ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 74 ยอมแพ้หรือยอมจำนน
ผู้นำตระกูลชิวซานตกตะลึงอยู่บ้างและกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าคนที่วางกับดักนี้เป็นใครแต่ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
ชิวซานจวินวางปลาย่างไว้บนก้อนหินและอธิบายอย่างจริงจัง “ท่านพ่อ เป็นเช่นนี้ หากแผนนี้สำเร็จ จะไม่ได้หมายความว่าเฉินฉางเซิงโง่มากอย่างนั้นหรือ”
ผู้นำตระกูลชิวซานตอบ “บางทีเฉินฉางเซิงอาจมีพรสวรรค์ในการฝึกกระบี่และการบำเพ็ญเพียร แต่ในแง่ของกลยุทธเขาไม่คู่ควรจะถือรองเท้าให้เจ้าด้วยซ้ำ”
ชิวซานจวินพูดอย่างช่วยไม่ได้อยู่บ้าง “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นไปบนภูเขา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่ท่านพ่อจะต้องใช้วิธีนี้มาถ่วงเวลา”
ผู้นำตระกูลชิวซานยิ้มกว้างจนถึงใบหูและกล่าว “โง่เง่า”
นี่คือคำตอบของคำถามก่อนหน้านี้
ชิวซานจวินกล่าว “เป็นที่รู้ไปทั่วว่าโหย่วหรงรักเฉินฉางเซิง หากเฉินฉางเซิงเป็นคนโง่เขลาหยาบคาย นี่ไม่ได้หมายความว่าโหย่วหรงโง่มากหรอกหรือ”
ผู้นำตระกูลชิวซานครุ่นคิดกับคำถามนี้แล้วตอบ “ข้อสรุปนี้ไม่ค่อยมีเหตุผลนัก แต่ก็พูดได้ว่าอาจมีบางคนคิดเช่นนี้จริงๆ”
ชิวซานจวินกล่าวต่อ “นั่นก็พอแล้ว หากโหย่วหรงโง่มากแล้วข้าเล่า คนที่รักนางไม่ยิ่งโง่เข้าไปใหญ่หรือ”
ผู้นำตระกูลชิวซานรู้สึกไร้เรี่ยวแรงจะเถียง เขากล่าว “ต่อให้เจ้าต้องการช่วยเฉินฉางเซิงทำลายกับดักนี้ เจ้าก็ไม่มีหลักฐาน เจ้าคิดจะทำแบบตอนที่อยู่ในเมืองเวิ่นสุ่ยและใช้ชื่อเสียงของเข้าอย่างนั้นหรือ มันไม่ง่ายที่จะสร้างชื่อเสียงขึ้นมานะ! เจ้าไม่อาจเสียมันไปเพราะเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ และเจ้าหมอนั่นก็เป็นคู่แข่งของเจ้า”
ชิวซานจวินหัวเราะและไม่พูดอะไรอีก มุ่งความสนใจไปที่การกินปลาย่าง
……
……
บนปลายยอดของยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ แสงสว่างสาดส่องไปทั่ว สายลมอ่อนโยนพัดต้องเถาวัลย์บนผนังหิน ทำให้มันสั่นไหว ไม่นานป่าเขียวชอุ่มก็เริ่มสั่นไหวเช่นกัน ครั้นพวกอสูรวิญญาณพุ่งออกมาจากพุ่มไม้และต้นสน เบิกตาสีดำแวววาวและมองไปที่ผนังหิน ก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างที่สำคัญมากกำลังจะเกิดขึ้น นกหายากจำนวนมากเริ่มบินออกมาจากยอดเขาเขียวชอุ่มของเทือกเขาลั่วเหมยและบินวนรอบยอดเขา กลายเป็นเส้นสายอันงดงาม
ในถ้ำลึกเข้าไปหลังผนังหิน ผลึกแก้วกระจายออกราวกับทรายบนพื้น ส่องแสงประกายระยิบระยับ เตียงที่สลักขึ้นจากหยกก็สะดุดตายิ่งกว่า อย่างไรก็ตามที่สะดุดตาที่สุดก็ยังเป็นสาวงามที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหยก
