ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 8 พืชน้ำที่ก้นแม่น้ำเวิ่นสุ่ย
ลมพลันหยุดพัด และเมฆบดบังอาทิตย์อัสดง ราตรีดูเหมือนจะมาถึงเร็วขึ้น แสงสีทองบนผิวน้ำค่อยๆ หม่นมัวลง
ในเวลาอันสั้น สองฝั่งแม่น้ำเวิ่นสุ่ยก็เย็นลงและกลิ่นอายชั่วร้ายซึมเข้าสู่โซ่และประตูบ้านที่ปิดแน่น
หลัวปู้นั่งบนชั้นสองของร้านอาหาร เมื่อเขาฟังทำนองของนักดนตรีตาบอด เขาก็หลับตาลงช้าๆ มือขวาตกลงที่ด้ามกระบี่และลูบคลำมันเบาๆ
แม้เขาไม่มีความมั่นใจว่าจะสู้กับความแข็งแกร่งยากหยั่งถึงของตระกูลถังได้ ในอดีตอย่างมากเขาก็ส่งคำเตือนไป แต่ตอนนี้เขาต้องการจะลองดู
เพราะในอดีต กระบี่ที่เขาใช้เป็นกระบี่สัมฤทธิ์ที่เขาหลอมสร้างขึ้นในหมู่บ้านตีนเขาด้วยเงินสองพวง แต่ตอนนี้เขาใช้กระบี่ที่ต่างไป
ด้วยกระบี่ในมือเขาสามารถก้าวเดินไปท่ามกลางหญ้าน้ำค้างแข็งราวกับกระบี่ เหลี่ยนร่างกายให้เป็นกระบี่ แม้ยามเผชิญหน้ากับยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ยังมั่นใจว่าดวงจิตยังสว่างเจิดจ้า
เขาหลับตา ฟังเสียงดีดฉินจากด้านล่าง ฟังเสียงน้ำกระทบฝั่ง ฟังเสียงโซ่กระทบกับผิวน้ำ สัมผัสทุกสิ่งในโลก
ทันใดนั้นหูของเขาก็กระดิก
เขาลืมตาขึ้นและมองข้ามแม่น้ำไป สายตาล้ำลึก มองไปยังที่ซึ่งอยู่ลึกเข้าไป ในที่สุดก็มองไปถึงพืชน้ำ
เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกประหลาดเกี่ยวกับพืชน้ำนี้ มันมีสีเข้มกว่าพืชโดยรอบ แต่ก็ไม่มีอะไรพิเศษอื่นอีก
ในตอนนี้ นักดนตรีตาบอดริมแม่น้ำก็ดูเหมือนจะได้ยินบางอย่าง หันหน้าไปทางแม่น้ำเวิ่นสุ่ยเละดูเหมือนจะลืมเคลื่อนไหวมือไป
เสียงฉินหยุดลงอย่างฉับพลัน
บรรยากาศประหลาดสองฝั่งแม่น้ำก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
เรือรบบนลำน้ำล่าถอยไปเงียบๆ
บ้านสองหลังว่างไปอย่างสิ้นเชิง
คลื่นพลังปราณในป่าหายไป
ผู้พิทักษ์ตระกูลถังกับผู้ติดตามตรงหน้าหอกลายเป็นเงียบงันยิ่งกว่าเดิม
มีแต่พ่อค้าเจ็ดคน คนงานทางการหกคน หมอดูสามคน สองผู้เฒ่าขายขนมงาและเด็กสาวที่ซื้อเครื่องแป้งยังอยู่บนถนนราวกับว่าพวกเขาไม่เคยจากไป
ประตูหอถูกผลักออกและประมุขรองตระกูลถังก็เดินออกมา สีหน้าไม่น่าดู
เขาไม่ได้มองไปที่ราชันแห่งหลิงไห่กับอันหลิน
การตายของนักพรตไป๋สือหมายความว่าจุดยืนของนิกายหลวงหนักแน่นผิดปกติและไม่อาจเปลี่ยนได้
ในตอนที่เขาเดินไปตามทางหิน เขาก็เห็นเจ๋อซิ่วยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
ประมุขรองตระกูลถังรู้ว่าเขาต้องการจะพูดอะไรและกล่าวอย่างเรียบเฉย “ไม่ง่ายเลยกว่าที่เจ้ามีชีวิตมาถึงวันนี้ได้ อย่าได้พูดอะไรตามใจ”
เจ๋อซิ่วตอบกลับไปอย่างไม่แยแส “คนอ่อนแออย่างเจ้ามีชีวิตถึงวันนี้ได้กลับยากเย็นยิ่งกว่า”
ประมุขรองตระกูลถังเลิกคิ้วขึ้นช้าๆ สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ในใจเขานั้นโมโหจนเกินจะเชื่อได้
ปีนั้นบนถนนหิมะในจิงตู หวังผ้อเคยพูดกับเขาว่าตอนที่เขาละทิ้งการบำเพ็ญตนและเริ่มเรียนรู้การวางแผนร้าย ตอนที่เขาเริ่มไล่ล่าอำนาจ เขาก็กลายเป็นคนอ่อนแอไปแล้ว
