ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 93 ความเปลี่ยนแปลงในอาราม
หลังจากค่ายกลแตก คนชุดน้ำเงินก็พลันลงมือโจมตี แผนการของดินแดนต้าซีถูกเปิดโปง หวังผ้อกับเปี๋ยยั่งหงร่วมมือกันโจมตีราวกับสายฟ้าฟาด ทำให้การกระทำของไหวปี้ดูไม่สะดุดตานัก
แต่คนมากมายไม่ลืมเรื่องนี้
อย่างเช่นศิษย์สถานศึกษาหนานซีและสวีโหย่วหรง
นางมองไปที่ไหวปี้และถามอย่างสุขุม “ซางสิงโจวรับปากอะไรเจ้า เจ้าถึงได้ทำเช่นนี้”
ไหวปี้รู้ว่านางในตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงที่สุด นางกัดฟันตอบ “ข้าไม่เข้าใจว่าท่านหมายความว่าอะไร”
สวีโหย่วหรงไม่ถามต่อ หันไปหาเฉินฉางเซิงและกล่าว “องค์สังฆราชโปรดประทานกฎ”
บนที่ราบสูงตอนที่เฉินฉางเซิงหยุดการปิดอาราม เขาได้อ้างถึงสิทธิ์ที่ว่าสังฆราชเป็นผู้ดูแลกฎ
สวีโหย่วหรงร้องขอเช่นนี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อยืมอำนาจของเขา แต่ก็ยังเป็นการแสดงให้ศิษย์สถานศึกษาหนานซีได้เห็นถึงอำนาจของเขาอีกด้วย
แม้ว่านางจะเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ นางก็ยังเป็นผู้หญิงที่มีเรื่องในใจมากมายเกินไป
ไม่ว่าจะพิจารณาว่าเป็นการทำตามความต้องการปิดอารามของไหวเหริน การกระทำของไหวปี้บนที่ราบสูงก็ยังไม่อาจยอมรับได้อยู่ดี
การกระทำเช่นนี้ของนางก็ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้ในสำนักอื่นเช่นเดียวกัน ดังนั้นกฎของนิกายย่อมมีบทลงโทษนางอย่างชัดเจน
“ทำลายการบำเพ็ญเพียรและขับนางออกจากสำนัก”
เฉินฉางเซิงนึกถึงบทบันทึกของนิกายที่เขาท่องจำในตอนเป็นเด็ก จากนั้นก็กล่าวต่อ “หรือไม่ก็คุมขังนางเพื่อให้นางได้สำนึกผิด”
ไหวปี้หน้าซีดไปในทันที นางหันไปหาไหวเหรินลังเลที่จะพูด
ไหวเหรินต้องการที่จะร้องขอความเมตตาแทนนาง แต่แล้วนาก็พลันนึกได้ว่านาง ไหงซู่และไหวปี้ได้เดินทางท่องโลกร่วมกันมานานหลายปี แล้วนักพรตจากอารามฉางชุนหาพวกนางพบได้อย่างไร และพวกเขาก็เดินทางไปจิงตูเพื่อพบกับปรมาจารย์เต๋าซางสิงโจว นางอดที่จะเริ่มสงสัยไม่ได้ ความคิดเริ่มติดขัด
สวีโหย่วหรงมองไปที่ไหวปี้และถาม “หยวนเย่ว์ฉินเจ้าจะเลือกทางไหน”
ไหวปี้เห็นว่าไหวเหรินนิ่งเงียบและเชื่อว่าศิษย์พี่ได้ทิ้งนางแล้ว ความเกลียดชังผุดขึ้นในใจของนางยามที่นางกัดฟันถาม “คุมขัง? เจ้าคิดจะขังข้านานแค่ไหน”
สวีโหย่วหรงตอบ “วันใดที่เจ้าคิดได้ว่าตนเองทำผิดก็จะเป็นวันที่เจ้าถูกปล่อยตัว”
ไหวปี้หัวเราะอย่างเย็นชาจากนั้นก็กล่าวเสียงแหลม “เจ้าอยากจะขังข้าไว้ในยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไปตลอดชีวิตของข้า! ข้าจะทำตามใจเจ้าได้อย่างไร!”