สวีโหย่วหรงหลับตาทำสมาธิ ผิวนางขาวประดุจดังหิมะบริสุทธิ์ ดูอ่อนบางราวกับจะขาดได้แค่สัมผัส ใต้แสงสะท้อนของผลึกแก้วก็แทบจะดูโปร่งใส ขนตาละเอียดอ่อนบนดวงเนตรงดงามเฉกใบไม้แรกผลิของต้นการบูรบนหน้าผา
ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ บางทีอาจตอนที่สายลมแผ่วเบาพัดต้องเถาวัลย์บนผนังหิน ขนตาละเอียดอ่อนของนางก็สั่นพลิ้ว จากนั้นนางก็ลืมตาขึ้น ตอนแรกดวงตาทั้งสองดวงยังมีประกายความสับสน ดูเหมือนเด็กน้อยที่ทั้งไร้เดียงสาทั้งสัตย์ซื่อ
เวลาผ่านไปราวกับสายน้ำราดลดร่างกายและจิตใจ ความสับสนในดวงตาของนางก็ค่อยๆ จางลง กลับคืนสู่ความสงบเฉยชา ราวกับฝนโปรยปรายเหนือภูเขาและป่าในช่วงชิงหมิง เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายสดชื่น แค่ได้เห็นก็ไม่อยากจากไป
สายตาของนางเหลือบไปที่ถาดดาวโชคชะตาตรงหน้า วงโคจรซับซ้อนของดวงดาวบนถาดดาวโชคชะตาเริ่มเคลื่อนไหว รวมตัวและกระจายออก ในเวลาอันสั้นมันก็สร้างแผนที่ดวงดาวสามสิบกว่าชุด พื้นที่สุดท้ายของทะเลดวงดาวชี้ไปที่อันตรายและลึกลับที่สุด
นางเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและเคลื่อนสายตาไปที่แจกันดอกไม้ด้านขวา
มันเป็นดอกไม้ที่มีสีสันฉูดฉาดมาก ดอกไม้สีแดงดอกใหญ่ดูโดดเด่นเลิศล้ำท่ามกลางใบไม้สีเขียวอ่อนโยน ใบไม้เขียวตัดกับดอกไม้แดงน่าจะเป็นภาพงดงามที่เห็นได้ทั่วไป แต่เพราะล้วนอยู่ในระดับที่สูงมาก ความงามของดอกไม้จึงมีระดับที่สูงยิ่งกว่า เป็นภาพที่ถึงกับซ่อนกฎเกณฑ์ของโลกเอาไว้ทำให้คนเห็นต้องหวั่นไหว
ความธรรมดาที่ถูกยกระดับขึ้นไม่ได้หมายความว่าจะเป็นความงามที่ยิ่งใหญ่ ในหลายครั้งมันไม่อาจเป็นได้ หากทำได้สำเร็จก็มีความหมายเดียว เต๋ายิ่งใหญ่อยู่ไม่ไกลแล้ว
เมื่อนางมองไปที่ใบไม้เขียวและดอกไม้แดง สวีโหย่วหรงมีสีหน้าที่สับสนบนเป
ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ไล่อารมณ์ทั้งมวลออกไป เหลือไว้แค่ความสงบเฉยชา
นี่คือความหมายของคำว่าหนักแน่นไม่หวั่นไหวอย่างแท้จริง
แต่นางอดที่จะรู้สึกเสียใจอยู่บ้างไม่ได้
นางยิ้มจาง “น่าเสียดายที่ไม่อาจเบ่งบานเต็มที่”
……
……
พิธีปิดอารามไม่ได้จัดบนยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ หากแต่เป็นที่ราบสูงซึ่งห่างไปสิบกว่าลี้
ตอนที่ชิวซานจวินกินปลาย่างอยู่นั้น ตอนที่เฉินฉางเซิงชมดอกไม้และทำความเข้าใจเต๋า เฉินฉางเซิงก็เผชิญหน้ากับการสอบสวนที่อันตรายที่สุด
ทุกคนในตอนนี้เชื่อว่าจี๊ดจี๊ดฆ่าเปี๋ยเทียนซิน เขาย่อมรู้ว่าไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่เขาไม่มีหลักฐาน ไม่อาจเรียกจี๊ดจี๊ดมาให้การด้วยซ้ำ ดังนั้นหลายคนจึงคิดว่าเขาแสดงความรู้สึกผิดออกมา พิสูจน์ว่าเขาเป็นตัวการในการสังหารบนแม่น้ำที่แท้จริง
