ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 10 ตัดมือ (2)
……
ก่อนหน้าที่ถังซานสือลิ่วจะมาถึง อาจารย์เหมยชวนพบเข้ากับสวีโหย่วหรง
เขาไม่เคยพบนาง แต่ทราบได้ว่านางคือใคร
ก็เหมือนกับที่ถังซานสือลิ่วเคยเอ่ยในป่านี้ก่อนหน้า นางงดงามมาก
อาจารย์เหมยชวนประหลาดใจ แต่การทำความเคารพยังคงไร้ที่ดิ
ในขณะเดียวกันที่น่าแปลกใจก็คือ สวีโหย่วหรงทราบว่าเขาเป็นอาจารย์ของสำนักฝึกหลวง ทั้งยังทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหมยหลี่ซา
ดังนั้นอาจารย์เหมยชวนจึงไม่แน่ใจว่าการพบกันในครั้งนี้เป็นความบังเอิญหรือไม่
สวีโหย่วหรงเอ่ยกับอาจารย์เหมยชวนว่า “สำนักฝึกหลวงมีความสำคัญมากสำหรับพวกเขา”
อาจารย์เหมยชวนเอ่ยตอบด้วยเสียงถ่อมตัว “ผู้น้อยทราบดี”
สวีโหย่วหรงเอ่ยขึ้น “แต่ท่านไม่เข้าใจว่าพวกเขาสามารถทำเรื่องอะไรได้บ้างเพื่อสำนักฝึกหลวง”
“ผู้คุมกฎสำนักสั่งให้อาจารย์ฝึกผู้นั้นไสหัวไป เดาว่าเขาคงไม่กล้าจะมาที่สำนักฝึกหลวงอีกต่อไปแล้ว”
อาจารย์เหมยชวนเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “เขาสอนวิชาพื้นฐานการถ่ายทอดแหล่งกำหนดพลังเต๋าได้ไม่เลวเลย”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “ถังถังไม่ได้ให้ท่านไสหัวไปหรือ”
อาจารย์เหมยชวนตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ไม่ขอรับ”
สวีโหย่วหรง เงียบไปครู่ใหญ่ก่อนเอ่ย “ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง”
อาจารย์เหมยชวนสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย
สวีโหย่วหรงอธิบายเสียงเบา “เขาไม่ได้ให้ท่านไสหัวไป นั่นก็แสดงว่าอยากให้ท่านตาย”
อาจารย์เหมยชวนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
สวีโหย่วหรงส่ายหน้าก่อนเอ่ย “ข้ารู้สึกว่าพวกเขาทำอย่างนี้ไม่ถูกต้อง”
อาจารย์เหมยชวนที่มีอารมณ์ประหวั่นก่อนหน้าจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“ที่นี่คือสำนักฝึกหลวง ท่านเป็นอาจารย์ที่ถูกส่งมาจากสำนักการศึกษากลาง ขอเพียงพวกเขาลงมือ ก็จะไม่มีทางชี้แจงกับเหล่าอาจารย์และศิษยานุศิษย์ได้”
สวีโหย่วหรงมองไปที่เขาเงียบๆ ก่อนเอ่ยขึ้นมา “แต่ข้าไม่ต้องอธิบายเรื่องนี้กับผู้ใด”
สีหน้าผ่อนคลายของอาจารย์เหมยชวนเมื่อครู่ก็ตระหนกขึ้นมาอีกหน
“ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“ข้าหมายความว่า ในเมื่อข้าเองไม่ต้องอธิบายเรื่องนี้กับผู้ใด สำนักการศึกษากลางก็ไม่กล้าเรียกร้องให้ข้าอธิบายสิ่งใด อย่างนั้นก็ควรจะเป็นข้าที่สังหารท่าน”
ลมแผ่วเบาจากนอกป่า พัดต้นเหมยภูเขาที่มีเกล็ดหิมะปกคลุมอยู่ ปลิวกระทบชายเสื้อผ้าโบกปลิว
แววตาของนางสงบนิ่งเป็นปกติมองไม่เห็นความรู้สึกกดดันใดๆ เลยในแววตา ไม่มีแม้กระทั่งเจตนาสังหาร
อาจารย์เหมยชวนเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจและมีความหวังเล็กน้อยอยู่ในนั้น “ท่านจะสังหารข้าหรือ”
“หากว่าท่านเป็นเพียงอาจารย์คนหนึ่งของสำนักฝึกหลวง ข้าจะไม่สนใจเรื่องนี้ แต่ท่านเป็นหลานชายของมุขนายกเหมยหลี่ซา อย่างนั้นข้าจำเป็นต้องสังหารเจ้า”
สวีโหย่วหรง ยังคงสงบนิ่งอย่างนั้นเรากลับไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องที่จะสังหารผู้คนแต่กำลังอภิปรายกับอีกฝ่ายในข้อคิดเห็นของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์
ความสงบนี้ของนาง ทำให้อาจารย์เหมยชวนรู้สึกหวาดกลัวและหนาวเหน็บอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เสียงของเขาสั่นสะท้าน
