ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 71 ใครจะยืนเบื้องหน้าเขา
“ตอนนี้หลักฐานทั้งหมดชี้ไปที่จูซา”
เปี๋ยยั่งหงมองไปที่เฉินฉางเซิงและกล่าว “ข้าขอให้องค์สังฆราชมอบนางให้กับข้า ข้าต้องการที่จะสอบถามนาง”
‘จูซา’ เป็นชื่อที่หวังจื่อเช่อตั้งให้กับมังกรดำน้อยเมื่อหลายปีก่อน
มันยังเป็นชื่อที่เปี๋ยยั่งหงกับยอดฝีมือคนอื่นในต้าลู่ใช้เรียกนาก
“ข้าไม่ได้ฆ่าเปี๋ยเทียนซิน แน่นอนว่าไม่ใช่จูซา”
เฉินฉางเซิงกล่าวกับเปี๋ยยั่งหง “นี่เป็นแผนร้าย ครั้งล่าสุดที่ข้าพบเปี๋ยเทียนซินก็คือในเมืองฮั่นชิว หากท่านไม่เชื่อคำพูดข้า ท่านไปสืบดูก็ได้ว่าใครอยู่กับเปี๋ยเทียนซินในช่วงไม่กี่วันมานี้”
เปี๋ยยั่งหงมองดูเขาอย่างใจเย็น ยากที่จะบอกได้ว่าเขารับฟังคำพูดนี้หรือไม่
โก่วหานสือกล่าว “ใช่แล้ว พี่ชายเป็นคนมีพรสวรรค์และมีตราประทับที่ผู้อาวุโสทั้งสองซึ่งแข็งแกร่งอย่างมากประทับเอาไว้ด้วยตัวเอง ความเป็นไปได้เดียวก็คือเขาถูกซุ่มโจมตีโดยยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถตัดขาดปราณได้… จากข่าวลือจูซายังไม่อาจที่จะหลุดจากผนึกของหวังจื่อเช่อดังนั้นนางย่อมไม่อาจที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้”
ดวงตาอู๋ฉยงปี้แดงก่ำ ไม่อยู่ในสภาพจิตใจที่จะรับฟังเหตุผล นางตะโกนเสียงแหลม “เจ้ามังกรชั่วไม่สามารถทำได้ แต่อย่าลืมว่าองค์สังฆราชมีไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์! นอกจากเจ้าแล้วใครที่จะมีความแค้นกับข้าและลูกชายอีก! ข้าแค่ถามว่าเจ้าจะมอบมังกรชั่วนั่นออกมาหรือไม่!”
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปแล้วก็ตอบ “ขอโทษด้วย คงยากที่ข้าจะทำตามคำสั่งนี้ได้”
อู๋ฉยงปี้ยิ้มอย่างโมโหแล้วตะโกน “เช่นนั้นก็อย่าโทษข้าว่าใช้ความรุนแรงกับเจ้าในวันนี้!”
มหามุขนายกประจำอารามแดนใต้หน้าเปลี่ยนไปกับคำพูดนี้ เขาก้าวออกมาสองก้าวยังขอบของแท่นยกและตะโกนกลับไป “บังอาจ! ใครกล้าข่มขู่องค์สังฆราช!”
อู๋ฉยงปี้กรีดร้องกลับไป “เพื่อความแค้นส่วนตัว เขาถึงกับใช้มังกรชั่วฆ่าคนบริสุทธิ์ คนเช่นนี้คู่ควรเป็นสังฆราชด้วยหรือ!”
ฝูงชนทั้งหมดแตกตื่นขึ้นมาด้วยคำพูดนี้ ทุกคนเข้าใจว่านางต้องการจะทำอะไร
อู๋ฉยงปี้ยืนกรานข้อเรียกร้องให้เฉินฉางเซิงนำตัวมังกรดำออกมา หากเฉินฉางเซิงไม่ยอมนางก็จะใช้เรื่องนี้โจมตีเขา
ในสายตานาง มังกรดำเป็นคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังการตายของลูกชายนาง เฉินฉางเซิงก็คือคนบงการ! นางย่อมไม่ปล่อยเขาไป!
ต่อให้นางต้องเป็นศัตรูกับนิกายหลวง ขัดแย้งกับผู้มีศรัทธาหลายล้านคนบนโลก นางก็ยังต้องฆ่าเฉินฉางเซิงเพื่อล้างแค้นให้ลูกชาย!
“ข้าอยากเห็นว่าจะมีใครปกป้องเจ้าในวันนี้!”
