ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 102 ชะตากรรม
เสียงน้ำไหลจ้อกๆ กระบวยตักน้ำเลื่อนมารับน้ำอัตโนมัติ
กะละมังใบไม้ครามใบนั้นยังไม่กลับมา ข้าวเย็นวันนี้ยังคงเรียบง่ายเหมือนเดิม
ความเร็วในการกินอาหารของเฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือเร็วกว่าปกติอยู่บ้าง กับคนแรกด้วยแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ยากพบเห็นยิ่ง
จึงรู้แล้วว่า จดหมายราชการที่พวกเขาต้องอ่านในคืนนี้กับเรื่องที่ต้องพูดคุยนั้น สำคัญไฉน
ถาดอาหารบนโต๊ะยาวถูกเก็บไป อันหวาส่งน้ำสะอาดให้พวกเขาบ้วนปาก ตามด้วยผ้าขนหนูร้อน
ห้องข้างห้องโถง ตรงมุมๆ หนึ่งมีกองจดหมายราชการดุจเนินเขาเล็กๆ กองอยู่ จดหมายไม่กี่ฉบับที่พวกเขาต้องอ่านถูกคัดออกมา จากนั้นก็ค่อยจัดการให้เรียบร้อย
ยามรัตติกาล ในตำหนักไร้สุ้มเสียง เฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือมองดูจดหมายราชการในมือ ผ่านไปเนิ่นนาน ก็มิได้ปริปากพูด
บทสรุปท้ายที่สุดของการรบนั่น พวกเขารู้อยู่แต่แรกแล้ว แต่ตอนนี้เพิ่งเห็นรายละเอียดมากมาย
ไม่มีใครละทิ้งทหารฝ่ายขวาสามหมื่นคนในค่ายใหญ่ของกองทัพเส้นตะวันตก ดอดมาซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ ยอดเขานั่วรื่อหลั่งเงียบๆ คนเดียวแบบเซียงอ๋อง
แล้วฉวยโอกาสตอนที่ผู้คุมกฎเผ่ามารกับหวังผ้อพ่ายแพ้และบาดเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย กระโดดออกจากแสงอาทิตย์ จู่โจมด้วยท่าไม่ตายที่เด็ดขาดสุดของตัวเอง
หากการลอบจู่โจมครั้งนี้สำเร็จ การออกจากค่ายทหารโดยพลการ ย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่ของเขา และจะเป็นคุณูปการอันใหญ่หลวงที่สุดของการรบครั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มมาจนถึงตอนนี้
ไม่ว่าเซียงอ๋องคิดใช้คุณูปการนี้แลกกับการออกจากเมืองหลวงของเฉินหลิวอ๋อง หรือต้องการได้รับเกียรติละเว้นโทษตายจากป้ายอาญาสิทธิ ก็ล้วนเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง
หรือเป็นเพราะคิดถึงจุดๆ นี้อยู่ เซียงอ๋องถึงยอมเสี่ยงอันตราย หรือเคลื่อนไหวอย่างไร้ความหวาดกลัวขนาดนี้
น่าเสียดาย เขายังคงประเมินความสามารถของผู้คุมกฎเผ่ามารต่ำจนเกินไป
หวังผ้อบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถลงมือได้อีก
ผู้คุมกฏเผ่ามารได้รับบาดเจ็บไม่เบาก็จริง แต่กลับไม่ถูกแดดแผดเผาจนตาย
ในยามคับขัน ความมืดจากหุบเขาลึกแผ่นนั้น กลับกลายเป็นอาวุธของเขา
ผู้ที่เห็นฉากนั้น ล้วนตื่นตระหนกจนพูดไม่ออก
แต่เซียงอ๋องก็ไม่ยอมถอยไปเช่นนี้ จึงเปลี่ยนจากการลอบจู่โจม เป็นการจู่โจมอย่างหนัก
ผู้คุมกฎเผ่ามารตัดสินใจสละยักษ์ล้มภูเขาที่ตนนั่ง หนีออกจากยอดเขานั่วรื่อหลั่ง
ขณะเซียงอ๋องยืนอยู่บนศีรษะของยักษ์ล้มภูเขาที่เสียชีวิต พลางมองตามผู้คุมกฎเผ่ามารซึ่งหนีไปทาง
เหนือนั้น ได้เกิดความมั่นใจขึ้นอีกครั้ง จึงเปลี่ยนจากการจู่โจมอย่างหนัก เป็นการไล่ล่า
ซึ่งการไล่ล่านี้ กินระยะทางถึงหกร้อยลี้ แต่เขาก็ยังสังหารผู้คุมกฎมารไม่ได้ เนื่องจากคนชุดดำได้ตั้งค่ายกลดักรอไว้ที่นั่น แถมด้วยยอดฝีมือขุนพลมารสี่ท่านกำลังรอเขาอยู่
ถ้ามิใช่เพราะหัวหน้าพรรคหลีซานไปถึงทันท่วงที เซียงอ๋องอาจเสียชีวิตอยู่ตรงนั้นแล้ว
ทว่าถึงเป็นเช่นนี้ เซียงอ๋องกับหัวหน้าพรรคหลีซานก็ยังคงตกอยู่ในวงล้อมหลายชั้น
ทันใดนั้น ว่าวขนาดใหญ่สายหนึ่งได้ร่อนลงมาจากฟากฟ้า
…..
