ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 67 หากถามข้า คำตอบก็คือไม่
มีแต่ผู้อาวุโสพรรคฉางเซิงที่เข้าใจความหมายในคำพูดของถังซานสือลิ่ว
พิษที่ถูกใช้ทำร้ายประมุขใหญ่ตระกูลถังมาจากฉูซู และฉูซูก็คือตัวประหลาดที่พรรคฉางเซิงเลี้ยงขึ้นมา
หากผู้อาวุโสบอกถังซานสือลิ่วว่าคำพูดของเขามีอำนาจ เช่นนั้นเขาจะกลายเป็นคนที่ต้องแบกรับความโกรธของตระกูลถังเอาไว้
เขาไม่กล้า จึงได้แต่กล่าวว่าคำพูดของเขาไม่มีอำนาจ
ถังซานสือลิ่วหันสายตาไปที่เซียงอ๋องกับพวกผู้มีอำนาจเหล่านั้น “คำพูดที่ไร้กำลังหนุน ไม่ว่าจะซาบซึ้งเพียงใด ก็เป็นแค่เรื่องไร้สาระ ต่อให้อยู่ในสภาพที่ยากลำบาก พรรคฉางเซิงก็ไม่ปัญญาอ่อนพอที่จะยอมรับคำพูดไร้สาระพวกนี้ ข้าคิดว่าเหตุผลนี้เป็นจริงสำหรับทุกคนในที่นี้”
ผู้นำตระกูลอู๋มองไปที่ถังซานสือลิ่วและกล่าว “หลานชาย คำพูดของเจ้าเกินจริงไปหน่อย ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของสถานศึกษาหนานซี”
ถังซานสือลิ่วตอบ “ท่านเป็นผู้อาวุโสของข้าและพูดมีเหตุผล เมื่อเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตระกูลของพวกเรา ทำไมต้องแสดงจุดยืนล่วงหน้าด้วย หากราชสำนักกับนิกายหลวงต้องการจะสู้กันก็ปล่อยให้สู้กันไป ยังไม่สายที่จะเลือกข้างหลังจากรู้ผลแล้ว ทำไมต้องเลือกฝั่งล่วงหน้าด้วย”
หญิงชราจากตระกูลมู่ท่าถอนหายใจ “ประมุขผู้เฒ่าไม่ได้กล่าวเช่นนี้ในจดหมาย”
ถังซานสือลิ่วยิ้ม “ท่านก็รู้ว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นในเมืองเวิ่นสุ่ยเมื่อไม่นานมานี้ ท่านปู่ของข้าย่อมเปลี่ยนใจแล้ว”
ไหวเหรินพูดในที่สุด
นางกล่าวกับถังซานสือลิ่วอย่างใจเย็น “สุดท้ายแล้วนี่ก็ยังเป็นเรื่องของสถานศึกษาหนานซีข้า แม้ว่าความเห็นของคนอื่นจะสำคัญมากก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ตัวตัดสิน”
ถังซานสือลิ่วยิ้มอ่อนให้กับนางและถาม “หากเป็นเช่นนั้นทำไมผู้อาวุโสถึงเรียกคนมากมายมาเสริมเกียรติยศให้ตัวเองด้วยเล่า”
ไหวปี้ตะโกนอย่างขุ่นเคือง “เป็นคนนอกมีสิทธิ์อะไรมาตำหนิเรื่องสถานศึกษาหนานซีของข้า!”
