ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 91 มีคนพูดอยู่ทางใต้ของลำธาร
ในส่วนลึกของป่ามีลำธารใสตื้นๆ อยู่สายหนึ่ง บนกองหินริมลำธารมีตะแกรงย่างวางอยู่ ปลาย่างถูกวางทิ้งเอาไว้
ชิวซานจวินคว้าปลาย่างใหม่ขึ้นมาจากตะแกรงและยัดมันใส่มือไป๋ไช่แล้วกล่าว “ตอนที่กินปลา ข้าจะดูว่าเจ้าจะเรียนรู้ที่จะปิดปากได้หรือไม่”
ไป๋ไช่กระวนกระวายอยู่บ้าง รับปลาย่างมาและเริ่มตั้งหน้าตั้งตากิน ไม่กล้าส่งเสียงแสดงความเห็นอีก
ศิษย์สำนักกระบี่หลีซานชักกระบี่ออกและเริ่มจับปลาในลำธาร น้ำกระเซ็นและเสียงหัวเราะของผู้เยาว์ลอยอยู่ในอากาศระยะหนึ่ง
ชิวซานจวินล้างมือในลำธารแล้วก็นั่งบนก้อนหินข้างโก่วหานสือ
โก่วหานสือกล่าว “ข้าไม่คาดคิดว่าหลังจากท่านออกจากศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน ท่านก็เดินทางยาวไกลจากเมืองฮั่นชิวกลับมา ท่านกลับมาช้ากว่าที่บอกไว้ในจดหมายอยู่สองสามวัน”
ชิวซานจวินอธิบาย “ตอนที่ข้าเดินทางจากผาชันไปศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน ข้าเห็นคนคุ้นหน้าเลยตามพวกเขาไป”
ด้วยความฉลาดของโก่วหานสือ เขาสังเกตเห็นปัญหาในคำพูดนี้ “ใคร”
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ชิวซานจวินก็ตอบ “เฉินฉางเซิง”
เมื่อเขากับโก่วหานสือเริ่มพูด เสียงอึกทึกในลำธารก็เงียบลงมาก
ตอนที่เขากล่าวนาม ‘เฉินฉางเซิง’ เขาก็ดึงดูดสายตาของศิษย์น้องทั้งหมด
และตอนที่ชิวซานจวินเล่าเรื่องราวที่คอกม้าผาชันจบ ลำธารก็เงียบงันอย่างที่สุด ทุกคนนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน
โก่วหานสือก็นิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออกเช่นกัน เขาย่อมอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็พูดอะไรไม่ออก
ใบหน้าไป๋ไช่แดงก่ำตอนที่เขารอดจากการถูกปลาติดคอตายมาอย่างหวุดหวิด
“พวกเจ้าคิดอะไรอยู่” ชิวซานจวินกล่าวอย่างเรียบเฉย
โก่วหานสือยิ้มและส่ายหน้า บ่งบอกว่าไม่มีความเห็นในเรื่องนี้
ไป๋ไช่กลืนปลาลงไปอย่างยากลำบากและส่ายหน้าดิก บ่งบอกว่าเขาไม่กล้าแสดงความเห็นในเรื่องของศิษย์พี่ใหญ่
ชิวซานจวินมองไปที่เขาและกล่าว “พูดตามที่เจ้าอยากพูดเถอะ”
ไป๋ไช่ลังเลอยู่นานก่อนที่จะกระซิบ “ศิษย์พี่ใหญ่…พวกท่านทั้งสองมีสายตาย่ำแย่เกินไปหน่อยหรือไม่”
……
……
“เฉินฉางเซิงเป็นคนดีทีเดียว”
ชิวซานจวินหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเสริม “น่าเสียดาย เราเป็นเพื่อนกันไม่ได้”
เขาไม่ทราบว่าเฉินฉางเซิงก็รู้สึกแบบเดียวกัน
โก่วหานสือยิ้มและกล่าว “ข้าดีกว่าพวกท่านในเรื่องนี้ เพราะข้าเป็นเพื่อนกับพวกท่านทั้งคู่”
ไป๋ไช่แหวกเข้ามาและนั่งลงข้างชิวซานจวิน “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านเป็นคนที่โดดเด่นอย่างแท้จริง ไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะแข็งแกร่งเพียงใด วันนี้เขาก็ยังต้องพึ่งพาท่านถึงจะเดินออกไปได้โดยมีร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์”