ไม่มีใครรู้ว่าเซียวจางได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ตอนนี้ไปไหนแล้ว
เหมือนกับที่ไม่มีใครรู้ว่า ขณะนี้เจ๋อซิ่วอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร
บางคนชินกับการต่อสู้เพียงลำพัง
ตั้งแต่เปิดศึกมาจนถึงตอนนี้ การต่อสู้ในครั้งนี้ของผู้แข็งแกร่งขั้นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่อลังการ ก็สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้
เผ่ามารบาดเจ็บล้มตายอย่างแสนสาหัส ท้ายที่สุด สี่ยอดฝีมือขุนพลมารที่ล้อมสังหารเซียงอ๋องกับหัวหน้าพรรคหลีซาน รอดชีวิตเพียงสองตน สูญเสียสมาชิกวุฒิสภาไปหนึ่งท่านกับเจ้าชายอีกหนึ่งองค์
เผ่ามนุษย์ ไม่สูญเสียผู้แข็งแกร่ง แต่เหมาชิวอวี่กับไหวเหรินเต้ากูล้วนบาดเจ็บสาหัส ส่วนอาการบาดเจ็บของหัวหน้าพรรคหลีซานก็สาหัสมาก
โก่วหานสือว่า “อาจารย์ผู้เฒ่ากลับเขาหลีซานรักษาอาการบาดเจ็บ ส่วนผู้อาวุโสที่เหลือไม่กี่ท่านก็ต้องพักรักษาตัวสักระยะหนึ่ง จึงจะไปแนวหน้าได้อีกครั้ง”
ผู้แข็งแกร่งขั้นแดนศักดิ์สิทธิ์ยากที่จะถูกฆ่าตาย นอกจากถูกล้อมจู่โจม หรือเผชิญหน้ากับผู้ที่ดำรงอยู่ในขั้นสูงกว่าอย่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่
แต่ถ้าบาดเจ็บสาหัสเกินเหตุ ก็ต้องถูกบังคับให้หยุดก้าวเดินไปข้างหน้าเช่นกัน ซึ่งหวังผ้อก็เข้าข่ายนี้
ตามความเห็นของเฉินฉางเซิง นี่ก็คือเจตนาของคนชุดดำ
แม้ต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างหนัก เขาก็ต้องการให้เหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์สูญเสียประสิทธิภาพการต่อสู้ไปชั่วคราว อย่างน้อยก็ไม่สามารถทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดดำเนินการก่อนฤดูหนาว
เมื่อไม่มีผู้แข็งแกร่งขั้นแดนศักดิ์สิทธิ์ การเดินหน้าของกองทัพเผ่ามนุษย์ก็ถูกอุปสรรคใหญ่ขวางกั้น กระบวนการหลายอย่างช้าลงกว่าแผนเดิมที่ได้วางเอาไว้ ซึ่งจะถูกถ่วงเวลาอีกนานเท่าใด
และถ้ากองทัพเผ่ามนุษย์ไปถึงเมืองเสวียเหล่าจริงๆ หิมะที่ปลิวว่อนอยู่บนท้องฟ้ายังจะให้โอกาสใดๆ กับพวกเขาหรือไม่
การใช้ความตายของผู้แข็งแกร่งขั้นแดนศักดิ์สิทธิ์สองท่านกับยอดฝีมือขุนพลมารสองท่าน แลกกับการจัดวางโครงสร้างภายในทั้งหมดในเวลาสิบกว่าวัน การตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ใช่ว่าคนทั่วไปจะทำได้
ทุกครั้งที่นึกถึงจุดๆ นี้ เฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือก็ต้องระแวดระวังราชามารวัยละอ่อนท่านนี้มากยิ่งขึ้น
กระทั่งคลับคล้ายเกิดความรู้สึกนับถือด้วยซ้ำ
แต่ที่น่ากลัวสุด ยังคงเป็นคนชุดดำ