ไหวเหรินทำท่าบอกนางว่าไม่ต้องพูดต่อ จากนั้นก็กล่าวกับถังซานสือลิ่ว “ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกว่าเมื่อเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้มอบการจัดการสำนักให้กับศิษย์ทั้งสองก่อนจะกักตน พวกเราผู้อาวุโสที่กลับมาจากการเดินทางท่องโลกย่อมไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยว โดยเฉพาะเรื่องใหญ่อย่างการปิดอาราม ข้าพูดถูกไหม”
คำพูดที่นางพูดกับถังซานสือลิ่วนั้น ย่อมพูดกับเฉินฉางเซิง สำนักกระบี่หลีซานและสำนักต้นไหวด้วยเช่นกัน
ถังซานสือลิ่วรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาขมวดคิ้วไม่ได้บอกว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่’
“ผิงเซวียน อี้เฉิน ก่อนที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จะกักตน นางประกาศว่ามอบสำนักให้พวกเจ้าจัดการ”
ไหวเหรินกล่าวอย่างอบอุ่น “ต่อหน้าสหายเต๋าของเราในโลกนี้ ข้าขอถามเจ้า เจ้าเห็นด้วยหรือไม่กับการปิดอาราม”
เมื่อนางกล่าว สายตามากมายก็จับจ้องไปที่ศิษย์สถานศึกษาหนานซีทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าฝูงชน ผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักกระบี่หลีซาน สำนักต้นไหวและสำนักต่างๆ ที่มาทั้งหมดรู้ว่าทั้งสองคนนี้คือผิงเซวียนกับอี้เฉิน ที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มอบหมายให้ดูแลสำนักด้วยตัวเอง
ครั้นได้ยินเช่นนี้ เยี่ยเสี่ยวเหลียนและพวกเด็กสาวของสถานศึกษาหนานซีก็มองตากันไปมา รู้สึกประหลาดใจอย่างเป็นสุข ศิษย์พี่ หรือบางทีควรเรียกว่า ‘อาจารย์อาของพวกนาง’ ย่อมไม่เห็นด้วยเป็นธรรมดา
ถังซานสือลิ่วพลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
ใบหน้าผิงเซวียนซีดขาว นางไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน
นางนึกถึงบทสนทนายาวนานที่นางกับอาจารย์ของนางไหวเหรินพูดกันเมื่อคืน แม้ว่าอาจารย์จะพูดเกี่ยวกับธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน เรื่องการที่อารามเต๋าอยู่ในช่วงเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย จำได้ถึงความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญที่อาจารย์แสดงออกตอนที่ประกาศว่ายินดีตายเพื่อเรื่องนี้ นางไม่รู้ว่านางควรทำอะไร จากความปรารถนาของนางและความเข้าใจที่นางมีต่อเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ นางย่อมคัดค้าน แต่นี่ไม่เท่ากับประณามอาจารย์จนถึงตายต่อหน้าทุกคนบนโลกอย่างนั้นหรือ
อี้เฉินเผชิญกับสถานการณ์เดียวกัน นางนึกถึงสีหน้าสงบหนักแน่นของอาจารย์เมื่อคืน เส้นทางแห่งจิตของนางสั่นไหวอยู่ตลอด นางไม่อาจรักษาสีหน้าสงบนิ่งเอาไว้ได้ น้ำตาเริ่มไหลรินลงมาจากดวงตายามที่นางกล่าวขอโทษเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เงียบๆ นางกล่าวอย่างตะกุกตะกัก “ข้าเห็นด้วย”
ผิงเซวียนมองไปที่นาง ริมฝีปากสั่นเทา นางต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ในที่สุดก็นิ่งเงียบไว้
ที่ราบสูงกลายเป็นเงียบงันผิดปกติ ไม่มีเสียงแต่สายลมก็พัดชุดสีขาวสั่นไหว
ฝูงชนตกตะลึงอย่างมาก แม้แต่เซียงอ๋องกับผู้นำสองตระกูลก็ไม่คาดคิดว่าศิษย์รุ่นสองที่รับหน้าที่ดูแลกิจการของสำนักจะเห็นด้วยกับการปิดอาราม
ไหวเหรินมองดูพวกเขา เผยสีหน้าโล่งอกและกล่าวอย่างเมตตา “พวกเจ้าเป็นศิษย์ที่ดีที่สนับสนุนอาจารย์”
ทุกคนแน่นิ่ง ทุกสิ่งถูกกำหนดแล้ว
ไม่มีใครคาดว่าเด็กสาวที่ไม่มีอะไรโดดเด่นของสถานศึกษาหนานซีจะลุกขึ้นยืน
ไม่ว่าจะในแดนใต้หรือในจิงตู มีน้อยคนในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรจดจำนางได้
เยี่ยเสี่ยวเหลียนลุกขึ้นยืน
จากนั้นก็หมอบกราบกับพื้น ใช้ความกล้าที่รวบรวมมากล่า “อาจารย์ย่าทั้งสาม ข้าไม่เห็นด้วยกับการปิดสำนัก”
ไหวปี้พ่นลมตะโกน “โอหัง! ศิษย์รุ่นสามกล้าดียังไงถึงได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของสำนัก ถอยไป!”
ในตอนนั้นเอง ศิษย์หลายสิบคนก็ลุกขึ้นและก้มกราบอยู่ด้านหลังเยี่ยเสี่ยวเหลียน
ศิษย์พวกนี้คือกลุ่มที่ติดตามสวีโหย่วหรงไปหานซาน จากนั้นก็ไปจิงตู ที่พวกเขาได้พักอยู่ในสำนักฝึกหลวงเป็นเวลานาน
“ข้าขอให้อาจารย์ย่าคิดเรื่องนี้อีกครั้ง!”
