ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 103 เจ้ากับข้าสะใจ เขากับนางบนกระดาษ
หลังจากหวังผ้อกับผู้คุมกฏเผ่ามารประดาบกัน ผู้ที่เคลื่อนไหวเป็นคนแรก มิใช่เซียงอ๋องที่กระโดดออกมาจากแสงอาทิตย์ และมิใช่คนชุดดำที่ซ่อนตัว หลังจากวางกับดัก
แต่เป็นขุนพลเทพเฮ่อหมิง
เขาลูบใบหน้าอันอ่อนล้า ก่อนเดินไปยังประตูกระโจมบัญชาการกลาง มองไปยังที่ๆ ไกลแสนไกล
พลหมาป่าหยุดการจู่โจม กลายเป็นลำธารดำมืดหลายสาย ไหลคืนสู่เส้นทางในความมืดที่อยู่เบื้องล่างยอดเขานั่วรื่อหลั่ง
ผู้คุมกฎเผ่ามารพ่ายแพ้หนีไปแล้ว เซียงอ๋องตามไปแล้ว หัวหน้าพรรคหลีซานไล่ตามไปแล้ว
ไหวเหรินเต้ากูนั่งลงรักษาอาการบาดเจ็บ เหมาชิวอวี่เข้าขวางขุนพลมารที่สามและขุนพลมารที่แปด หวังผ้อยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อน
เจ้าชายแห่งเมืองเสวียเหล่าท่านนั้นตกลงบนทุ่งหญ้า กระแทกดินหินนับครั้งไม่ถ้วน ยากที่จะลุกขึ้นยืนได้อีก เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล อยากดูฝ่ายตรงข้ามแต่กำลังจะตาย
“เจ้าคือผู้บัญชาการทหารสูงสุดเผ่ามนุษย์?”
เจ้าชายผู้นั้นจ้องมองขุนพลเทพเฮ่อหมิง เห็นอารมณ์คลุ้มคลั่งในแววตา “เช่นนั้นวันนี้โชคของเจ้าก็ไม่ดีเอามากๆ”
แม้เขากำลังจะตาย แม้ขุนพลเทพเฮ่อหมิงเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นรวบรวมดวงดาวเหมือนกัน แต่ธรณีประตูของแดนเทพศักดิ์สิทธิ์นี้สูงมากจริงๆ เขายังจะสามารถสังหารขุนพลเทพเฮ่อหมิงได้จริงหรือ
เหล่าศิษย์สาวสถานศึกษาหนานซีดุจดอกไม้สีขาวโปรยปราย ปิดล้อมกระโจมบัญชาการกลางไว้
พวกนางนึกไม่ถึงว่า ผู้แข็งแกร่งขั้นแดนศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้จะหล่นลงมาจากฟากฟ้า จึงแตกตื่นไปชั่วขณะ
เยี่ยเสี่ยวเหลียนกลับไม่แตกตื่นแม้แต่น้อย ตะโกนเสียงใส “จับ!”
ขุนพลเทพเฮ่อหมิงกลับว่า “ถอย!”
เสียงของเขาสงบนิ่งมาก แต่แน่วแน่ยิ่ง
เยี่ยเสี่ยวเหลียนไม่เข้าใจ กระทั่งโมโหอยู่บ้าง แต่พอนึกถึงสิ่งที่อาจารย์ใหญ่ของสถานศึกษาฝากฝังไว้ ก็กัดฟันตะโกน “พวกเราถอย!”
