาว์ อยากฟังคำตอบที่นางต้องการฟัง
เฉินฉางเซิงตอบกลับไปอย่างสุขุม “ข้าไม่อาจรับข้อเรียกร้องของท่านได้”
ไหวเหรินรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง “ทำไมเจ้าถึงได้ยืนกรานจะต่อต้านอาจารย์เจ้า”
นับจากเมื่อสามปีก่อนตอนที่เขาแบกร่างของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ลงจากสุสานเทียนซู คำถามนี้เป็นสิ่งที่ผู้คนมากมายอยากรู้คำตอบ
ราชันย์แห่งหลิงไห่ นักพรตซือหยวน ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานและแม้แต่สำนักกระบี่หลีซานมีเหตุผลที่จะเป็นศัตรูกับราชสำนักและซางสิงโจว แต่เฉินฉางเซิงไม่
หากมองซางสิงโจวผ่านประวัติศาสตร์ จากมุมมองของคนทั่วไปหรือขุนนาง ไม่มีอะไรจะตำหนิเขาได้
เป็นความจริงที่วิธีการที่เขาใช้ก่อนและหลังการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซูออกจะรุนแรงไปบ้าง ทุกคนที่มีความคิดจะทำการใหญ่ก็ต้องทำแบบเดียวกัน
เขาใช้โจวทงก็จริง แต่เมื่อโจวทงตายไปแล้ว เขาก็ประกาศราชโองการว่าโจวทงมีความผิดสิบกว่าข้อ
หากสงครามระหว่างอาจารย์กับศิษย์ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เฉินฉางเซิงไม่มีทางเป็นฝ่ายถูกต้องได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
แต่ดังเช่นที่เขาเคยพูดไว้กับอาจารย์อาสังฆราช อาจารย์ของเขาจะไม่ปล่อยให้เขามีชีวิต ดังนั้นเขาจึงต้องต่อต้าน
เมื่อเวลาผ่านไป มีหลายอย่างเปลี่ยนไป แต่เขาก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่เปลี่ยน
การต่อสู้บนเทือกเขาและซากปรักหักพังของที่ซึ่งเคยเป็นสวนและทะเลสาบเป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด
หากเป็นเพราะสาเหตุนี้ เขาก็ยังไม่มีสิทธิ์ ไม่มีเหตุผล ที่จะนำนิกายหลวงทั้งหมด รวมถึงศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน ตระกูลถัง สำนักกระบี่หลีซานและเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ บางทีอาจรวมถึงทั่วทั้งต้าลู่เข้าสู่ความขัดแย้ง อย่างที่ไหวเหรินพูด เขาไม่อาจทำได้ต่อให้เขาเป็นสังฆราช เป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดคนหนึ่งในต้าลู่ก็ตาม
แน่นอน เฉินฉางเซิงไม่อยากเห็นภาพนั้นเช่นกัน
แต่เขารู้ว่า ต่อให้เขาไม่ต้องการให้ภาพนั้นเป็นจริง กระนั้นเขาก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจว่ามันอาจเป็นจริงขึ้นมา
การประนีประนอมรอมชอมไม่อาจนำมาซึ่งสันติที่แท้จริง มันเป็นการยอมจำนนต่างหาก ความจริงที่ได้เรียนรู้หลังจากทำสงครามกับเผ่ามารมาหลายปีดูเหมือนจะถูกคนมากมายลืมเลือนไปแล้ว
เขาในตอนนี้คือสังฆราช ดังนั้นเขาจึงต้องแบกรับความรับผิดชอบต่อนิกายหลวง ต่อโลกมนุษย์ทั้งหมด
“หากทุกคนคิดเช่นนี้ ทุกคนก็ผิดแล้ว”
บนทุ่งราบห่างไกล สายลมของแม่น้ำถงเจียงหม่นหมองลงเรื่อยๆ เฉินฉางเซิงมองไปทางนั้นและกล่าวอย่างสุขุม “ข้าไม่ได้ทำเรื่องนี้เพื่อให้ข้าได้ครองอำนาจสูงสุด หรือว่าข้าต้องการจะฆ่าเขาเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ต่อให้เขาพยายามฆ่าข้ามาหลายครั้ง ข้าก็ยังไม่เคยคิดที่จะฆ่าเขา ไม่ใช่เพราะเขาเป็นอาจารย์ข้า หากแต่เป็นเพราะข้ารู้เช่นเดียวกับท่าน ว่าหากข้าฆ่าเขาแล้ว ทั่วทั้งต้าลู่จะตกอยู่ในความโกลาหล ข้าทำเรื่องเหล่านี้เพื่อให้แน่ใจว่านิกายหลวงมีความสามารถที่จะถ่วงดุลกับราชสำนักได้”
ไหวเหรินถาม “หากเป็นเช่นนั้น ทำไมพระองค์จึงต้องการให้นิกายหลวงถ่วงดุลกับราชสำนักกัน”