อนุมานได้ว่า หลังจากดำเนินการ เขาน่าจะคาดการณ์ได้อย่างชัดเจน ถึงรายละเอียดทั้งหมดก่อนละหลังการต่อสู้ระหว่างผู้คุมกฏเผ่ามารกับหวังผ้อ
เขาคำนวณได้ว่า ผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ท่านใดจะปรากฏตัวขึ้น กระทั่งคำนวณได้ว่าเซียงอ๋องจะออกจากค่ายใหญ่ทางตะวันออกโดยพลการ
พูดได้ว่า การเข้าใจจิตใจคนของเขาอยู่ในระดับที่น่ากลัวมากแล้ว
ถ้าก่อนและหลังการต่อสู้บนยอดเขานั่วรื่อหลั่งจบลงเช่นนี้ อย่างน้อยคนชุดดำก็สามารถประกาศชัยชนะของตนในช่วงที่สองของสงครามได้
แต่ความจริงเขากลับพ่ายแพ้
กองทัพเผ่ามนุษย์ทะลวงแนวป้องกันที่สองของเผ่ามารได้เร็วกว่าที่จินตนาการไว้
ขณะฤดูร้อนยังไม่สิ้นสุดทั้งหมด ทหารม้าสามนายที่อยู่แนวหน้าสุด มองเห็นเค้าโครงเมืองเสวียเหล่าจากระยะไกลแล้ว
เนื่องจากตอนที่การต่อสู้บนยอดเขานั่วรื่อหลั่งกำลังดำเนินไป ในสนามรบก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เหนือคาดหมาย
บุคคลสำคัญสุดที่อยู่ระหว่างการแพ้ชนะ ก็คือผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขุนพลเทพเฮ่อหมิง
ทุกคนล้วนคิดว่า การที่ขุนพลเทพเฮ่อหมิงได้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพเผ่ามนุษย์นั้น คือผลจากการประนีประนอมทางการเมือง หรือชะตากรรมจากความหุนหันพลันแล่นขององค์จักรพรรดิกับองค์สังฆราช สองศิษย์พี่น้อง
อีกทั้งคล้ายสงครามในอดีตเมื่อหลายร้อยปีก่อน ที่นอกจากทหารม้าเกราะดำแล้ว แม่ทัพนายกองทั่วไปแทบไม่มีผลต่อการแพ้ชนะในสงคราม นอกเสียจากว่า ท่านคือหวังจือเช่อ
แต่ขุนพลเทพเฮ่อหมิงมีบทบาทสำคัญกับสงครามในครั้งนี้มาก
ขณะที่การต่อสู้ในวันนั้นดำเนินไปจนดุเดือดสุด ในรัศมีร้อยลี้หน้าภูเขา ล้วนเป็นสมรภูมิของผู้แข็งแกร่งขั้นแดนศักดิ์สิทธิ์
แต่ขุนพลเทพเฮ่อหมิงกลับตั้งกระโจมบัญชาการกลางไว้ด้านหน้าสุด ซึ่งดูอย่างไรก็ไม่ใช่การตัดสินใจที่ชาญฉลาดนัก โดยเฉพาะในตอนนี้
ผลพวงจากพลังอันน่าเกรงขาม เมื่อผู้แข็งแกร่งขั้นแดนศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้กัน สามารถก่ออันตรายอย่างใหญ่หลวงกับพลทหารธรรมดา
จึงต้องอาศัยการปกป้องจากค่ายกล ขวางกั้นพลังลมปราณของเหล่าผู้แข็งแกร่งขั้นแดนศักดิ์สิทธิ์ขณะเหล่าทหารทำการโต้ตอบพลหมาป่าเผ่ามารไม่หยุดหย่อน แต่สถานการณ์จะแปรเปลี่ยนเป็นเสี่ยงอันตรายมาก เมื่อลมแรงพัดผ่าน ประหนึ่งคันไถที่มองไม่เห็น ฉีกกระโจมค่ายขาดเป็นระยะ ก้อนหินบินว่อน ไม่รู้มีทหารมาก
น้อยเท่าไรที่ถูกก้อนหินปลิวกระทบ ศีรษะแตก โลหิตไหล
