ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 90 เบาบางราวเมฆหมอก เสียงสะท้อนจากป่า
เซียงอ๋องเตรียมที่จะจากไป
สวีโหย่วหรงกล่าว “ท่านอ๋องโปรดรอสักครู่”
เซียงอ๋องหยุดแล้วมองไปที่นาง “มีโองการศักดิ์สิทธิ์หรือ”
สวีโหย่วหรงกล่าว “ตอนข้ายังเด็ก ข้าประเมินท่านอ๋องไว้ต่ำมาก ตอนนี้ข้าคิดดูแล้ว เป็นเพราะข้าขาดประสบการณ์”
เซียงอ๋องตอบอย่างสุขุม “เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ยกย่องเกินไปแล้ว ข้าไม่คู่ควร”
คณะทูตราชสำนักไปจากยอดเขาแล้ว ดังนั้นหวังผ้อก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อ
“ข้าต้องพักผ่อนสักหน่อย ดูแลตัวเองด้วย”
เขากล่าวคำพูดนี้กับเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง
ยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์เข้าใจกฎแห่งฟ้าดินอย่างสมบูรณ์ ต่อให้พ่ายแพ้กับยอดฝีมือในระดับเดียวกัน ก็ยังยากที่จะสังหารได้
วันนี้เขาร่วมมือกับเปี๋ยยั่งหงเพื่อสังหารคนชุดน้ำเงิน เพื่อที่จะไม่เปิดโอกาสให้ศัตรูรอดไปได้ พวกเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อย
สวีโหย่วหรงแนะนำ “จะพักฟื้นที่สถานศึกษาหนานซีก็ได้นะ”
“สำนักต้นไหวอยู่ไม่ไกล ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังมีเรื่องที่จำเป็นต้องจัดการ ดังนั้นทางที่ดีข้าไม่ควรรบกวนท่าน”
ตอนที่หวังผ้อกล่าวเขามองไปที่อาจารย์ย่าทั้งสามของสถานศึกษาหนานซี
ทุกคนในที่นี้รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร ไหวเหรินยังคงเรียบเฉย ไหวซู่ดูโมโหเล็กน้อย ไหวปี้หน้าเปลี่ยนไป
ไหวปี้รู้ดีว่าการกระทำของนางในวันนี้ต้องถูกตำหนิ นางเดิมทีตั้งใจจะจากไปพร้อมคณะทูตราชสำนัก แต่นางต้องประหลาดใจที่เซียงอ๋องไม่พูดอะไรเลย
รองเจ้าสำนักต้นไหวนำจงฮุ่ยและศิษย์คนอื่นก้าวออกมา หลังจากคำนับเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงพวกเขาก็ห้อมล้อมหวังผ้อและคุ้มครองเขาลงจากเขา
คนต่อมาที่จากไปก็คือหญิงชราตระกูลมู่ท่าและผู้นำตระกูลอู๋
เมื่อผู้นำสองตระกูลใหญ่กล่าวลาเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรง พวกเขามีสีหน้าอ่อนน้อมอย่างมาก ทำตัวเหมาะสมอย่างยิ่ง
หลายพันปีที่ผ่านมา ตระกูลใหญ่เหล่านี้ไม่เคยยืนอยู่ผิดฝั่งมาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเหลียงปะทะตระกูลเฉิน จักรพรรดิไท่จงสู้กับฉู่อ๋อง หรือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่งัดข้อกับราชสกุล
ก่อนหน้าวันนี้ พวกเขาย่อมยืนอยู่ข้างปรมาจารย์เต๋าซางสิงโจวและราชสำนัก แต่เหตุการณ์ในวันนี้ส่งผลต่อท่าทีของพวกเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
การรวมตัวของต้าลู่กับดินแดนต้าซี การรวมกันของตะวันออกและตะวันตก เป็นเรื่องใหญ่หลังจากการบรรจบกันของเหนือใต้ ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากซางสิงโจวและราชสำนัก
อย่างไรก็ตาม การประสานกระบี่ของเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงได้ทำลายการรวมตะวันออกกับตะวันตกลงจนสิ้น
แผนร้ายของดินแดนต้าซีถูกเปิดโปงและคนชุดน้ำเงินก็ตายลง แต่ทุกคนรู้ว่ามีเงาของราชสำนักอยู่เบื้องหลังแผนร้ายนี้
ไม่เช่นนั้นเปี๋ยยั่งหงคงไม่ทิ้งคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารเช่นนี้
การกลับมาอย่างกะทันหันของอาจารย์ย่าทั้งสามแห่งสถานศึกษาหนานซีและการยืนกรานปิดอารามนั้นต้องเกี่ยวข้องกับราชสำนักเช่นกัน
ตอนนี้ปรากฏว่าเรื่องทั้งสองนี้ฝ่ายราชสำนักเป็นผู้แพ้
นี่ย่อมเปลี่ยนความคิดของพวกตระกูลใหญ่
หากข่าวลือที่ว่าตระกูลถังได้ตัดสินใจที่จะวางตัวเป็นกลางเป็นเรื่องจริง พวกเขาก็จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเลือกใหม่
“ข้าจะไปส่งผู้อาวุโสทั้งสอง”
ถังซานสือลิ่วมองไปที่เฉินฉางเซิง จากนั้นก็ยิ้มกว้างคว้าแขนของหญิงชราตระกูลมู่ท่า ส่งนางขึ้นรถม้า เขาไม่ลืมที่จะพูดคุยกับผู้นำตระกูลอู๋ ถามว่าท่านย่าของเขาเป็นอย่างไรบ้างหรือญาติผู้น้องเหมยยังเป็นเหมือนตอนยังเด็กหรือเปล่า พออากาศร้อนหน่อยก็ไม่อยากอาหารขึ้นมา
หลังจากนั้น สำนักต่างๆ ก็มาคำนับเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงแล้วกล่าวคำอำลา
ทุกคนมาที่ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ในวันนี้ก็เพื่อร่วมพิธีปิดอารามของสถานศึกษาหนานซี แต่ตอนนี้ใครจะกล้าพูดเรื่องนี้
อาจารย์ย่าทั้งสามมีสีหน้าหม่นมัวทีเดียว โดยเฉพาะไหวปี้ที่มีสีหน้าดำคล้ำจนแทบจะน่าเกลียด
นับจากตอนที่นางออกจากการกักตนจนถึงตอนนี้ สวีโหย่วหรงไม่เคยพูดอะไรกับพวกนางแม้แต่คำเดียว ไม่แม้แต่จะเหลือบมอง
กลุ่มสุดท้ายที่กล่าวลาคือพวกศิษย์ของสำนักกระบี่หลีซาน โก่วหานสือคำนับสวีโหย่วหรงและกล่าว “ข้าเดิมทีตั้งใจจะมาดูว่ามีอะไรที่พวกเราจะช่วยเหลือได้หรือไม่แต่…ศิษย์พี่ใหญ่อาจมาแล้ว เพื่อความปลอดภัยข้าควรไปหาเขาก่อน”
เมื่อเปี๋ยยั่งหงได้รับข้อความจากชิวซานจวินในขณะที่ขึ้นเขา ชิวซานจวินย่อมมาในวันนี้
ส่วนทำไมเขาไม่เคยปรากฏตัว ต่างคนก็ต่างความคิด แต่มันย่อมเกี่ยวกับสวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิง
สวีโหย่วหรงคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ตอบ “ระวังตัวด้วยศิษย์พี่ ตอนที่พบเขาฝากขอบคุณแทนข้าด้วย”
โก่วหานสือตอบ “ศิษย์พี่คงไม่อยากฟังคำขอบคุณจากเจ้า”
สวีโหย่วหรงตอบ “เช่นนั้นถามเขาว่าทำไมเขาไม่อยากพบหน้าข้า”
ในขณะที่นางกล่าว นางไม่ได้มองไปที่เฉินฉางเซิง
เยี่ยเสี่ยวเหลียนกับศิษย์สถานศึกษาหนานซีคนอื่นกลับมองไปทางเฉินฉางเซิงอย่างลืมตัว กระวนกระวายอยู่บ้าง
ในสายตาพวกนาง เมื่อสังฆราชอยู่ที่นี่ทำไมเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ถึงได้พูดเช่นนี้