เฉินฉางเซิงอธิบาย “อาจารย์อาเคยบอกกับข้าว่าคนใจดีก็จำเป็นต้องระวังป้องกันตัว… การระวังป้องกันตัวจำเป็นต้องมีความสามารถที่เหมาะสมด้วย หาไม่แล้วก็เป็นเพียงเรื่องตลก”
ไหวเหรินเข้าใจความหมายของเขาและถอนหายใจ
“ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อยู่ในแดนใต้ที่ห่างไกล แต่พระราชวังหลีอยู่ในจิงตู อยู่ใกล้กับวังหลวงอย่างมาก เราต้องแบกรับความรับผิดชอบนี้ เหมือนกับตอนที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ครองอำนาจ หากไม่ใช่อาจารย์อาใครจะรู้ว่ามีบ้านเรือนมากมายแค่ไหนที่ถูกคลื่นรุนแรงของอำนาจเผด็จการทำลายไป มีคนบริสุทธิ์มากมายแค่ไหนที่จะต้องตายไป”
เฉินฉางเซิงประกาศ “ราชสำนักในตอนนี้ จำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งจะสามารถถ่วงดุลพวกเขาได้ ตอนนี้อาจารย์จำเป็นต้องมีคนที่สามารถจะคุกคามเขาได้ ไม่เช่นนั้นราชสำนักจะทำอะไรตามอำเภอใจ อาจารย์จะกลายเป็นอสูรร้าย อาจารย์อาเลือกข้าเป็นสังฆราชเพราะว่าเขารู้ว่ามีแต่ข้าเท่านั้นที่สามารถนำผู้คนในนิกายหลวงรับบทนี้ได้”
ไหวเหรินพยักหน้า “แต่ที่พระองค์ทำนั้นได้ก้าวข้ามการระวังป้องกันตัวไปแล้วและกลายเป็นการเตรียมตัวทำสงคราม”
“ข้าก็ยังระวังป้องกันตัวที่ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานและตระกูลถัง เพียงให้คำเตือนเท่านั้น”
เฉินฉางเซิงกล่าว “หากราชสำนักกับอาจารย์ข้าทำผิดแล้วไม่แก้ไขให้ถูกต้อง ข้ากับนิกายหลวงก็จะแก้ไขให้พวกเขาเอง”
ไหวเหรินถาม “การแก้ไขก็ของพระองค์ก็คือการฆ่าคนและชิงอำนาจอย่างนั้นหรือ”
เฉินฉางเซิงกล่าว “ฆ่าคนก็เพราะคนอย่างหนิงสือเว่ย จูเยี่ยและเทียนไห่จันอีเป็นคนที่สมควรตาย และประมุขรองตระกูลถังร่วมมือกับเผ่ามารซึ่งสมควรตายยิ่งกว่า การชิงอำนาจก็เพราะนิกายหลวงจำเป็นต้องมีอำนาจ ที่สำคัญยิ่งกว่าราชสำนักและอาจารย์ได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์จะครองอำนาจ”
ไหวเหรินมองตาเขาแล้วถาม “หากราชสำนักทำความผิดต่อไปเล่า หากปรมาจารย์เต๋ายืนกรานจะใช้วิธีนี้ต่อไปเล่า”
เฉินฉางเซิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ได้แต่คิดหาวิธีล้มราชสำนักของเขา”
ไหวเหรินถอนหายใจ “สุดท้ายแล้วท่านก็ยังกลับไปสู่เส้นทางแห่งความโหดเหี้ยม”
เฉินฉางเซิงตอบ “ทางที่ต่างกันอาจมาบรรจบรวมกันแต่เหตุผลในการเริ่มต้นเดินทางไม่ได้เหมือนกัน”
ไหวเหรินสงสัย “หากสุดท้ายก็จบลงแบบเดียวกัน เหตุผลที่เริ่มต้นสำคัญด้วยหรือ”
“มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างการฆ่าเพื่อป้องกันตัวกับการฆ่าคนชิงทรัพย์ และมันสำคัญอย่างมาก ข้าต้องเชื่อว่าข้าเป็นฝ่ายถูก”
เฉินฉางเซิงกล่าวประโยคที่เขาไม่ได้พูดมานานสามปี “เพราะข้าบำเพ็ญเต๋าในการทำตามใจตน”
ในตอนนี้ยามที่ดวงตะวันตกลงลับเหลี่ยมเขาแต่ดวงดาวยังไม่ได้เผยรูปร่างที่แท้จริงออกมา เทือกเขาในแดนใต้อยู่ในช่วงเวลาที่โพล้เพล้ที่สุด
ต้นไม้ที่ออกดอกบานสะพรั่งบนขอบผาส่ายไหวในสายลม ดูเหมือนตกตะลึงจนเงียบงัน
หลังจากเวลาผ่านไป ไหวเหรินตอบ “นี่เป็นเต๋าของพระองค์ สงครามของพระองค์ พระองค์จำเป็นต้องดึงยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เข้าร่วมด้วยหลังจากที่อยู่อย่างสงบมาหลายปีอย่างนั้นหรือ”
เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าคิดว่านี่เป็นเรื่องที่โหย่วหรงกับศิษย์สถานศึกษาหนานซีต้องตัดสินใจ”