ดอกไม้สีขาวบานสะพรั่งแล้วลอยออก ทำให้กระโจมโดยรอบพังทลายลง
พลธนูนับร้อย มือถือลูกธนูแสงศักดิ์สิทธิ์ เล็งไปที่เจ้าชายแห่งเมืองเสวียเหล่าซึ่งเนื้อตัวเต็มไปด้วยโลหิต
ลูกธนูนับร้อยดอกถูกยิงออกพร้อมแสงศักดิ์สิทธิ์ ก่อนก่อตัวเป็นลำแสงกว้างหลายศอกหนึ่งสาย พุ่งทะลุผ่านร่างของเขา
แล้วร่างของเจ้าชายเผ่ามารก็หายไปกว่าครึ่ง
เขาก้มลงมองร่างตนเอง เห็นอารมณ์ลุกลี้ลุกลนในแววตาวาบหนึ่ง
เสียงฝีเท้าหนาทึบดังทำลายความเงียบ เหล่าทหารม้ากลับมาจากสมรภูมิรบ
ผู้คนยังไม่ทันลบภาพตรงหน้าที่ทำให้ตื่นตกใจออก ก็ได้ยินคำสั่งที่ทำให้พวกเขายิ่งตกใจเข้าไปอีก
ขุนพลเฮ่อหมิงกล่าว “อีกหกสิบอึดใจ ออกเดินทาง”
ขุนพลเทพผู้หนึ่งถามอย่างตื่นตระหนก “ใต้เท้า ไปไหน?”
ขุนพลเทพเฮ่อหมิงตอบ “เมืองเสวียเหล่าไง”
คำๆ นี้เขาพูดได้อย่างสมเหตุสมผลยิ่ง
เยี่ยเสี่ยวเหลียนตะลึงงัน พลันนึกถึงนายน้อยบ้านสกุลถังบนถนนเสินในเมืองหลวงเมื่อหลายปีก่อน และนึกถึงผู้อาวุโสซูหลีที่อาจารย์ใหญ่พูดขึ้นเป็นครั้งคราว
รายละเอียดของกำหนดการย่อมมีเจ้าหน้าที่ทางการทหารและแม่ทัพท่านอื่นๆ รับผิดชอบ ขุนพลเทพเฮ่อหมิงจึงเดินกลับกระโจม พอมาถึงด้านหน้าของมุมมืดนั้น ก็พูดเสียงเบา
“ลำบากเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว”
สวีโหย่วหรงลืมตาขึ้นจ้องมองเขา พลางถาม “เจ้ามีความมั่นใจมากน้อยแค่ไหน”
หลายวันก่อน นางหลับตาไม่ลงอยู่หลายคืน จึงอ่อนล้าเป็นอย่างยิ่ง
เดิมทีวันนี้อยากนอนให้เต็มอิ่มเสียหน่อย สุดท้ายก็ถูกหัวหน้าพรรคหลีซานที่อยู่ในกองของเบ็ดเตล็ดลากไปคุยด้วย กว่าที่หัวหน้าพรรคหลีซานจะจากไปนั้นไม่ง่ายเลย นางจึงหลบมาอยู่ที่นี่ คิดพิงลูกกรงหลับตาสักพัก สุดท้ายนอนได้ไม่ทันไร การสู้รบด้านนอกก็สิ้นสุดลงแล้ว แถมมีคนมารบกวนนางอีก
นางนอนไม่พอ จึงอารมณ์ไม่ค่อยดี ทำให้พูดจาไม่เกรงใจไปโดยปริยาย
ขุนพลเทพเฮ่อหมิงคิดๆ ดู ก่อนว่า “สามในสิบส่วน”
สวีโหย่วหรงคิดๆ ดู ก่อนว่า “พอแล้ว”
ขุนพลเทพเฮ่อหมิงพูดอย่างสะทกสะท้อนใจ “เวลาคุยกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ รู้สึกสะใจจริงๆ”
สวีโหย่วหรงตอบ “คำพูดนี้ไม่ผิด ถ้าเฉินฉางเซิงมา ต้องน่าเบื่อแน่ๆ”
นางหยิบของที่ทำจากสำริดชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ซึ่งก็คือของวิเศษที่ซางสิงโจวใช้กระจกเฮ่าเทียนทำขึ้นชิ้นนั้น