“ข้าขอให้อาจารย์ย่าถอนคำสั่งด้วย!”
ไหวปี้ประหลาดใจที่มีศิษย์รุ่นเยาว์มากมายลุกขึ้น ออกเสียงคัดค้านการตัดสินใจ นิ้วที่ชี้ไปที่พวกนางเริ่มสั่นเทา
ไหวซู่เห็นว่ามีศิษย์รุ่นเยาว์สองคนในกลุ่มนี้ที่นางคาดหวังเอาไว้สูง ก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ นางปวดใจ
ภาพนี้ทำให้ไหวเหรินนึกถึงบทสนทนาที่มีกับเฉินฉางเซิงเมื่อคืน นางก็เปลี่ยนเป็นเหม่อลอยอยู่บ้าง
แต่นางก็พลันคิดถึงเลือดที่ไหลเป็นสายธารเมื่อสงครามเกิดขึ้นและนางก็ได้ความเด็ดเดี่ยวกลับมาอย่างรวดเร็ว นางกล่าวกับศิษย์ “สถานศึกษาหนานซีไม่ใช่แค่ศิษย์ แต่เป็นการสืบทอดของอาจารย์กับศิษย์ที่ส่งต่อมารุ่นสู่รุ่น หากเจ้าไม่ต้องการที่จะอยู่ในสำนัก ก็จากไปได้ คาดว่าสำนักฝึกหลวงหรือนิกายหลวงจะยอมรับพวกเจ้าไว้”
ความหมายของคำพูดนี้ชัดเจนมาก หากพวกศิษย์ยืนกรานจะคัดค้านการปิดอาราม พวกเขาจะถูกขับออกจากยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และเสียฐานะการเป็นศิษย์ของสถานศึกษาหนานซี!
เยี่ยเสี่ยวเหลียนกับพวกมีสีหน้าน่าอนาถ ไม่พูดอะไรอีก พวกเขาไม่อยากตัดขาดจากโลกภายนอก แต่ใครจะทนรับความปวดร้าวของการถูกขับออกจากสำนักได้
ในตอนนี้ความเห็นของสถานศึกษาหนานซีเป็นหนึ่งเดียวในที่สุดภายใต้วิธีอันแข็งกร้าวของอาจารย์ย่าทั้งสาม ไม่มีใครเอ่ยปากคัดค้านอีก
เซียงอ๋องลุกขึ้นและยิ้ม “ข้าขอแสดงความยินดีกับสหายเต๋าที่จะละวางความวุ่นวายของโลกียวิสัย การได้มีสมาธิอยู่กับการบำเพ็ญเพียรนั้นคู่ควรให้อิจฉาจริงๆ”
ด้วยคำพูดนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรนับไม่ถ้วนก็ลุกขึ้นและแสดงความยินดีกับสถานศึกษาหนานซี
มีแต่สำนักกระบี่หลีซานและสำนักต้นไหวที่ยังคงนิ่งเงียบ ไป๋ไช่โกรธจนอยากจะพูดอะไรออกมา แต่ถูกโก่วหานสือห้ามไว้
ถังซานสือลิ่วได้กลับไปที่นั่ง เขาหรี่ตามองไหวเหรินที่สงบนิ่งเสมอ ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง
“การกักตนเป็นเส้นทางที่โหดร้าย เป็นทางเลือกสุดท้ายของนักปราชญ์ หากมันมีค่าคู่ควรให้อิจฉาทำไมท่านอ๋องถึงได้ออกจากการกักตนเสียเล่า”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในที่ราบสูง
เสียงบนที่ราบสูงค่อยๆ เงียบลง ทำให้เสียงนี้ฟังชัดเจนมาก
มันเป็นเสียงที่สุขุมและเรียบเฉย แต่ก็เด็ดเดี่ยวอย่างหาใดเปรียบ
“หากเจ้าถามข้าว่าควรปิดอารามหรือไม่ คำตอบของข้าก็คือ ‘ไม่’ อย่างแน่นอน”
ไหวปี้โมโหกับคำพูดนี้และตะโกนออกมา “ใครพูดว่า ‘ไม่’ ”
“ข้า”
เฉินฉางเซิงลุกขึ้น เหลือบตามองนาง “เพราะไม่มีใครถามข้า ข้าจึงได้แต่พูดขึ้นมาเอง”
ที่ราบสูงแตกตื่น สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องมองเขา