นี่หมายถึงชิวซานจวินใช้ภาพวาดสิบกว่าใบเปลี่ยนใจเปี๋ยยั่งหงและทำลายแผนร้ายของดินแดนต้าซี
แต่ไม่มีความภูมิใจหรือพึงพอใจบนใบหน้าของชิวซานจวิน ในทางกลับกันมันดูหม่นมัวอยู่บ้าง
“ข้าไม่ชอบเปี๋ยเทียนซิน ดังนั้นข้าจึงไม่สนใจมากนักในตอนแรก และทำเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย ข้าไม่คาดคิดว่าคนจากดินแดนต้าซีจะกล้าฆ่าเขาจริงๆ”
เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าว “หากข้ามีความรอบคอบกว่านี้อีกนิดหนึ่ง เขาอาจไม่ต้องตาย”
โก่วหานสือคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ตบหลังเขาแล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “เรื่องการปิดอารามของสถานศึกษาหนานซี เราจะทำอย่างไร”
“ศิษย์น้องหญิงไม่เคยทำให้ใครต้องกังวลในการจัดการสิ่งต่างๆ”
“เจ๋อซิ่วดูเหมือนจะยุ่งยากอยู่บ้าง”
“เราจะคุยกันเรื่องนี้ตอนเรากลับไปแล้ว”
ชิวซานจวินลุกขึ้นและเริ่มเดินออกจากป่า
ศิษย์สำนักกระบี่หลีซานในลำธารก็รีบวิ่งขึ้นจากน้ำและใช้ปราณแท้ทำให้เสื้อผ้าแห้ง พวกเขาหิ้วปลาสดสิบกว่าตัวตามไป
ทางเดินภูเขายังเงียบสงบ พวกนกรู้สึกได้ถึงความปลอดภัยก็กลับมายังป่า ส่งเสียงเจื้อยแจ้วรื่นหูดังก้องอยู่ในอากาศ
เสียงร้องของลิงที่เล่นกันอยู่ดังมาจากภูเขา
ชิวซานจวินเอียงคอฟังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็จิบสุราจากไหและนำศิษย์น้องเดินลงจากเขา เสื้อผ้าพลิ้วไหวตามสายลม
……
……
ที่ราบสูงบนยอดเขาไร้ซึ่งผู้คน แต่ที่ราบสูงซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานศึกษาหนานซีกลับแน่นขนัด ใต้ต้นไม้เขียวและดอกไม้บาน ศิษย์หลายร้อยคนของสถานศึกษาหนานซียืนอยู่เงียบๆ ไม่ได้กระวนกระวายเหมือนที่เป็นเมื่อไม่กี่วันก่อน เมื่อได้กลิ่นหอมของดอกไม้ ศิษย์บางคนก็ถึงกับสูดดมอยู่หลายครา
ปัญหายังไม่ถูกแก้ไข แต่เมื่อเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ออกจากการกักตนแล้ว ศิษย์เหล่านี้ยังต้องกังวลอันใดอีก
ส่วนลึกของหมู่ตึกสถานศึกษาหนานซี เบาะรองนั่งสองใบถูกวางไว้บนตำแหน่งสูงสุดของกระท่อมมุงจาก สวีโหย่วหรงกับเฉินฉางเซิงนั่งอยู่บนนั้น
เห็นภาพนี้ไหวซู่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจในขณะที่ไหวปี้ครุ่นคิดอยู่ในใจเงียบๆ
ไหวเหรินกล่าวช้าๆ “องค์สังฆราชได้รับบาดเจ็บภายในไม่น้อย ทางที่ดีควรไปพักผ่อน”
เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ย่าใหญ่ของสถานศึกษาหนานซีหมายความเช่นใด
ไม่ว่าสวีโหย่วหรงมีความเห็นเช่นใดกับการปิดอารามหรือการกลับมาของพวกอาจารย์ย่า ล้วนเป็นเรื่องภายในของสถานศึกษาหนานซี