กระโจมบัญชาการกลางถูกฉีกออกเป็นรูเบ้อเริ่มเทิ่มรูหนึ่ง ลมและทรายพัดเข้ามาไม่หยุด ตะเกียงน้ำมันวัวดับไปแต่แรก มีเพียงไข่มุกราตรีที่ยังคงส่องแสง ให้ความสว่างกับภาพวาดมืดๆ ขุนพลเทพเฮ่อหมิงมองดูแผนที่ พร้อมท่าทางเคร่งขรึม แล้วจึงออกคำสั่งอย่างสงบนิ่ง จากนั้นผู้ส่งสารก็รุดออกไปทันที
ทุกครั้งที่พลหมาป่าเผ่ามารบุกเข้ามา จะเขยิบเข้าใกล้กระโจมบัญชาการกลางมากขึ้นเรื่อยๆ
และขณะจู่โจมครั้งสุดท้าย หมาป่าตัวใหญ่ตัวนั้นก็อยู่ห่างจากกระโจมไม่ถึงสองลี้
เยี่ยเสี่ยวเหลียนหันมองใบหน้าด้านข้างของขุนพลเทพเฮ่อหมิง เห็นแววตาที่ค่อนข้างซับซ้อน
นางเคยเสนอให้ถอยทัพอยู่หลายครั้ง แต่ขุนพลเทพเฮ่อหมิงไม่เคยเห็นด้วยเลยสักครั้ง
และสิ่งที่ทำให้นางยิ่งไม่เข้าใจก็คือ หลังออกคำสั่งทุกครั้ง กระทั่งแสงธนูศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีหน้าที่ปราบปรามการจู่โจมของพลหมาป่า ก็เบาบางลงไปมาก
และตอนนี้ ก็ให้ศิษย์สามร้อยกว่าคนของสถานศึกษาหนานซีตั้งค่ายกลกระบี่นอกค่ายทหาร
ต่อให้พลหมาป่าบุกเข้ามา หรือแม้แต่เจ้าชายจากเมืองเสวียเหล่าผู้นั้นบุกมาสู้กับศิษย์ป้าศิษย์น้านอกค่ายทหาร นางก็มั่นใจว่าสามารถปกป้องขุนพลเทพได้
ปัญหาอยู่ที่ เหล่าศิษย์สถานศึกษาหนานซีจะล้มตายกันมากน้อยเพียงใด
ขณะที่นางกำลังนึกถึงปัญหาเหล่านี้อยู่นั้น ขุนพลเทพเฮ่อหมิงพลันถามคำถามหนึ่งขึ้น
โดยตอนนั้น ผู้ที่อยู่ในกระโจมล้วนรู้สึกว่า คำถามนี้ไร้เหตุผลสิ้นดี
“ค่ายทางเหนือของเผ่าปีศาจถึงไหนแล้ว”
เจ้าหน้าที่ทางการทหารคนหนึ่งอึ้งไปสักพัก ก่อนตอบ “รายงานเมื่อวันก่อนบอกว่า ออกจากชงโจวแล้ว”
“เพิ่งออกจากชงโจวเนี่ยนะ”
ขุนพลเทพเฮ่อหมิงถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง เห็นชัดว่าเสียดายยิ่ง แล้วว่า “อยู่ห่างกันเกินไป เช่นนั้นข้าคงต้องจัดการเองแล้ว”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนรู้สึกไม่เข้าใจเลย ในใจคิด ต่อให้กองหนุนเผ่าปีศาจมาถึงแต่แรก หรือตอนนี้สามารถปรากฏตัวมาช่วยท่านได้
เรื่องเล่าที่ว่า ทหารม้าหลายหมื่นนายบุกจู่โจมหุบเขาลึก สุดท้ายก็คือเรื่องเล่า
นอกจากจะกระทำแบบเดียวกับเผ่ามาร ใช้เวลาหลายร้อยปีสร้างค่ายกลช่องทางผ่านไว้ล่วงหน้า มิเช่นนั้น ก็ยากที่เกิดการลอบจู่โจมเช่นนี้ ในโลกที่นกอินทรีแดงกับนกอินทรีปีศาจบินอยู่ด้วยกัน
“รอให้พวกเขาจู่โจมเสร็จ ค่อยถึงตาเรา”
ขุนพลเทพเฮ่อหมิงเงยหน้าขึ้น มองผ่านรูโหว่ตรงกระโจมด้านบนไปยังท้องฟ้า
ที่นั่นเกิดควันดำโขมง เห็นเงาร่างขนาดใหญ่ตะคุ่มๆ แสงกระบี่สว่างไสว คล้ายมาจากอีกโลกหนึ่ง
นั่นคือโลกของผู้แข็งแกร่งขั้นแดนศักดิ์สิทธิ์
ทว่าเยี่ยเสี่ยวเหลียนก็ยังไม่เข้าใจความหมายในคำๆ นี้ของขุนพลเทพเฮ่อหมิงอยู่ดี
จึงหันไปมองมุมมืดที่สุดในกระโจมตามจิตใต้สำนึก