หากว่านางสังหารเขาจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงสำนักการศึกษากลาง ต่อให้เป็นพระราชวังหลีและราชสำนักก็ทำอะไรไม่ได้
พระราชวังหลีและราชสำนักน่ะหรือที่จะให้เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ชดใช้ชีวิตของตนเพื่ออาจารย์เพียงท่านเดียว
“ถ้าหากท่านสังหารค่าในสำนักฝึกหลวง สิ่งที่ท่านและใต้เท้าสังฆราชพยายามจะรวมต้าเยี่ยนให้เป็นหนึ่ง ต้องเจอกับความยากลำบากเป็นแน่”
เสียงของอาจารย์เหมยชวนสั่นเทา แต่สีหน้ากลับดูจริงใจ ราวกับกำลังคิดแทนอีกฝ่ายอยู่
การตอบกลับของสวีโหย่วหรงเฉยเมยยิ่งนัก ในขณะเดียวกันนั่นก็หมายถึงความน่ากลัวเช่นกัน
“ข้าไม่ใส่ใจ”
เมื่อเอ่ยคำนี้จบ กระบี่จำศีลก็พลันมาถึงมือนางทันที
รูม่านตาอาจารย์เหมยชวนหดตัวลงอย่างรวดเร็ว มือขวาลอยขึ้นราวกับก้อนเมฆ ป้องอยู่หน้ากายตน ขณะเดียวกันเงาร่างก็อ่อนแรง เตรียมถอยหนีไป
แต่ไม่ทันแล้ว
เกิดเสียงดัง ฉึก
มือขวาของอาจารย์เหมยชวนลอยคว้างออกจากข้อมือก่อนตกลง
กระบี่จำศีลแทงทะลุทรวงอกเขาทันที
เกิดเสียงดัง
ในเสียงดังวึ้งๆ ประกายมากมายที่ราวกับดอกเหมยป่าลอยออกมาจากกระบี่จำศีลของนาง
ทั้งหมดนั่นคือเพลิงแท้หงส์สวรรค์
พลังชีวิตทั้งหมดเมื่อเจอเข้ากับประกายที่เล็กละเอียดนี้ก็ล้วนดับสิ้น
อาจารย์เหมยชวนคือผู้แข็งแกร่งแห่งขั้นรวบรวมดวงดาวแต่เมื่ออยู่ต่อหน้านางอย่าว่าแต่โอกาสที่จะชนะเลยต่อให้อยากจะขัดขวางก็ทำไม่ได้
ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายห่างชั้นกันมากเกินไป
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือตั้งแต่วินาทีที่กระบี่จำศีลได้พาความตายมาเยือน เขายังคงไม่เชื่อว่าสวีโหย่วหรงจะสังหารตน
เขาไม่ได้เป็นแค่อาจารย์เหมยชวน
เขาเป็นอาจารย์ที่สำนักการศึกษากลางส่งมา
เขาเป็นตัวแทนแห่งปณิธานทั้งหมดของขั้วอำนาจเดิมของสำนักฝึกหลวง
เขาคือมือข้างนั้นของซางสิงโจวที่ยื่นเข้ามาในสำนักฝึกหลวง
ต่อให้ท่านเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ เมื่อเผชิญหน้ากับมือข้างนี้ ไม่ควรที่จะเอ่ยคำเจรจา ต่างคนต่างถอย หลังจากนั้นค่อยหาข้อสรุปอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยหรือ
อาจารย์เหมยชวนรู้สึกว่าทั้งหมดนี้ช่างไม่ถูกต้องยิ่งนักสีหน้าซีดขาวของเขาเต็มไปด้วยแววตาที่คาดไม่ถึง
เขานั่งลงบนพื้นหิมะ กระอักเลือดออกมาไม่หยุด หลังจากนั้นจึงค่อยๆ หมดลมปราณ
ในผืนป่าเกิดความเงียบ ด้านหนึ่งของป่ามีเสียงเกิดขึ้น ในเสียงนั้นมีอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนมากอยู่
“ต่อให้จบค่ะเขาสุดท้ายก็ยังคงต้องบอกเหตุผลอยู่ดี”
สวีโหย่วหรง เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ใส่ใจ ข้าเพียงต้องการให้ทุกคนทราบว่า ข้าเป็นผู้สังหารเขา”
คนผู้นั้นถอนหายใจก่อนเอ่ย “มิน่าเล่าเจ้าจึงนัดข้ามาที่นี่”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “ถูกต้อง ข้าก็เพียงอยากให้ท่านเห็นภาพนี้”
หลังจากทราบเรื่องนี้ นางก็ตัดสินใจที่จะสังหารอาจารย์เหมยชวน ดังนั้นจึงได้มาที่สำนักฝึกหลวง และยังนัดและคนผู้นั้นที่อยู่ในป่า
เพียงแต่นางคาดไม่ถึงว่า เฉินฉางเซิงจะเจอคนผู้นี้ก่อน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอเรื่องยุ่งยากใจ
“ใช่ เปิ่นหวังเห็นแล้ว”
ชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านในของป่า
เขาสวมใส่เครื่องทรงจักรพรรดิ หล่อเหลา คมคาย เมื่อเทียบกับในปีนั้นแล้วมีความสุภาพเยือกเย็น สูงส่งขึ้นหลายส่วนที่
เฉินหลิวอ๋อง
บิดาของเขาเซี่ยงอ๋องคือท่านอ๋องที่อำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดในราชวงศ์ต้าโจว หลังจากจุติขึ้นเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ตำแหน่งก็พิเศษยิ่งนัก
และในฐานะที่เป็นผู้รักสาการเพียงคนเดียวในเมืองหลวงของราชวงศ์ชนตำแหน่งของเขาแน่นอนว่าต้องพิเศษนัก
และยิ่งมีข่าวลือว่าซางสิงโจวชื่นชมเขาเป็นพิเศษ เฉินหลิวอ๋อง จึงเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่สำหรับนางแล้ว เขายังคงเป็นเพื่อนร่วมเรียนหนังสือในพระราชวังเมื่อ 10 ปีก่อนผู้นั้น
เฉินหลิวอ๋องก็คงคิดแบบเดียวกันกับนาง
ดังนั้นเมื่อมองเห็นนางสังหารอาจารย์เหมยชวน ความคิดของเขาก็ไม่ได้อยู่ที่การจัดการเรื่องหลังจากที่เกิดเรื่องนี้แล้ว แต่กลับพูดแทงใจดำนาง
“คิดไม่ถึงเลยว่า เจ้าจะรักเฉินฉางเซิงมากถึงเพียงนี้
เฉินหลิวอ๋องเอ่ยอย่างปลงๆ ว่า “หากเป็นในปีนั้น ข้าคงคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะยินดีทำเพื่อผู้ชายเพียงคนเดียวมากมายถึงเพียงนี้”
อาจารย์เหมยชวนก็คือมือข้างนั้นที่ซางสิงโจวยื่นเข้ามาในสำนักฝึกหลวง
จะจัดการอย่างไรดีเล่า ขอเพียงเป็นคนที่มีความสุขุมและมีสมองก็ล้วนทราบได้ ว่ามือข้างนี้อย่างไรเสียก็ต้องตัดทิ้ง
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์เหมยชวนและมุขนายกเหมยหลี่ซานี้ทำให้เรื่องนี้ดูซับซ้อนมาก
สถานะของซางสิงโจวในราชวงศ์ต้าโจวรวมไปถึงในสำนักฝึกหลวงสูงส่งยิ่งนัก
เฉินฉางเซิงคิดอยากจะต่อกรกับอาจารย์ของตน นอกเสียจากสถานะใต้เท้าสังฆราชแล้ว ยังต้องรีบเร่งสร้างบารมีของตนขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
บารมีที่ว่านั้นมาจากขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์และความสามารถของเขา แล้วก็หมายถึงชื่อเสียงความนิยมเช่นกัน
ภายใต้การป่าวประกาศของพระราชวังหลีภายใต้อิทธิพลของอันหวาและผู้ติดตามอื่นที่ กระตือรือร้นอย่างที่สุด ชื่อเสียงในดินแดนยามนี้ของเฉินฉางเซิงมีมากขึ้นเรื่อยๆ
ชุดเสียงเหล่านี้มาจากยาจูซา มาจาก กระบี่นับหมื่นที่พุ่งตัวออกพร้อมกันในการรบกับราชามารเมื่อสามปีก่อน มาจากศิลาที่ตกลงมาในเขตพระราชฐานก้อนนั้น
คือเฉินฉางเซิงใช้โลหิตและหยาดเหงื่อของตน ใช้คุณธรรมที่ไร้ที่ติของตน ใช้เวลายาวนานสั่งสมมา
หากเขาสังหารทายาทของมุขนายกเหมยหลี่ซา นั้นจะต้องเป็นการทำลายชื่อเสียงของเขาอย่างร้ายแรง
หากพูดด้วยภาษาที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติก็คือ นี่จะเป็นการทำให้มือของเขาสกปรก
สวีโหย่วหรงทราบดีว่านี่จะทำให้เฉินฉางเซิงลำบากใจ
นางคาดเดาว่าถังซานสือลิ่วน่าจะไม่ทำให้เขาลำบากใจ
แต่ถังซานสือลิ่วเป็นคนของสำนักฝึกหลวง
เมื่อครู่ที่เดินอยู่ริมทะเลสาบ มองออกไปไกลจากต้นมะเดื่อ นางมี ความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์นี้ที่ผ่านไปนี้ของเฉินฉางเซิง
ตอนนี้เมื่อมาคิดดูนี่ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี
นางไม่ใช่คนของสำนักฝึกหลวง
นางสามารถสังหารผู้ใดก็ได้
เสียงกระเรียนร้อง ปลุกให้คนทั้งสำนักฝึกหลวงตื่นขึ้น
หิมะที่เกาะตัวอยู่ที่ปลายกิ่งไม้ค่อยๆ ตกลงมา
นักเรียนกว่าสิบคนกำลังเดินออกมาจากตึกเรียน พวกเขามองตามเสียงนกกระเรียนไป หลังจากนั้นจึงเดินเข้าไปในผืนป่า
ในป่านั้นเกิดเรียนกรีดร้องดังอื้ออึง