เมื่อเป็นเรื่องภายใน ก็ต้องให้สถานศึกษาหนานซีจัดการเอง ต่อให้เฉินฉางเซิงเป็นสังฆราช ก็ไม่เหมาะที่จะนั่งอยู่ตรงนี้
แต่คำพูดของนางไม่อาจทำให้เกิดการตอบสนองได้
ศิษย์สถานศึกษาหนานซีทั้งหมดทั้งภายในภายนอกกระท่อมมุงจากล้วนนิ่งเงียบราวกับไม่ได้ยินอะไร
สวีโหย่วหรงก็ทำเหมือนกับไม่ได้ยินอะไร นางมองไปทางผิงเซวียนกับอี้เฉินเงียบๆ เท่านั้น
ก่อนจะทำการกักตนหลังผนังหินบนยอดเขา นางได้มอบการดูแลสถานศึกษาหนานซีให้กับศิษย์พี่ทั้งสอง
สายตานางสุขุมแต่ก็ชัดเจนว่ากำลังถามหาคำอธิบายเรื่องในวันนี้
ไหวเหรินถอนหายใจ ต้องการจะพูดอะไรอีก
สวีโหย่วหรงยังคงไม่สนใจนาง สายตายังจับจ้องไปที่ผิงเซวียนกับอี้เฉิน
แม้ว่าพวกนางจะเป็นศิษย์รุ่นเดียวกัน ผิงเซวียนกับอี้เฉินก็ไม่คิดที่จะยืนอยู่ พวกเขานั่งคุกเข่ามาระยะหนึ่งแล้ว
ดวงตาอี้เฉินเปียกชุ่ม น้ำเสียงสั่นเทา “ข้าไม่รู้ว่าจะทำอะไรจริงๆ”
ตอนที่นางกล่าวน้ำตาก็ไหลลงมาจากดวงตา
สวีโหย่วหรงรู้ว่านิสัยนางอ่อนโยนว่าง่ายเสมอมา คาดว่านางไม่อาจทนการเคี่ยวเข็ญไม่รู้จบของอาจารย์นางได้ ส่งผลให้นางยอมรับการปิดอารามบนที่ราบสูง
ผิงเซวียนสงบกว่ามากยามที่กล่าว “ศิษย์รู้ความผิด แต่อาจารย์ชราแล้ว นางไม่มีเจตนาไม่ดี ข้าขอให้เจ้าอารามเมตตาด้วย”
ไหวเหรินดูตะลึงอยู่บ้าง นางไม่คาดว่าศิษย์ผู้นี้ที่ต่อต้านนางมาหลายครั้งบนที่ราบสูงวันนี้จะร้องขอความเมตตาแทนนาง
แต่นางไม่ยอมรับคำพูดนี้เพราะจนถึงตอนนี้ นางก็ยังเชื่อว่านางเป็นฝ่ายถูก
นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงไม่กี่วันมานี้ให้สวีโหย่วหรงฟังอย่างสุขุม อย่างเรื่องเมื่อคืนก่อนและวันนี้ นางอธิบายอย่างชัดเจนว่าทำไมนางถึงต้องการปิดสถานศึกษาหนานซีสิบปี
นับจากต้นจนจบสวีโหย่วหรงไม่พูดแม้แต่คำเดียว เพียงรับฟังเงียบๆ เท่านั้น
ไหวเหรินกล่าว “เรื่องวันนี้ดูเหมือนจะผ่านไปอย่างสงบแต่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ การที่ท่านออกจากการกักตนย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างใหญ่หลวง”
เฉินฉางเซิงมองไปที่สวีโหย่วหรง
ไหวเหรินกล่าวต่อ “หากยังดำเนินไปเช่นนี้ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จะสามารถจ่ายค่าตอบแทนเช่นนี้ได้อีกกี่ครั้งกัน ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องจ่ายค่าตอบแทนอีกกี่ครั้งกัน ราชสำนักและพระราชวังหลี สงครามระหว่างอาจารย์กับศิษย์นี้ ทำไมพวกเราต้องหลั่งเลือดเพื่อพวกเขาด้วย”
ในตอนนี้เองที่สวีโหย่วหรงพูดขึ้นในที่สุด
นางพูดอย่างแผ่วเบาแต่ก็ชัดเจน ศิษย์ที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ทั้งหมดสามารถได้ยินคำพูดนางอย่างชัดเจน และคำพูดนี้พุ่งตรงเข้าสู่ใจของไหวเหริน
“อาจารย์อาเป็นผู้อาวุโส ดังนั้นการใส่ใจเรื่องในอารามนั้นก็เหมาะสมอยู่ แต่ท่านไม่ใช่เจ้าอาราม หรือว่าท่านต้องการจะบอกว่า…ท่านอยากได้ตำแหน่งของข้า”