เฉินฉางเซิงไม่สังเกตเห็นสายตาเหล่านี้ เขาในตอนนี้กำลังสนทนากับเจ๋อซิ่วอยู่ใต้ต้นไม้
แม้ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองคนพูดอะไรกัน เฉินฉางเซิงก็มีสีหน้าเคร่งเครียดในขณะที่เจ๋อซิ่วก็ดูเงียบขรึม
โก่วหานสือเคยคิดที่จะไปกล่าวลาพวกเขาด้วยตัวเอง แต่หลังจากคิดดูอย่างรอบคอบแล้ว เขาก็ไม่ก้าวออกไปแต่กลับนำศิษย์สำนักกระบี่หลีซานลงจากที่ราบสูงไป
คณะทูตราชสำนักจากไปแล้วและผู้บำเพ็ญตนจากสำนักต่างๆ กับตระกูลใหญ่ล้วนจากไป ทางเดินหินเงียบมากและป่าที่ดูน่ากลัวก็เงียบผิดปกติ คาดว่านกกับสัตว์อสูรในป่าได้ตกใจหนีไปเพราะการต่อสู้สะท้านฟ้าดินบนที่ราบสูง
เมื่อศิษย์สำนักกระบี่หลีซานเดินลงจากเขา พวกเขาก็พูดคุยเรื่องเหตุการณ์ในวันนี้กันอย่างกระตือรือร้น
“ใครจะไปคาดคิดว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปเร็วเช่นนี้! ข้าฟังคำพูดของศิษย์พี่และเตรียมที่จะพุ่งไปพร้อมกระบี่ แต่ไม่มีเวลาที่จะได้ชักกระบี่ด้วยซ้ำ”
ไป๋ไช่นึกถึงภาพชวนขนลุกและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ห้ายอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ มีสี่คนก้าวขึ้นเวที คนดุดันอย่างขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวตายไปแบบนี้เอง ตอนที่เรากลับไป ข้าจะต้องเล่าเรื่องนี้ให้ศิษย์น้องฟัง เมื่อนางได้รู้ว่าเจ๋อซิ่วเป็นคนลงมือปิดท้าย นางต้องยินดีเป็นแน่”
โก่วหานสือหัวเราะ
ไป๋ไช่กล่าวต่อ “เฉินฉางเซิงแข็งแกร่งดังคาด ศิษย์น้อ…ข้าหมายถึงเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์สวีโหย่วหรงก็แข็งแกร่งเช่นกัน และเพลงกระบี่ประสานรวมของพวกเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่า แต่ที่แข็งแกร่งที่สุดยังเป็นศิษย์พี่ใหญ่ วันนี้หากไม่ใช่เพราะเขา แผนของดินแดนต้าซีจะถูกเปิดโปงง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร ผู้อาวุโสเปี๋ยยั่งหงกับหวังผ้อจะวางกับดักสังหารคนชุดน้ำเงินได้อย่างไร”
ในสายตาเขา ศิษย์พี่ใหญ่ที่ไม่ปรากฏตัวในวันนี้เป็นคนที่สำคัญที่สุด และพูดด้วยสีหน้าภูมิใจอย่างมาก
ศิษย์คนอื่นพยักหน้าเห็นด้วย บอกว่าหากไม่ใช่เพราะศิษย์พี่ใหญ่ เฉินฉางเซิงย่อมไม่อาจหนีรอดจากกับดักในวันนี้ไปได้ ต่อให้มีหวังผ้อคอยช่วย เขาก็ยังจบลงด้วยความตาย ต่อให้ศิษย์สำนักกระบี่หลีซานชักกระบี่ออกมาช่วยเหลือ ถึงแม้เฉินฉางเซิงจะไม่ถึงตาย เขาก็ต้องจบลงในสภาพที่น่าอนาถทีเดียว
ในตอนนั้นเอง เสียงที่กระจ่างสดใสแต่ก็ค่อนข้างขี้เกียจก็ดังขึ้นจากส่วนลึกของป่า
“เรื่องเหลวไหลเหล่านี้มาจากไหนกัน”
สีหน้าไป๋ไช่เย็นลงในทันที ตอนที่เขาคิดถามหาคำอธิบาย เขาก็พลันตระหนักว่าเสียงนี้ออกจะคุ้นหูอย่างมาก สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปอีก