ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 82 ดาบฟันลง ชุดน้ำเงินเปียกชุ่ม
ที่ราบสูงนิ่งเงียบอย่างฉับพลัน
นับจากตอนที่เปี๋ยยั่งหงโจมตี ทุกคนไม่ว่าจะเป็นศิษย์สถานศึกษาหนานซี โก่วหานสือหรือฮู่ซานสือเอ้อร์หยุดลงไม่ว่าจะเป็นห่วงกังวลขนาดไหน
เปี๋ยยั่งหงได้ท้าเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรง ซึ่งหมายความว่าเขายอมรับว่าเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงสามารถร่วมมือกันต่อสู้กับยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้
เมื่อเป็นการต่อสู้อย่างเสมอภาคกัน ก็ต้องให้ความเคารพ
ด้ายถูกตัดขาดไปแล้ว เหลือแค่ไม่กี่นิ้วที่ยังอยู่กับนิ้วก้อยของเปี๋ยยั่งหง ดอกไม้แดงลอยอยู่กลางอากาศ ดูราวกับจอกแหนไร้รากดูเปราะบางน่าสงสารอยู่บ้าง
ว่าตามเหตุผล เมื่อกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเปี๋ยยั่งหงถูกทำลาย ฝูงชนย่อมมองเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงอย่างคาดหวังยิ่งขึ้น
แต่หลังจากเห็นหมัดของเปี๋ยยั่งหง ใครจะกล้าตัดสินอีก
ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเปี๋ยยั่งหงได้ใช้พลังของเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์และประสบการณ์มากมายเพื่อแบ่งแยกเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรง
ตอนนี้เฉินฉางเซิงบาดเจ็บหนัก หากเขาไม่อาจใช้เพลงกระบี่ประสานรวมกับสวีโหย่วหรง เขาจะฝืนอยู่ได้นานแค่ไหน
ทุกคนมองไปอย่างกระวนกระวาย อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ตอนนั้นเองที่มีบางอย่างไม่คาดคิดเกิดขึ้น
มีคนลอบโจมตีเฉินฉางเซิง
คนผู้นั้นเป็นยอดฝีมือที่อยู่ระดับสูงสุดของขั้นรวบรวมดวงดาว
ขุนพลเทพอันดับสองของต้าโจว ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาว!
เสียงคำรามอย่างเย็นเยียบและเกรี้ยวกราดดังสะท้อนไปทั่วที่ราบสูง
ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวพุ่งเข้าใส่ด้านหลังของเฉินฉางเซิง มือทั้งสองจับทวนพร้อมแทงใส่เฉินฉางเซิง!
ทวนพุ่งผ่านอากาศ เปี่ยมไปด้วยพลังและความโหดเหี้ยม มันดูเหมือนจะจงใจแทงตรงเข้าใส่ร่างของเฉินฉางเซิง ถึงกับอยากปักเขาเอาไว้กับพื้น!
เฉินฉางเซิงได้รับบาดเจ็บสาหัสและกำลังมึนงง เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ฟื้นตัวจากหมัดสะท้านฟ้าของเปี๋ยยั่งหง
การโจมตีของขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวเป็นทวนที่อัดแน่นไปด้วยการบำเพ็ญเพียรชั่วชีวิตของเขา หากทวนสามารถทะลวงผ่านการป้องกันของเฉินฉางเซิง ก็ย่อมพุ่งตรงเข้าสู่แดนลี้ลับของเขา
ในตอนนี้ แม้แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ฟื้นจากความตายหรือหวังจื่อเช่อพลันปรากฏตัวขึ้น เขาก็ยังยากจะรอดไปได้
ในตอนนี้ ใครจะแก้ไขสถานการณ์ได้
……
……
ดาบเล่มหนึ่ง
ร่วงลงมาจากท้องฟ้า
นี่คือคำตอบ
ดาบนี้ไม่สนระยะห่างระหว่างฟ้าดิน ตกลงจากท้องฟ้าสู่ที่ราบสูงโดยตรง ฟันใส่ศีรษะขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวอย่างอาจหาญ!
เห็นดาบนี้ทุกคนบนที่ราบสูงตระหนักว่าใครมาและอ้าปากด้วยความตกใจ
เทียนเหลียงหวังผ้อ!
……
……
เซียงอ๋องหรี่ตาในขณะที่มือตบพุงตุ้ยนุ้ยที่ยื่นออกจากเข็มขัดเบาๆ เขาไม่ได้โจมตีดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างอยู่
เขาเคยพบกับหวังผ้อเมื่อหลายวันก่อนบนภูเขาจีหมิงนอกเมืองเวิ่นสุ่ยและเขาก็คาดไว้แล้วว่าจะได้พบกันอีกวันนี้
มีหลายคนที่เป็นเหมือนเซียงอ๋อง กำลังรอให้หวังผ้อปรากฎตัว
อู๋ฉยงปี้เป็นหนึ่งในนั้น ในตอนแรกก่อนที่นางจะโจมตีเฉินฉางเซิง นางก็ได้ตะโกนใส่ท้องฟ้าอย่างฉุนเฉียว
ในที่สุดหวังผ้อก็มาแล้ว
เขามาจริงๆ!
อู๋ฉยงปี้เตรียมรับการมาถึงของหวังผ้อตลอดเวลา
นางไม่รู้ว่าทำไมขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวจะพลันลงมือโจมตีเฉินฉางเซิง ทว่านางไม่สน
ตราบใดที่เฉินฉางเซิงตาย นางไม่สนว่าใครเป็นคนฆ่า
นางกระโดดขึ้นกลางอากาศพร้อมกับเสียงกรีดร้องแหลมสูง แส้หางม้าในมือนางเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งการดับสูญ พุ่งไปรับดาบนั้น
ในเวลาเดียวกัน แขนเสื้อของนางก็ปลิวขึ้น ประหนึ่งมังกรทะยานพยายามพัวพันดาบเอาไว้
ในตอนนี้นางผลักดันการบำเพ็ญเพียรไปจนถึงขีดสุด วางชั้นป้องกันกว่าร้อยชั้นไว้รอบดาบนี้!
นางรู้ดีว่านางไม่ใช่คู่มือของหวังผ้อ อย่างมากนางก็ทำได้แค่ป้องกันดาบไว้ชั่วขณะหนึ่ง
แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เพียงพอแล้ว!
นางมั่นใจว่าขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวจะสามารถฆ่าเฉินฉางเซิงได้ในชั่วขณะนี้
แม้ว่าเฉินฉางเซิงยังมีของวิเศษซ่อนไว้ นางก็มั่นใจว่าสามีนางจะสามารถล้มสวีโหย่วหรงได้อย่างรวดเร็วแล้วมาฆ่าเฉินฉางเซิง!
……
……
สถานการณ์บนที่ราบสูงเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนดูเสมือนลำแสง นอกจากพวกที่เกี่ยวข้องโดยตรงแล้ว ไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น อย่าว่าแต่เข้าไปยุ่งด้วยเลย
ไม่มีใครสังเกตชายที่ดูไม่โดดเด่นอย่างยิ่งซึ่งเคลื่อนไหวอย่างซ่อนเร้นเข้าใกล้การต่อสู้เข้ามาสิบกว่าจั้ง
และไม่มีใครสังเกตเห็นว่าที่มุมหนึ่งของที่ราบสูง ท่ามกลางผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักเล็กๆ ในแดนใต้ คนชุดน้ำเงินสวมหมวกไผ่สานได้เงยหน้าขึ้นมองฟ้า
ในตอนนั้นเฉินฉางเซิงยังอยู่กลางการล่าถอย ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวก้าวออกมาครั้งแรกและสวีโหย่วหรงก็ง้างธนูถง
คนที่สวมหมวกไผ่สานไม่ได้มองไปที่การต่อสู้สะท้านขวัญ หากแต่มองไปที่ท้องฟ้า
ตอนนั้นท้องฟ้าไม่มีสิ่งใด
ในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรพันกว่าคนบนที่ราบสูง คนชุดน้ำเงินเป็นคนแรกที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า แม้แต่เซียงอ๋องก็ยังช้ากว่าเล็กน้อย
เขายืนใต้ต้นไม้ ในสายตาของเขา ท้องฟ้าได้ถูกแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ นับไม่ถ้วน แต่เขามองไปที่ส่วนใดกัน
น่าจะเป็นส่วนของท้องฟ้าที่ดูคล้ายกับดาบ
เขาสัมผัสได้ว่าหวังผ้อมาถึงในที่สุด
มีแต่คนที่อยู่ใกล้กับเขามากๆ จึงจะเห็นว่าคนชุดน้ำเงินสวมหน้ากากทองแดงไว้ใต้หมวกไผ่สาน
หน้ากากทองแดงนี้ดูลึกลับมาก มีส่วนเล็กๆ หายไปแต่ก็ยังปิดบังใบหน้าของเขาเอาไว้อย่างแน่น เผยให้เห็นแค่ดวงตาเท่านั้น
คนชุดน้ำเงินมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงตาลึกล้ำเฉยชาผิดปกติ
เขารอเวลานี้มานานแล้ว
ในที่สุดดาบนี้ก็มาแล้ว
ดังนั้นเขาจึงเริ่มเคลื่อนไหว
เขารู้ว่าดาบนี้ต้องใช้เวลาสามลมหายใจเพื่อทำลายการป้องกันของอู๋ฉยงปี้และตัดศีรษะของขุนพลเทพพยัคฆ์ขาว
ในเวลาสามลมหายใจนี้ ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวไม่อาจฆ่าเฉินฉางเซิงได้ เพราะเฉินฉางเซิงเป็นสังฆราช เขาย่อมมีวิธีที่จะรักษาชีวิตเอาไว้
ส่วนเปี๋ยยั่งหง ต่อให้เขาสามารถบีบให้สวีโหย่วหรงถอยไปได้ในสามลมหายใจ เขาก็ยังทำได้แค่จับตัวเฉินฉางเซิง ไม่ใช่สังหาร
และมีเพียงเขาเท่านั้นที่มีความสามารถฆ่าเฉินฉางเซิงในเวลาสามลมหายใจ
ในตอนแรกคนชุดน้ำเงินไม่เคยคิดว่าจะลงมือด้วยตัวเอง เพราะมันเพิ่มความเสี่ยงที่จะเปิดเผยตัว อย่างไรก็ตามเขาไม่คาดคิดว่าเซียงอ๋องจะใจเย็นถึงเพียงนี้ นับจากต้นจนจบ นอกจากใช้วิชาสุริยันแผดเผาส่งเสียคำรามออกไป เขาก็นิ่งเฉยมาตลอด ตอนนี้หวังผ้อมาแล้ว โอกาสที่เซียงอ๋องจะลงมือยิ่งน้อยไปใหญ่
ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือสวีโหย่วหรงไม่สนใจว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนเท่าไรในการออกจากการกักตน และเพลงกระบี่ของนางกับเฉินฉางเซิงก็ลึกลับจนถึงกับสามารถรับมือกับยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ หากไม่ใช่เพราะนาง เฉินฉางเซิงคงตายใต้เงือมมือของอู๋ฉยงปี้ไปแล้ว
เมื่อเรื่องประหลาดใจทั้งหมดรวมเข้าด้วยกัน ทำให้สรุปได้ว่าหากเขาไม่ลงมือ เฉินฉางเซิงอาจมีโอกาสรอด
โชคยังดีที่สถานการณ์ยังอยู่ใต้การควบคุม
หวังผ้อถูกอู๋ฉยงปี้กันเอาไว้ สวีโหย่วหรงถูกเปี๋ยยั่งหงกันเอาไว้ และเฉินฉางเซิงก็ยากที่จะป้องกันการโจมตีของขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวได้
ส่วนพวกโก่วหานสือกับศิษย์สำนักกระบี่หลีซาน ศิษย์เปี๋ยยั่งหงและพวกนักบวชนั้น พวกเขายังอยู่ไกลเกินไป ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ
เขามั่นใจว่าตราบใดที่เขาลงมือ เฉินฉางเซิงต้องตายแน่นอน
ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีที่สุด
โอกาสที่ไม่อาจพลาดได้