วันนี้เขาได้ยินคำประเมินแบบนี้อีกครั้ง และคนที่ประเมินก็เป็นผู้เยาว์คนหนึ่ง
ยิ่งเขาโมโหมากขึ้น เขาก็ยิ่งดูเรียบเฉยมากขึ้น เขามองไปที่เจ๋อซิ่วและถาม “เจ้ามีความหวังก่อนตายหรือไม่”
เจ๋อซิ่วไม่ได้ตอบคำถาม กล่าวว่า “อย่าได้ทำการลับต่อเจ้าหมอนั่น”
ประมุขรองตระกูลถังจ้องไปในดวงตาของเขาและกล่าว “อันที่จริง ข้าไม่เคยเข้าใจว่าลูกหมาป่าอย่างเจ้ากลายเป็นเพื่อนของลูกล้างผลาญได้อย่างไรกัน”
“พวกเราไม่ใช่เพื่อนกัน”
เจ๋อซิ่วหยุดไปก่อนที่จะกล่าวต่อ “เขาเป็นนายจ้างของข้า ดังนั้นอย่าได้แตะเขา”
……
……
คนของตระกูลถังได้หนีไปหมดแล้ว ความมืดมิดปกคลุมสองฝั่งแม่น้ำเวิ่นสุ่ยที่เงียบงันอย่างยิ่ง
เฉินฉางเซิงเดินไปที่ริมน้ำ ราชันแห่งหลิงไห่กับพวกืนอยู่สองข้างของเขา หนานเค่อทำตามคำสั่งของเขาและอยู่ในอารามต่อไป
แสงดาวส่องเหนือน้ำ ทำให้มันดูเหมือนมีเกล็กสีเงินนับไม่ถ้วน แม้แต่ดวงตาที่ดีที่สุดก็ยังยากที่จะมองออกว่าเกิดอะไรขึ้นใต้ผิวน้ำ อย่าว่าแต่พืชน้ำที่อยู่ลึกมาก
ประมุขของสาขาหลักตระกูลถัง บิดาของถังซานสือลิ่ว สุขภาพไม่ดีตลอดมาและช่วงไม่กี่ปีมานี้ สุขภาพเขาก็ย่ำแย่ลง หลายคนในต้าลู่รู้เรื่องนี้รวมถึงเฉินฉางเซิง ไม่มีใครเคยสงสัยในเรื่องนี้ แม้แต่ถังซานสือลิ่วก็ไม่เคยพูดถึงในจดหมาย
แต่หลังจากได้ยินคำพูดของประมุขรองตระกูลถังวันนี้ เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
“แม้ว่าไม่มีใครเคยสามารถระบุได้ว่ามันเป็นอาการป่วยแบบใด แต่ก็ยืนยันแล้วว่าไม่ใช่พิษ”
มหามุขนายกอันหลินกล่าวต่อ “ทั้งกระทรวงสิบสามชิงเหย้าและสถานศึกษาหนานซีส่งคนไปรักษาเขาแล้ว”
มหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยมองไปที่เฉินฉางเซิงและกระซิบ “รายงานองค์สังฆราช ก่อนที่สถานศึกษาหนานซีจะปิดอาราม…คนผู้นั้นได้มา”
การปิดอารามก็คือการกักตัว ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ มีเพียงการกักตัวเดียวเท่านั้นที่จำเป็นต้องเอ่ยถึงเป็นพิเศา ดังนั้นคนที่เขาพูดถึงย่อมชัดเจนอย่างยิ่ง
อันหลินดูตกตะลึงในขณะที่ราชันแห่งหลิงไห่ขมวดคิ้วเล็กน้อย พระราชวังหลีไม่รู้เรื่องนี้เลย
เฉินฉางเซิงกลับประหลาดใจยิ่งกว่า คิดในใจ ทำไมนางไม่บอกข้า
มหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยกระซิบ “คนผู้นั้นไม่อนุญาตให้เราพูดถึงเรื่องนี้”
หากประมุขสาขาหลักตระกูลถังไม่ได้ป่วย แต่เป็นถูกวางยาพิษ ถ้าอย่างนั้นเลือดแท้หงส์สวรรค์ย่อมรักษาได้
สวีโหย่วหรงน่าจะคิดแบบเดียวกันนี้
การที่ประมุขสาขาหลักยังนอนติดเตียงและดูเหมือนจะไม่ดีขึ้นย่อมหมายความว่าเขาไม่ได้ถูกพิษแต่ป่วย
การเปลี่ยนท่าทีของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังน่าจะเป็นผลโดยตรงมาจากเรื่องนี้
เฉินฉางเซิงรู้ว่าทำไมสวีโหย่วหรงถึงมา นางรู้ว่าถังซานสือลิ่วเป็นเพื่อนรักของเขา และเขารู้สึกขอบคุณนางอย่างมากในการกระทำนี้
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขายังตัดสินใจว่าจะไปเยี่ยมสาขาหลักวันพรุ่งนี้
มันไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อความสามารถของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าหรือสวีโหย่วหรง เพียงแค่เขาต้องการจะเห็นว่าหากเขาพึ่งพาทักษะการแพทย์ของตัวเองเปลี่ยนผลลัพธ์อันน่าเศร้าของผู้อาวุโนคนนี้ได้หรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นเขามีความรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่เห็น คำพูดประมุขรองตระกูลถังและการที่เขาพบตัวประหลาดน้อยในโรงเตี๊ยมหลิวซู่เมืองฮั่นชิวทำให้เขาเกิดความขุ่นข้องสงสัย
“สืบเรื่องศิษย์พรรคฉางเซิงที่ชื่อฉูซู คนผู้นี้บำเพ็ญตนด้วยวิธีที่แปลกประหลาดอย่างมาก ไม่ว่าพวกเขาจะปกปิดอย่างแข็งขันเพียงใด ก็ต้องมีคนได้ยินมาบ้าง”
เขาออกคำสั่งราชันแห่งหลิงไห่ก่อนแล้วกล่าวกับอันหลิน “เขียนจดหมายด่วนถึงสถานศึกษาหนานซีถามว่าพวกเขาได้ผลลัพธ์เรื่องที่ข้าขอให้สืบบ้างหรือไม่”
อันหลินไม่รู้ว่าที่เขาเขียนถึงสถานศึกษาหนานซีคือเรื่องใด จึงถามด้วยความสับสน “เรื่องใดถึงเร่งด่วนเช่นนั้น”
เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าต้องการรู้ว่าการสืบทอดของวิชาสายธารนรกภูมิจบลงที่ไหน มันยังคงอยู่ในแดนใต้หรือไม่”
ราชันแห่งหลิงไห่เชื่อมโยงเรื่องนี้กับการบำเพ็ญตนแปลกประหลาดของศิษย์พรรคฉางเซิงที่ชื่อฉูซูสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที
อันหลินก็หน้าซีดไปเช่นกัน พึมพำกับตัวเอง “พรรรฉางเซิงกล้าทำเรื่องบ้าคลั่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“ข้าไม่มีข้อพิสูจน์” เฉินฉางเซิงหยุดจากนั้นก็หันไปทางมหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ย “ให้คนไปสืบว่าตระกูลถังมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่”
ทั้งสามแยกย้ายกันไปทำตามคำสั่ง
กวนเฟยไปถือกระบี่เดินออกจากอารามเต๋า
เขาไม่ได้มาเพื่อสนทนากับเฉินฉางเซิง แค่รู้สึกว่าในตอนนี้เฉินฉางเซิงไม่ควรอยู่อย่างไร้การคุ้มครองเท่านั้นเอง
เฉินฉางเซิงมองไปยังแม่น้ำที่อาบไปด้วยแสงดาวอย่างครุ่นคิด
เขาไม่มีหลักฐานจริงๆ เบาะแสเดียวของเขาก็คือคำพูดของราชามารที่พูดบนเทือกเขา
ราชามารพูดชัดเจนว่านักสร้างค่ายกลหนุ่มเป็นตัวประหลาดน้อยจากพรรคฉางเซิงที่ชื่อฉูซูนั้นทำตามคำสั่งของซางสิงโจวกับตระกูลถัง
ตอนเช้าตรูในเมืองฮั่นชิวที่เขากับหนานเค่อพบเจอกับตัวประหลาดจากนรกภูมิในครัว ร่างกายปกคลุมไปด้วยพิษและความชั่วอย่างที่สุด เขาไม่ได้คิดถึงบทสนทนานั่น หลังจากนั้นเขาจึงนึกถึงคำพูดของราชามารและเชื่อมโยงสองเรื่องนี้เข้าด้วยกัน ปัญหาก็คือคำพูดของราชามารไม่อาจนับเป็นหลักฐาน ทุกคนรู้ว่าเขาอาจจงใจสร้างความขัดแย้งขึ้น
เมื่อเฉินฉางเซิงครุ่นคิดถึงปัญหานี้ เขาก็ไม่รู้ว่าลึกลงไปใต้น้ำสีเงิน ต้นพืชน้ำส่ายไหวเล็กน้อย สีของพื้นน้ำนี้แตกต่างไปจากพื้นน้ำโดยรอบ ทันใดนั้นมันก็แยกจากพื้นดินก้นแม่น้ำและค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ก้อนหินริมฝั่ง ดูเหมือนกับก้อนโคลนในแม่น้ำ ไม่ส่งเสียงอันใด