นางไม่ได้เตรียมที่จะติดต่อกับเมืองหลวง เพราะของวิเศษอีกชิ้นไม่ได้อยู่ในมือเฉินฉางเซิง แต่อยู่ในมือเซวียเหอ
นางบอกเรื่องสองเรื่องกับเสวียเหอ
หนึ่ง เซียงอ๋องได้รับบาดเจ็บสาหัส ในระยะเวลาอันสั้นนี้ไม่สามารถกลับไปที่ค่ายซีจิ่ว
สอง ผู้บัญชาการทหารสูงสุดขุนพลเทพเฮ่อหมิงขอให้กองทัพเส้นตะวันตกทั้งกองออกเดินทาง และภายในสามวันต้องไปให้ถึงพื้นที่ตอนกลางของที่ราบสูงปู้หนง ยึดเมืองซัวหลัว
เชื่อว่าเสวียเหอน่าจะเข้าใจความหมายของสองเรื่องนี้ดี
อีกทั้งเรื่องนี้ก็ผ่านการรับรองร่วมกันของขุนพลเทพเฮ่อหมิงกับสวีโหย่วหรงแล้ว
เป็นไปตามคาด พอดึกหน่อย เสวียเหอก็ตรงไปยังค่ายใหญ่ของฝ่ายขวา ยึดอำนาจทางทหารของเซียงอ๋อง จากนั้นก็นำพาค่ายซีจิ่วเดินทางขึ้นเหนือ
ซึ่งกองทัพเส้นกลางกับเส้นตะวันออก ก็เคลื่อนทัพพร้อมกัน
โดยกองทัพเส้นตะวันออกทำเวลาได้เร็วสุด ไปถึงค่ายเป่ยซานก่อนใคร
พวกเขาเร่งเดินทัพทั้งวันทั้งคืน อ้อมช่องเขาซิงซิง ข้ามแม่น้ำอู่ไถ เข้ายึดพื้นที่ตอนใต้ของที่ราบสูงปู้หนงซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ทางทหารที่สำคัญสุด
ถ้าทะลวงเข้าจากจุดๆ นี้ กองทัพเผ่ามนุษย์ก็จะบุกเข้าไปได้เร็วกว่าที่คิดไว้ บีบให้แนวป้องกันดุจเหล็กกล้าลำดับที่สองของเผ่ามารต้องแบ่งออกเป็นสามส่วน
เวลาเป็นสิ่งสำคัญสุด แรกเริ่มทำสงคราม เสียเวลาไปสิบเจ็ดวัน แต่ขั้นตอนนี้ทำให้แย่งชิงเวลากลับมาได้ทั้งหมด
การวางกลยุทธ์ของคนชุดดำ พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงก็ว่าได้
…..
เฉินฉางเซิงวางจดหมายราชการในมือลง ใจลอยสักพัก
รู้สึกว่าเนื้อหาบนกระดาษไม่สมบูรณ์พอ
กองทหารฝ่ายซ้ายของค่ายเป่ยซาน เร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืน อ้อมช่องเขาซิงซิง ข้ามแม่น้ำอู่ไถ
บนกระดาษมีเพียงประโยคสั้นๆ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง เรื่องราวที่กล้าหาญชาญชัยเช่นนี้เป็นไปได้อย่างไรกัน
“สาเหตุที่สำคัญสุดคือ เมื่อเผ่ามารบุกเข้ามา ค่ายเป่ยซานไม่ได้รับความเสียหายใดๆ”
พอโก่วหานสือนึกถึงชื่อของคนทั้งสามที่เป็นกลยุทธ์ทำคุณประโยชน์ในแนวหน้า ก็หัวเราะออกมา