อู๋ฉยงปี้จ้องตาเฉินฉางเซิงและพูดอย่างชั่วร้าย “หากเจ้าไม่ยอมมอบมังกรดำออกมา เจ้าจะโดนถลกหนังฉีกเนื้อบ่นกระดูกแทนนาง!”
หากยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์สองคนโจมตีในเวลาเดียวกัน จะเป็นพลังที่น่ากลัวอย่างมาก
หากผู้ยิ่งใหญ่ของพระราชวังหลีกับของวิเศษคุ้มครองอยู่ เฉินฉางเซิงอาจไม่จำเป็นต้องกลัว ทว่าที่นี่คือยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ยอดฝีมือในระดับมหามุขนายกแห่งอารามแดนใต้กับฮู่ซานสือเอ้อร์นั้นด้อยกว่าอู๋ฉยงปี้กับเปี๋ยยั่งหงมาก แน่นอนว่าเซียงอ๋องกับยอดฝีมือในคณะทูตจากราชสำนักเข้าร่วมด้วย สถานการณ์จะเปลี่ยนไปอีกครั้ง ปัญหาก็คือทุกคนเห็นเงาของราชสำนักหลังเรื่องนี้ ต่อให้ไม่ใช่ ทำไมราชสำนักต้องช่วยพระราชวังหลีด้วย
“หวังผ้อ ไสหัวออกมา!”
อู๋ฉยงปี้ตะโกนไปที่ท้องฟ้าสีเทา เสียงของนางแหลมสูง “วันนี้เจ้ายังจะปกป้องเขาอีกไหม เจ้ายังมีหน้าปกป้องเขาอีกไหม!”
ผู้บำเพ็ญเพียรบนที่ราบสูงตกตะลึงอีกครั้งกับคำพูดนี้ วันนี้หวังผ้อมาที่นี่ด้วยหรือ ถ้าอย่างนั้นเขาอยู่ไหน
หากอู๋ฉยงปี้โจมตีเฉินฉางเซิงเพื่อล้างแค้นให้ลูกของนาง ด้วยนิสัยของหวังผ้อ เขาจะทำเช่นไร
เวลาผ่านไป แต่ท้องฟ้าก็ยังหม่นมัว ไม่มีใครปรากฏตัว ไม่มีใครตอบ
ดูเหมือนว่าหวังผ้อไม่ได้มาที่ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์วันนี้ คนมากมายบนที่ราบสูงนี่เป็นข่าวดี
หากเขาอยู่ที่ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แต่เลือกที่จะไม่ปรากฏตัว เช่นนั้นก็เป็นข่าวที่ดียิ่งกว่า
เพราะหมายความว่าเขาคิดว่าเฉินฉางเซิงควรมอบมังกรชั่วออกมา
สายตานับไม่ถ้วนละจากท้องฟ้าสีเทาและกลับมามองที่เฉินฉางเซิงบนแท่นยก แสดงอารมณ์ที่หลากหลาย
มีทั้งความยินดี กังวล เห็นใจและยังมีความรู้สึกโมโหอย่างมาก
อู๋ฉยงปีเริ่มเดินเข้าหาเฉินฉางเซิง ดวงตานางเย็นเยียบปานน้ำแข็ง แส้หางม้าเริ่มเคลื่อนไหวเอง ทำให้อากาศปั่นป่วนน่ากลัว
ฮู่ซานสือเอ้อร์ มหามุขนายกอารามแดนใต้ และนักบวชสิบกว่าคนอยู่ข้างกายเฉินฉางเซิงแล้ว
แค่พวกเขาจะสามารถต้านทานยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้หรือ
พวกสำนักต้นไหวนิ่งเงียบในขณะที่ศิษย์ของหลีสานมองหน้ากันอย่างพูดอะไรไม่ออก โก่วหานสือมีอารมณ์ขุ่นมัวในขณะที่ถังซานสือลิ่วมองไปทางเปี๋ยยั่งหงอย่างครุ่นคิด
มันเป็นอย่างที่อู๋ฉยงปี้พูดจริงหรือ ไม่มีใครที่จะปกป้องเฉินฉางเซิงได้อย่างนั้นหรือ
ที่แห่งนี้คือยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ หากจะมีผู้มีความสามารถเปลี่ยนสถานการณ์นี้ได้ ก็ย่อมเป็นสถานศึกษาหนานซี
นิกายหลวงได้แบ่งออกเป็นเหนือกับใต้ แต่เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ของศรัทธาในเต๋าเรื่องภายนอกนิกายพวกเขาก้าวเดินเคียงข้างกันเสมอมา
