ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 65 เริ่มพิธีการใหญ่
ศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักกระบี่หลีซาน ชิวซานจวินหายตัวไปห้าปี และเพิ่งกลับมาที่ภูเขาเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยเหตุผลใดไม่มีใครทราบ
โก่วหานสือยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหน้า คิดในใจ สำนักต้นไหวยังไม่อาจทนรับสภาพที่ด้อยกว่าได้ จึงต้องการใช้เรื่องนี้เพื่อหาทางเอาเปรียบสักหน่อย วิธีเช่นนี้เหมือนกับหวังผ้อที่ไหน
ในตอนนี้เขาสัมผัสได้ว่ามีคนมองเขาอยู่ จึงหันหน้าไปหาคนผู้นั้น ตัวแข็งไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ยิ้มอ่อนและคำนับ
เฉินฉางเซิงยิ้มและคำนับกลับไป ตอนนี้เมื่อเขาคิดดูแล้ว ก็เกือบสี่ปีแล้วตั้งแต่เขาพบโก่วหานสือครั้งก่อน มีบางครั้งที่รู้สึกคิดถึงเขาขึ้นมา
สถานศึกษาหนานซียกย่องทิศใต้ ดังนั้นเขาจึงนั่งอยู่บนแท่นสูงทางทิศใต้ของที่ราบสูง ห่างจากที่นั่งของศิษย์สำนักกระบี่หลีซานแค่สิบกว่าจั้ง อย่างไรก็ตาม มันไม่สะดวกที่เขาจะลุกเดินไป
เขาสังเกตเห็นผู้เยาว์ที่ดูอ่อนต่อโลกและเงอะงะข้างกายโก่วหานสือ จากนั้นก็มองไปที่โก่วหานสือด้วยสายตาอยากรู้
ศิษย์คนอื่นของสำนักกระบี่หลีซานล้วนยืนหลังโก่วหานสือ มีแค่ผู้เยาว์คนนี้ที่นั่งอยู่แถวเดียวกับโก่วหานสือ ชัดเจนว่าเขามีฐานะในสำนักสูงมากทีเดียว
โก่วหานสือให้ผู้เยาว์นั้นยืนขึ้นแล้วก็แนะนำ “ศิษย์น้องหกไป๋ไช่”
เฉินฉางเซิงจึงรู้ว่านี่คือสมาชิกคนเดียวของเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพที่เขายังไม่เคยพบหน้า เขายิ้มและพยักหน้าให้อย่างอบอุ่น
อย่างไรก็ตาม ไป๋ไช่เชิดหน้าสูง ใบหน้าดื้อดึงท่าทางเหินห่างไม่สนใจเฉินฉางเซิงแม้แต่น้อย แม้โก่วหานสือจะส่งสายตาเตือนไปไม่หยุดก็ไม่อาจทำให้เขาก้มหน้าได้
เฉินฉางเซิงงุนงงอยู่บ้าง จากนั้นก็ตระหนักได้ว่ามีอะไรผิดไปและรู้สึกทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง
เขาพลันรู้สึกว่าชื่อไป๋ไช่คุ้นหูอยู่บ้าง จากนั้นก็นึกไปถึงคนที่ใช้ชื่อปลอมว่าหลัวปู้… ทำให้เขารู้สึกทำอะไรไม่ถูกยิ่งขึ้นไปอีก
ไชเท้ากับผักกาดขาว [1] เจ้าหมอนี่ช่างขี้เกียจหรือบางทีเป็นคนง่ายๆ ไปหน่อย
……
……
เฉินฉางเซิงอาจรู้สึกไม่สะดวก ทว่าถังซานสือลิ่วไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนั้นมาก่อนในชีวิต เดินตรงไปยังพวกศิษย์สำนักกระบี่หลีซาน
ครั้นเห็นเขามา ทุกคนในสำนักที่นั่งแถวนั้นก็เริ่มลุกขึ้นคำนับ บางคนรู้ตัวตนของเขา ในขณะที่คนอื่นถูกคนที่นั่งข้างๆ เตือน
ถังซานสือลิ่วโบกมือบ่งบอกว่าเขาเข้าใจ เขาเดินไปที่โก่วหานสือและถาม “เจ้าหมอนั่นกลับมาไหม”
โก่วหานสือรู้ว่าเขาถามถึงกวนเฟยไป๋จึงกล่าว “เขาเพิ่งกลับมาเมื่อสองวันก่อน อ้อ ยินดีด้วย”