สีหน้าของสวีโหย่วหรงไม่เปลี่ยนไปยามที่นางกล่าว “ดูเหมือนเจ้าจะเลือกทางแรก”
ทางแรกก็คือทำลายการบำเพ็ญเพียรและขับออกจากสำนัก บทลงโทษเดียวกับที่มู่จิ่วซือได้รับจากพระราชวังหลี อย่างไรก็ตาม องค์หญิงจากดินแดนต้าซีมีวิชาประจำตระกูลไว้คุ้มครองนางหลังจากการบำเพ็ญเพียรของนิกายหลวงถูกทำลายไป ในทางกลับกัน ไหวปี้ไม่ได้บำเพ็ญเพียรอื่นใดนอกไปจากวิชาของสถานศึกษาหนานซี หากมันถูกทำลาย นางจะต่างจากคนพิการตรงไหน
ไหวปี้หน้าซีดยิ่งกว่าเดิมและความอาฆาตพุ่งออกจากดวงตานาง “หากข้าไม่เลือกทั้งสองทางเล่า”
สวีโหย่วหรงตอบอย่างสุขุม “เช่นนั้นข้าจะเป็นตัวแทนบรรพชนของสำนักทำตามกฎของนิกายและกฎของสำนักเอง”
ไหวซู่ดุเหมือนจะตัดสินใจได้ ก้าวออกมายืนอยู่ระหว่างสวีโหย่วหรงกับไหวปี้
นักพรตหญิงคนนี้มีนิสัยดุดันไม่ต้องการที่จะประมือกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คนปัจจุบัน นางแค่ไม่ต้องการที่จะเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา
ศิษย์สถานศึกษาหนานซีคิดต่างไป กระบี่เริ่มส่งเสียงและเจตจำนงกระบี่พุ่งขึ้น ศิษย์หลายร้อยคนดูเหมือนจะยืนอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เป็นรูปแบบ แต่อันที่จริงแล้วก่อตัวเป็นค่ายกลกระบี่อันซับซ้อน พลังของค่ายกลกระบี่นี้ไร้ขอบเขตและน่าหวาดกลัว ปิดกั้นเส้นทางลงเขาทั้งหมด
ครั้นเห็นภาพนี้ไหวเหรินก็ถอนหายใจ มองไปทางไหวปี้และแนะนำ “หากจิตสำนึกเจ้าชัดเจนไม่มีเรื่องให้ละอาย การสำนึกตัวก็จะกินเวลาแค่ไม่กี่วัน ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ตีนเขา”
“ศิษย์พี่ ทำไมท่านถึงได้…โง่นัก!”
ไหวปี้ดูเกรี้ยวกราดอย่างมากในยามที่นางกล่าว “เห็นได้ชัดว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องการใช้ข้าแสดงอำนาจ ท่านคิดหรือว่านางต้องการหลักฐานหรือการสำนึกตนจริงๆ”
ไหวเหรินเห็นศิษย์น้องมีความจริงใจ ก็อดที่จะลังเลใจไม่ได้ ก้าวออกมาตั้งใจที่จะพูดกับสวีโหย่วหรง
ทันใดนั้นลมเย็นก็พัดเข้ามาในกระท่อมมุงจาก เจตจำนงกระบี่ลอยขึ้นแต่ไม่ขยับ ในขณะที่ปราณเย็นเยียบแหลมคมปกคลุมไปทั่วบริเวณ
ทั้งหมดนี้มาจากกระบี่เล่มหนึ่ง กระบี่ตรงที่ทั้งยาวและบาง ตัวกระบี่สีดำสนิท พื้นผิวเรียบลื่นเป็นเงา ดูราวกับสร้างขึ้นจากหยกดำ
กระบี่หยกนี้อยู่ในมือของไหวปี้
คมกระบี่เย็นเยียบจ่ออยู่ที่คอของไหวเหริน ห่างจากลำคอแค่ผมเส้นเดียว!
ไหวปี้ใช้โอกาสที่ได้จากไหวเรินนี้ก้าวออกมาจับตัวนาง!
สีหน้าไหวเหรินซีดเซียวอยู่บ้าง บางทีเป็นเพราะเจตจำนงกระบี่ทำให้บาดเจ็บภายใน หรืออาจเป็นเพราะการลองโจมตีของศิษย์น้องได้ทำร้ายหัวใจนาง
เสียงหัวเราะเย่อหยิ่งดังก้องกระท่อม
ไหวปี้มองไปที่สวีโหย่วหรงกับเฉินฉางเซิง ความภาคภูมิใจปรากฏบนใบหน้า รอยยิ้มค่อยๆ จางไป น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ
“เจ้าพูดได้ถูกต้อง ทุกอย่างเป็นข้อตกลงของข้า ปรมาจารย์เต๋าสัญญากับข้าว่าตราบใดที่สถานศึกษาหนานซีปิดตัวเป็นเวลาสิบปี ข้าจะได้เป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์”
เฉินฉางเซิงถาม “หากโหย่วหรงทำลายกำแพงและออกจากการกักตนเล่า”
ไหวปี้กล่าวเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าหากข้าทำทั้งหมดนี้แล้ว นางจะยังมีโอกาสที่จะออกจากการกักตนได้ตามปกติอีกหรือ”
หากนางไม่อาจทำลายกำแพงออกมาได้ด้วยตัวเอง ถ้าอย่างนั้นที่รอสวีโหย่วหรงอยู่ก็คือความตาย
“ข้าไม่คิดจริงๆ ว่าเจ้าจะละทิ้งเต๋าอันยิ่งใหญ่เพื่อผู้ชายคนหนึ่งถึงกับออกจากการกักตน”
ไหวปี้กล่าวต่อ “ส่วนเรื่องอื่นก็ง่ายมาก มันไม่ยากที่จะใช้การสืบทอดสถานศึกษาหนานซีเพื่อโน้มน้าวศิษย์พี่ที่สมองเหมือนก้อนหิน และยิ่งง่ายกว่าที่จะหลอกศิษย์พี่ที่แข็งกร้าวแต่ความคิดเรียบง่ายคนนี้”
ถึงตอนนี้ไหวซู่ก็รู้ในที่สุดว่าอะไรเป็นอะไร นางย่อมโมโหมากร่างกายสั่นเทาแต่ก็ไม่กล้าเคลื่อนไหว
กระบี่สีดำยังอยู่ที่คอของไหวเหริน
สีหน้าของไหวเหรินซีดขาวยิ่งกว่าเดิม ดวงตาเปลี่ยนเป็นหม่นหมอง ความรู้สึกเศร้าจางๆ ผุดขึ้นในส่วนลึกของหัวใจ
แปะแปะแปะแปะ นิ้วของไหวปี้เคลื่อนไหวราวสายลม ปิดจุดลมปราณของไหวเหรินเอาไว้และผนึกแดนลี้ลับอันสำคัญยิ่ง
เสียงร้องอย่างตกใจดังขึ้นในกระท่อมมุงจาก “ดัชนีศักดิ์สิทธิ์ใต้หล้า!”
“ไม่เลว ที่ข้าใช้คือดัชนีศักดิ์สิทธิ์ใต้หล้า ศิษย์พี่ไม่มีโอกาสจะโต้กลับแล้ว”
ไหวปี้กล่าวอย่างดุดัน “พวกเจ้าผู้เยาว์กล้าไม่เคารพต่อข้า หากมีโอกาสข้าจะให้พวกเจ้าได้ลิ้มรสการถูกมดนับหมื่นวิ่งอยู่ในร่าง!”
เมื่อนางกล่าว สีหน้าไหวเหรินก็เปลี่ยนจากซีดขาวเป็นเขียวคล้ำ ดูเจ็บปวดอย่างมาก เห็นได้ชัดว่านางกำลังเจ็บปวดจากดัชนีศักดิ์สิทธิ์ใต้หล้า
ผิงเซวียน อี้เฉินกับศิษย์สถานศึกษาหนานซีคนอื่นเห็นภาพนี้ก็โกรธมาก แต่เพราะกลัวกระบี่สีดำเล่มนั้นจึงไม่กล้าที่จะก้าวออกไป
“แน่นอน ข้าไม่หวังว่าสิ่งนี้จะบีบให้เจ้าสละตำแหน่งได้”
ไหวปี้มองไปยังสวีโหย่วหรงและกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าเป็นคนอกตัญญูที่สุด เป็นชาวโจวที่โหดเหี้ยมไม่ใช่หรือ แค่ปล่อยข้าไป”
สวีโหย่วหรงไม่สนใจนาง มองไปที่ไหวเหรินที่ถูกจับและกล่าว “ดูสิ อาจารย์อามีเจตนาดีแต่โลกนี้เลวร้ายเสมอมา”
ไหวปี้ไม่เข้าใจความหมายของนาง ใช้น้ำเสียงแข็งกระด้างตะโกน “รีบถอนค่ายกลกระบี่!”
สวีโหย่วหรงไม่สนใจนางและมองไปที่ไหวเหรินเงียบๆ
สีหน้าไหวเหรินซึมเศร้ายิ่งกว่าเดิม
ความเจ็บปวดที่เกิดจากดัชนีศักดิ์สิทธิ์ใต้หล้า หาได้หนักหนาไม่ เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดที่ถูกศิษย์น้องที่รักมาหลายร้อยปีหักหลัง