ศิษย์สถานศึกษาหนานซีได้ตั้งค่ายกลกระบี่และยืนปกป้องเขาอยู่ด้านหน้า คาดว่ายังมีบางคนที่ต้องการจะสนับสนุนเขา อย่างโก่วหานสือและศิษย์สำนักกระบี่หลีซานหรือสำนักต้นไหว แต่เมื่อเทียบกับตัวแทนราชสำนักอย่างเซียงอ๋องและสำนักที่ทำตามคำสั่งของราชสำนักแล้ว พวกเขามีจำนวนน้อยกว่ามาก ที่สำคัญฝ่ายตรงข้ามของเขาในครั้งนี้คือเปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้ สองยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งคู่ยังเต็มไปด้วยความเศร้าจากการตายของบุตรชาย ไม่สนใจถึงฐานะของเขา
แล้วเฉินฉางเซิงจะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้อย่างไร เขาต้องใช้ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีปกป้องในขณะที่เขาต้องใช้ความโกลาหลหนีไปอย่างนั้นหรือ ไม่ว่าค่ายกลกระบี่จะแข็งแกร่งเพียงใดมันก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีพร้อมกันของเหล่ายอดฝีมือได้เป็นเวลานาน โดยเฉพาะจำนวนคู่ต่อสู้ในวันนี้
ทุกคนต้องการที่จะรู้ว่าเขาเลือกเช่นใด คาดเอาอยู่ในใจตลอดเวลา
แต่ตัวเลือกของเขาทำให้ทุกคนประหลาดใจ
เฉินฉางเซิงมองไปยังเปี๋ยยั่งหงและกล่าว “ข้าเข้าใจว่าหลักฐานทั้งหมดชี้มาที่ข้ากับจูซา แต่ตัวข้าย่อมรู้ดีว่าเรื่องนี้นางไม่ได้ทำ ยิ่งไม่ใช่คำสั่งของข้า อย่างไรก็ตาม ข้ายินดีจะไปกับท่าน จนกว่าเรื่องนี้จะได้รับการสืบสวนจนเสร็จสิ้น ข้าจะอยู่กับท่านตลอด”
ตัวเลือกนี้น่าตกใจจนคนมากมายพูดอะไรไม่ออก
ที่ตามมาไม่ใช่การกระทำง่ายๆ แต่หมายความว่าเขาได้ยอมแพ้และมอบชีวิตเอาไว้ในมือของเปี๋ยยั่งหง
สำหรับสังฆราช นี่ย่อมเป็นเรื่องน่าอับอายอย่างยิ่ง และที่สำคัญหากเปี๋ยยั่งหงฆ่าเขาล่ะ
มหามุขนายกจากอารามแดนใต้สีหน้าเปลี่ยนไปในทันทีกล่าวด้วยเสียงสั่นเทา “พระองค์ทำเช่นนี้ไม่ได้”
ผิงเซวียนกับศิษย์สถานศึกษาหนานซีคนอื่นก็ตกใจเช่นกัน คิดในใจ นี่จะยอมรับได้อย่างไร ฮู่ซานสือเอ้อร์แสดงความไม่พอใจออกมา ในฐานะมหามุขนายก เขาไม่อาจที่จะปล่อยให้ความปลอดภัยของสังฆราชตกอยู่ในมือของผู้อื่น อย่างไรก็ตามถังซานสือลิ่วกับโก่วหานสือยังคงนิ่งเงียบ
ในบรรดาคนที่อยู่ที่นี่ ถังซานสือลิ่วกับโก่วหานสือเป็นคนที่เข้าใจเฉินฉางเซิงมากที่สุด
พวกเขารู้ว่าเฉินฉางเซิงไม่ยอมให้ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เกิดแม่น้ำเลือดขึ้นมาในวันนี้และทำให้เกิดการตายนับไม่ถ้วนเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ดังนั้นหากเขาต้องการจะแก้ไขปัญหานี้ นี่เป็นทางเดียวเท่านั้น แค่ไม่มีใครรู้ว่าการเลือกมอบตัวให้เปี๋ยยั่งหงนั้นเป็นความเสี่ยงที่นำมาซึ่งความสำเร็จหรือเป็นการพนันอันโง่เขลากันแน่
เปี๋ยยั่งหงมีนิสัยสุขุมรอบคอบและเป็นคนที่มีเกียรติ แต่เขาก็ยังเป็นพ่อคน ความตายของลูกชายจะทำให้เขากลายเป็นบ้าขึ้นมาหรือไม่