การต่อสู้ชิงการสืบทอดตระกูลถังทำให้ถังซานสือลิ่วถูกขังอยู่ในหอบรรพชนถึงครึ่งปี และเหตุการณ์ที่ตามมาได้แพร่กระจายไปทั่วต้าลู่แล้ว
ถังซานสือลิ่วถาม “ข้าเป็นใคร เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่อาจรั้งข้าได้หรอก”
โก่วหานสือหัวเราะแต่ไม่พูดอะไร ไป๋ไช่ด้านข้างรู้สึกว่าเขาเคยได้ยินคำพูดเช่นนี้ที่ไหนมาก่อน… แม้ว่าจะไม่บ่อยนักแต่ก็ฝังลึกอยู่ในความทรงจำ
“ประโยคติดปากของอาจารย์ปู่” โก่วหานสือบอก
ไป๋ไช่รู้ตัวขึ้นมาโดยพลัน เขาจำภาพเมื่อหลายปีก่อนตอนที่อาจารย์ปู่เรียกเหล่าศิษย์สำนักกระบี่หลีซานมาประชุมกัน และส่ายหน้าไปมา
ถังซานสือลิ่วเตือน “อย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้เลียนแบบเขา เราแค่บังเอิญมีความสนใจเหมือนกัน”
ไป๋ไช่เย้ย “อาจารย์ปู่มีความแข็งแกร่งหนุนหลังคำพูดของตัวเอง ในขณะที่เจ้าคงยังถูกขังอยู่หากองค์สังฆราชไม่ช่วยเอาไว้ แล้วจะเหมือนกันได้อย่างไร”
ถังซานสือลิ่วเลิกคิ้วและเถียงกลับไป “ข้ามีเพื่อนเช่นนี้ก็เพราะฝีมือของข้า พูดหยาบหน่อยก็คือไม่มีใครมีสายตามองคนเหนือไปกว่าข้าแล้ว”
เขาย่อมพูดถึงเรื่องที่เขาสามารถทำความรู้จักกับเฉินฉางเซิงในสำนักเทียนเต้าและหลังจากนั้นก็ในโรงเตี๊ยมสวนหลีจื่อ
คนที่รู้เรื่องคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมของเฉินฉางเซิงหลังจากนั้นก็คือลั่วลั่วและตามมาด้วยโก่วหานสือ
ในตอนนั้นศิษย์สำนักกระบี่หลีซานเป็นปฏิปักษ์กับคนของสำนักฝึกหลวง ทว่าโก่วหานสือไม่เคยมองข้ามเฉินฉางเซิงแม้แต่ครั้งเดียว
โก่วหานสือย่อมไม่แข่งกับเขาว่าใครมีสายตาดีกว่ากัน เขาชี้ไปที่แท่นยกและกล่าว “มันกำลังจะเริ่มแล้ว เจ้าไม่ต้องกลับไปหรือ”
“เจ้าคิดจะไล่แขกหรืออย่างไร เราไม่ได้เจอกันตั้งสามปี จะเป็นไรไปหากจะพูดกันอีกสักหน่อย”
ถังซานสือลิ่วย่อมไม่มีเจตนาจะกลับไป เขาคว้าเก้าอี้จากพื้นที่ของสำนักต้นไหวมานั่งข้างโก่วหานสือ
เขาใช้เสียงที่เบามากกระซิบเรื่องบางอย่างกับโก่วหานสือ เบาจนแม้แต่ไป๋ไช่ก็ไม่อาจได้ยิน
โก่วหานสือสีหน้าไม่เปลี่ยน เขาตอบกลับไปอย่างสุขุม “ข้าเข้าใจ เจ้าไปได้แล้ว”
ถังซานสือลิ่วรู้ว่าโก่วหานสือเป็นสุภาพบุรุษตัวจริง เมื่อเขากล่าวว่าเข้าใจก็ย่อมเข้าใจจริงๆ ถังซานสือลิ่วสบายใจแต่ก็ยังไม่ยอมไป
เขากล่าวอย่างละห้อยกับโก่วหานสือ “ดูเฉินฉางเซิงตรงนั้นสิ นั่งอยู่ตัวคนเดียว มันไม่สบายเลย ข้าไม่ต้องการแบบนั้น”
ไป๋ไช่ขัด “ทำไมข้าคิดว่าเจ้าไม่อยากยืนอยู่ตรงนั้นเพราะที่นั่นไม่มีเก้าอี้ด้านหลังองค์สังฆราช”
ถังซานสือลิ่วดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านและตอบกลับไป “เมื่อเจ้าเข้าใจแล้วทำไมเจ้าถึงได้ไม่สนใจและยืนกรานจะเปิดโปงมันออกมา เจ้าต้องหัดเรียนรู้จากศิษย์พี่รองของเจ้าบ้างนะ”
……
……