มิใช่เพราะทั้งสามสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ นำความรุ่งโรจน์มาสู่เขาหลีซาน แต่เป็นเพราะพวกเขายังมีชีวิตรอดอยู่
ที่สำคัญคือ นกอินทรีดำหลายพันตัวที่บินออกจากหน้าผานั่น เหตุใดจู่ๆ ถึงได้ตกลงบนทุ่งหญ้า เผาตัวตายเสียอย่างนั้น
คำถามนี้ เจ้าหน้าที่ทหารในแนวหน้าคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ จดหมายส่วนตัวที่เหลียงปั้นหูส่งกลับมาก็แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็สงสัยเช่นเดียวกัน
ขณะจ้องมองสีหน้าเฉินฉางเซิง โก่วหานสือคลับคล้ายคาดเดาความจริงได้ แต่เมื่อเฉินฉางเซิงไม่พูดถึง เขาก็ไม่สะดวกที่จะพูดอะไร
เรื่องราวระหว่างองค์สังฆราชกับผู้คุ้มกันของเขา แม้ไม่ถูกซุบซิบนินทา แต่ผู้ที่ควรรู้ ก็ล้วนรู้แล้ว
อย่างไรเสีย ตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงในปีนั้น ก็ไม่มีใครเห็นสาวชุดดำที่อยู่ข้างกายเฉินฉางเซิงอีก
คิดว่า พอนางไปจากเกาะทางใต้ที่อบอุ่น ก็ไปหาบิดาผู้ซึ่งเคยเหยียบย่ำทุ่งหิมะมาก่อน อารมณ์ของเฉิน
ฉางเซิงค่อนข้างซับซ้อน และพอเขาสังเกตเห็นว่าโก่วหานสือกำลังมองตนด้วยสีหน้ากึ่งขำ ก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกอยู่
บ้าง พอนึกถึงเรื่องๆ หนึ่ง ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“คนประหลาดเผ่ามารที่อยู่ในหน้าผาผู้นั้น ก่อนตายเขาตะโกนไม่หยุด ตะโกนว่าอะไร”
“ซูหลีมิใช่จากไปแล้วหรือ”
“หือ?”
โก่วหานสือยิ้มพลางว่า “ข้ากำลังบอกว่า ประโยคนี้ล่ะ ที่คนเผ่ามารผู้นั้นตะโกน เขาน่าจะอยู่ในชนเผ่าผี ที่เชี่ยวชาญในการควบคุมอสูรปีศาจ ซึ่งน่ากลัวกว่าชนเผ่าเวทที่อยู่ทางใต้เสียอีก ข่าวว่าพวกเขาได้ถูกอาจารย์ปู่เล็กไล่ล่าอยู่หลายปี จนสูญพันธุ์ไปแล้ว นึกไม่ถึงว่ายังมีผู้รอดชีวิตอยู่”
ตอนนั้น เหตุใดซูหลีถึงต้องไล่ล่าชนเผ่าผี
พรรคกระบี่หลีซานมิได้บันทึกไว้ โก่วหานสือจึงไม่รู้ และเฉินฉางเซิงก็เดาไม่ออก
พวกเขาสบตากัน พลางนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง
หรือเมื่อหลายร้อยปีก่อน ซูหลีเห็นว่าชนเผ่านี้มีความสำคัญต่อการรบ?
อาจเป็นเช่นนี้จริงๆ
เนื่องจากก่อนจากโลกนี้ไป ซูหลีสู้รบกับชนเผ่ามารมาโดยตลอด
ถ้าไม่ได้ต่อสู้กัน ก็ทำสงครามกัน
แล้วเจ้าหมอนั่น ที่ตั้งแต่ถือกำเนิด ก็เริ่มต่อสู้กับชนเผ่ามารล่ะ?