ในอดีต สถานศึกษาหนานซีต้องคุ้มครองความปลอดภัยของเฉินฉางเซิงเป็นแน่ เพราะเขาเป็นสังฆราช อย่างไรก็ตาม ด้วยเรื่องของการปิดอาราม สองฝ่ายขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ท่าทีของเฉินฉางเซิงแข็งกร้าวอย่างไม่เคยมีมาก่อน คาดว่าสถานศึกษาหนานซีหรืออย่างน้อยอาจารย์ย่าทั้งสามย่อมมีมุมมองต่างไปในเรื่องนี้
ดังที่คาด ตอนที่ผิงเซวียนกับอี้เฉินเตรียมที่จะพูดอะไร พวกนางก็ถูกขัดด้วยเสียงเย็น
“เมื่อเป็นผู้ต้องสงสัยในการฆาตกรรม มังกรชั่วนั้นก็ควรออกมาให้การ ต่อให้เป็นผู้พิทักษ์ของนิกายหลวงก็ตาม”
ไหวปี้มองไปที่เฉินฉางเซิงและกล่าว “หากพระองค์ยังคงปกป้องมันต่อไป ผู้คนก็อดสงสัยไม่ได้… ว่ามังกรชั่วนั่นทำตามคำสั่งของท่าน หากเป็นจริงท่านก็ขาดความชอบธรรม แล้วมีสิทธิ์อะไรมานั่งบัลลังก์สังฆราช ยังมีสิทธิ์อะไรที่จะอธิบายกฏของนิกาย เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของสถานศึกษาหนานซีข้า”
คำพูดของนางรุนแรงและมุ่งร้าย มันถอนสถานศึกษาหนานซีออกจากเรื่องนี้ทันทีและผลักเฉินฉางเซิงเข้าสู่ตำแหน่งที่เป็นฝ่ายรับอย่างเดียว
ได้ยินเช่นนี้ เยี่ยเสี่ยวเหลียนไม่อาจนิ่งเงียบอีกต่อไป นางถือว่าเฉินฉางเซิงเป็นแบบอย่างของนางคนหนึ่ง ไม่มีทางที่จะเชื่อเรื่องใส่ร้ายนี้ นางคว้ากระบี่พุ่งออกไปหน้าแท่นยกและตะโกนกับฝูงชนบนที่ราบสูงอย่างโมโห “องค์สังฆราชไม่ใช่คนเช่นนั้น!”
ไหวปี้ตะโกนด้วยเสียงดุดัน “ศิษย์ชั่ว เจ้าคิดจะทำอะไร!”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนไม่หันหน้ากลับไป
อู๋ฉยงปี้เดินเข้าไปช้าๆ กำลังและแรงกดดันยากบรรยายโถมทับใส่นาง
เยี่ยเสี่ยวเหลียนในตอนนี้อยู่ในขั้นทะลวงอเวจีระดับสูง เป็นความสำเร็จอันยอดเยี่ยมเมื่อเทียบกับเวลาที่นางบำเพ็ญเพียรมา ทว่านางจะเผชิญหน้ากับยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร
แม้ว่าอู๋ฉยงปี้จะยังอยู่ห่างไปร้อยกว่าจั้ง แม้ว่าอู๋ฉยงปี้ไม่ได้ตั้งใจจะกดดันนาง ใบหน้าของเยี่ยเสี่ยวเหลียนก็ซีดขาวในทันที มือของนางเริ่มสั่น
แต่นางไม่ยอมแพ้ ไม่นานจากนั้นศิษย์สถานศึกษาหนานซีหลายคนก็พุ่งออกมาหน้าเฉินฉางเซิง
เห็นภาพนี้ แม้แต่ผิงเซวียนที่ก้มหน้ามาตลอดนับจากตอนที่ถูกถามเรื่องการปิดอารามก็เงยหน้าขึ้นในที่สุด
นางรู้ดีว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จะทำเช่นใด
นางประกาศ “ก่อตั้งค่ายกลกระบี่!”
เสียงแตกร้าวนับไม่ถ้วนดังก้องเทือกเขา
ประกายกระบี่นับไม่ถ้วนส่องสว่างท้องฟ้ามืดหม่น
เด็กสาวหลายสิบคนพุ่งมาตรงหน้าเฉินฉางเซิง และก่อตั้งค่ายกลกระบี่ที่ชื่อเสียงโด่งดังของสถานศึกษาหนานซี
เหมือนกับบนหานซาน เหมือนกับในสำนักฝึกหลวง