ถังซานสือลิ่วย่อมไม่ต้องการยืน แต่ที่เขาถอนหายใจอย่างโศกเศร้าก็ใช่ว่าผิดเสียทั้งหมด
เมื่อสังฆราชมาถึง มหามุขนายกจากอารามแดนใต้ก็ไม่อาจนั่งเก้าอี้อีกต่อไป เขาได้ลุกขึ้นยืนนานแล้วและไปรวมอยู่กับฮู่ซานสือเอ้อร์ในฐานะผู้ติดตามสังฆราช เมื่อรวมกับนักบวชสิบกว่าคนที่ตามมา ร่างของเฉินฉางเซิงบนแท่นก็ไม่ดูโดดเดี่ยวนัก แต่…ก็ยังโดดเดี่ยวอยู่บ้าง
เมฆบดบังดวงอาทิตย์ ค่ายกลส่งสายลมอ่อนโยนพัดใส่ที่ราบสูงที่มีรัศมีสิบกว่าลี้นี้ ทำให้แน่ใจว่าทุกคนรู้สึกสบาย
นักพรตหญิงทั้งสามมาถึง ศิษย์สถานศึกษาหนานซีร้อยกว่าคนตามมาด้านหลัง
สายลมอ่อนโยนพัดชุดนักพรตของพวกนางสั่นไหว
ทุกคนคำนับในขณะที่เซียงอ๋องกับผู้นำตระกูลอีกสองคนก็ยืนขึ้นเช่นกัน มีแต่เฉินฉางเซิงที่ไม่เคลื่อนไหว
เขาไม่อาจคำนับให้กับอาจารย์ย่าของสถานศึกษาหนานซีเหล่านี้ เพราะว่าขัดกับกฎและธรรมเนียมของนิกาย
เพราะแตกต่างจากคนส่วนใหญ่จึงได้โดดเดี่ยวเช่นนั้นหรือ
ไหวเหรินขอบคุณที่สังฆราชมาเยือนเป็นอย่างแรก จากนั้นก็กล่าวถึงเซียงอ๋องและผู้นำอีกสองตระกูล หลังจากนั้นนางก็พูดกับสำนักอื่นๆ ทั้งหมด ในที่สุดนางก็เริ่มพูดเรื่องเกี่ยวกับพิธีในวันนี้
ประโยคแรกของนางบอกถึงเป้าหมายของงาน “สถานศึกษาหนานซีตัดสินใจจะปิดอารามเป็นเวลาสิบปี ข้าเชิญสหายเต๋าทุกท่านมาเพื่อเป็นพยาน…”
โก่วหานสือเดาเจตนาของสถานศึกษาหนานซีได้ก่อนมาแล้ว ทว่าเมื่อเฉินฉางเซิงมาถึงสถานการณ์น่าจะดีขึ้น คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วอาจารย์ย่าก็ยังยืนกรานจะปิดอาราม เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าที่นั่งของเฉินฉางเซิงค่อนข้างห่างจากที่นั่งของสถานศึกษาหนานซีอยู่บ้าง ก็ทำให้เขาเป็นกังวลยิ่งขึ้นไปอีก
“เมื่อเจ้ามาถึงตั้งแต่คืนก่อน นี่หมายความว่าเจ้าโน้มน้าวพวกนางไม่สำเร็จใช่หรือไม่” เขาถามถังซานสือลิ่ว
ถังซานสือลิ่วแสยะยิ้มไปทางไหวเหริน “นังเฒ่าพวกนี้ไม่สนใจเรื่องทางโลก ไม่อยากลากสถานศึกษาหนานซีเข้าสู่น้ำคลำ แต่อันที่จริงพวกนางแค่เปลี่ยวเหงามานานเกินไปและไม่ยอมที่จะเกษียณตัวเอง พวกนางอยากออกมาสร้างลมสร้างฝนเพื่อพิสูจน์ว่าพวกนางคือนายที่แท้จริงของสถานศึกษาหนานซี แล้วจะโน้มน้าวพวกนางได้อย่างไร”
เฉินฉางเซิงสือบทอดมาหมายรุ่น มีอาจารย์พันกว่าคนและศิษย์จากทุกภูเขา ศิษย์ทั้งหมดยกเว้นซูหลีที่มีอาวุโสสูงสุดที่มีนิสัยเย่อหยิ่งและไม่เชื่อฟังที่สุด ที่เหลือล้วนเป็นคนที่ซื่อสัตย์ทำตามกฎ ไม่ว่าพวกเขาจะเกิดมายากจนหรือเติบโตมาในครอบครัวที่ได้รับการเคารพนับถือ นิสัยเช่นนี้หมายความว่าพวกเขาต่างก็ให้ความสำคัญกับอาวุโส ให้ความเคารพกับความแตกต่างของผู้อาวุโสกับผู้เยาว์
เมื่อได้ยินคำพูดของถังซานสือลิ่ว ไป๋ไช่ก็รู้สึกไม่สบายใจและขมวดคิ้ว
——
[1] หลัวปู้ฟังคล้ายกับคำว่าหัวไชเท้าในภาษาจีน ไป๋ไช่แปลตรงตัวว่าผักกาดขาว