เฉินฉางเซิงอยากรู้จริงๆ ว่าเจ๋อซิ่วอยู่ที่ไหนกันแน่
โก่วหานสือก็รู้สึกกังวลใจยิ่ง เนื่องจากเจ๋อซิ่วในตอนนี้ มีฐานะเป็นลูกเขยเขาหลีซาน
แนวหน้าย่อมมีบันทึกยุทธวิธีการรบ
สิ่งที่รู้ก็คือ ตั้งแต่เปิดศึกมาจนถึงตอนนี้ เจ๋อซิ่วได้สังหารพลทหารเผ่ามารไปสิบกว่าตน
สำหรับพลทหารธรรมดา นี่เป็นผลงานที่น่าภาคภูมิใจยิ่ง แต่สำหรับเจ๋อซิ่วแล้ว เห็นชัดว่าแปลกประหลาดอยู่บ้าง
ความสามารถของเขามิได้มีเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน
แล้วเขาอยู่ที่ไหนกันแน่ กำลังทำอะไรอยู่
“เห็นที ข้าต้องไปก่อนแล้ว” เฉินฉางเซิงพูดกับโก่วหานสือ
ช่วงฤดูใบไม้ผลิ โก่วหานสือเคยพูดกับเขาว่า ต้องเห็นเมืองเสวียเหล่าแล้วเท่านั้น เขาจึงจะสามารถออกจากเมืองหลวงได้
ตอนนี้แม้ทหารม้าสามนายเห็นเมืองเสวียเหล่าแล้ว แต่ยังมีหนทางอีกยาวไกลกว่าที่กองทัพเผ่ามนุษย์จะเดินทางไปถึงเมืองเสวียเหล่า แล้วเขาจะไปทำไมตอนนี้
แม้ครั้งนี้กองทัพเผ่ามนุษย์ได้รับชัยชนะในการต่อสู้ แต่ในด้านอื่นๆ ก็ฝืนพูดได้ว่าเผ่ามารบรรลุวัตถุประสงค์ในการรบแล้วเช่นกัน
รวมไปถึงหวังผ้อและผู้แข็งแกร่งขั้นแดนศักดิ์สิทธิ์ในเผ่ามนุษย์ส่วนใหญ่ล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่
สามารถลงมืออีกครั้งในระยะเวลาอันสั้น
สถานการณ์เช่นนี้ ง่ายต่อการเกิดคำถามขึ้นในจิตใจของเหล่าทหาร เนื่องจากผู้แข็งแกร่งขั้นแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อมั่น
ตอนนี้ถ้าเฉินฉางเซิงปรากฏตัวขึ้นที่แนวหน้า จะสามารถรักษาความเชื่อมั่นในใจของทหารได้เป็นอย่างดี
และถ้าสวีโหย่วหรงกับเขาปรากฏตัวร่วมกัน ก็จะยิ่งได้ผลอย่างเห็นได้ชัด
เฉินฉางเซิงว่า “ขอเพียงฝ่าบาทอยู่ในวังหลวง เมืองหลวงก็ไม่มีทางวุ่นวาย จิตใจของผู้คนก็ไม่วุ่นวายตามไปด้วย”
ครั้งนี้โก่วหานสือมิได้แสดงท่าทีคัดค้าน
เพราะสถานการณ์ไม่เหมือนเมื่อครั้งฤดูใบไม้ผลิแล้ว
เมืองหลวงได้เข้าสู่ฤดูร้อนอย่างแท้จริง
ลมพัดผ่านตัวเมือง ถูกลำน้ำและต้นหลิวข้างแม่น้ำกรองจนเย็นลงไปบ้าง แต่เมื่อปะทะกับกำแพงแดงของวังหลวง ก็เปลี่ยนเป็นร้อนขึ้นมา
ใบหน้าม่ออวี่แดงเล็กน้อย จอนผมเหงื่อออกอยู่บ้าง มือซ้ายถือผ้าเช็ดหน้าโบกไปมาไม่หยุด ไม่ได้ติดกระดุมตรงลำคอ เผยให้เห็นความขาวกระจ่างใส
เฉินฉางเซิงนั่งอยู่ตรงข้ามนาง มองดูน้ำชาในถ้วย รู้สึกว่าในนั้นคล้ายจะมีดอกไม้งอกออกมาดอกหนึ่ง