ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 11 คำประกาศของสำนักฝึกหลวงใหม่
ถังซานสือลิ่ว มาถึงช้าไปหน่อย
เขากลับไปหยิบกระบี่ที่ตึกเล็ก เมื่อเขาเดินอ้อมทางเดินเงียบสงบของทะเลไผ่มาถึง ในป่านั้น ก็มีผู้คนยืนอยู่เต็มไปหมดแล้ว
พุ่มเหมยป่าเหล่านั้นถูกเหยียบย่ำเสยจนวุ่นวายไปหมด บนพื้นหิมะผิวท่ามกลางผู้คนมีร่างของอาจารย์เหมยชวนนอนอยู่ ยังมีร่องรอยของโลหิตสีแดงหลายจุด
เมื่อเห็นภาพนี้ แน่นอนว่าเขาต้องเก็บกระบี่เวิ่นสุ่ยไว้เบื้องหลัง ก่อนจะมองไปยังเด็กนักเรียนคนหนึ่ง พลางเอ่ยถาม “นี่มันเกิดเรื่องอันใดกันขึ้น”
สีหน้าของเด็กนักเรียนคนนั้นสีขาวก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเทาว่า “ได้ยินว่าอาจารย์ไม่เคารพเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์…ดังนั้น…”
ถังซานสือลิ่วตกตะลึง เขาไม่รู้ว่าสวีโหย่วหรงเองก็มาที่สำนักฝึกหลวง และก็คิดไม่ถึงว่านางจะเป็นผู้สังหารอาจารย์เหมยชวน
เขาเอ่ยถาม “แล้วเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เล่า”
“นางจากไปแล้ว” นักเรียนผู้นั้นคิดว่าเขาไม่เชื่อในคำพูดของตนรีบเอ่ยเพิ่มเติมว่า “เฉินหลิวอ๋องก็อยู่ในที่นี้ เขาเอาตัวเองเป็นประกัน”
ถังซานสือลิ่วไม่เข้าใจว่าท่านอ๋องหนุ่มผู้นั้นที่ตนไม่ชื่นชอบที่สุดเหตุใดจึงมายังสำนักฝึกหลวง หรือว่ามีนัดกับสวีโหย่วหรงหรือ
เขามองไปยังศพของอาจารย์เหมยชวน พลางเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนเอ่ยถาม “ที่แท้เป็นเยี่ยงนี้หรอกหรือ อย่างนั้นก็สมควรตายจริงๆ”
ด้านนอกป่ามีเสียงของซูม่ออวี๋ดังขึ้น เราอาจารย์และนักเรียนต่างก็รีบจากไป
ไม่รู้ว่าเฉินฉางเซิงมาถึงยังที่แห่งนี้เมื่อไหร่กัน
เขามองไปยังร่างของอาจารย์ไหมชวน เงียบขรึมอยู่นาน
ถังซานสือลิ่วเอ่ยถาม “เจ้าจะกลับไปพระราชวังหลีเมื่อใด”
สมเด็จใต้เท้าสังฆราช แน่นอนว่าต้องกลับพระราชวังหลี
เวลานี้ไม่อาจยืดเยื้ออีกต่อไป
เมื่อเฉินฉางเซิงกลับไปยังพระราชวังหลีก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาภายในของสำนักฝึกหลวงโดยตรง
การตายของอาจารย์เหมยชวน จะไม่ทำให้ปัญหานี้ง่ายขึ้นมาแน่ แต่จะช่วยให้วิธีการแก้ไขปัญหานี้ง่ายขึ้น
หากว่ากันตามวัตถุประสงค์บางประการ สวีโหย่วหรงอาจจะทำการตัดสินใจแทนเฉินฉางเซิง
ซู่ม่ออวี๋ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น “จะมีการเปิดการประชุมแสงสว่างในวันนี้”
ถังซานสือลิ่วเอ่ย “สำนักการศึกษากลางจะมีปฏิกิริยาอย่างไร”
ซู่ม่ออวี๋เอ่ย “เจ้าสำนักเหมา แกรนด์กายบำเพ็ญในช่วงหลายวันนี้สำนักการศึกษากลางจะตัดสินโดยมุขยายกอาภรณ์แดงสามท่าน”
ถังซานสือลิ่วเอ่ย “ล้วนเป็นคนจากทางนั้นหรือ”
ซูม่ออวี๋เอ่ย “ถูกต้อง”
ถังซานสือลิ่ว “อย่างนั้นคงไม่สามารถเลือกจากพวกเขาได้”
เฉินฉางเซิงและซูม่ออวี๋ล้วนเข้าใจเจตนาของเขา
เหมาชิวอวี่ใกล้จะบรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์เต็มที หรือบางทีอาจจะในหลายสิบวันนี้ หรืออาจจะใช้เวลาน้อยกว่านั้นที่จะประสบความสำเร็จ
หากอ้างอิงตามวิธีการที่ผ่านมาของสำนักฝึกหลวงในตอนนั้นเหมาชิวอวี่จะมีนามศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการ สถานะจะยิ่งได้รับความเคารพขึ้นไปอีก แต่ไม่สามารถ ดำรงตำแหน่งมหามุขนายกตำหนักอิงหัว รวมถึงตำแหน่งอื่นๆ ได้
ในส่วนของเหตุผลนั้น ผู้ใดก็ล้วนทราบดี
ปัญหาก็คือ ตำแหน่งมุขนายกตำหนักอิงหัวที่สำคัญที่สุดตำแหน่งนี้จะเป็นผู้ใดมารับตำแหน่งกัน
“หากตัดมุขนายกอาภรณ์แดงที่อาวุโสสูงสุดทั้งสามท่านนั้นไป คนที่มีคุณสมบัติเหมาะที่สุดที่จะควบคุมสำนักการศึกษากลางก็คือเจ้าสำนักจวง”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวนี้ เฉินฉางเซิงและถังซานสือลิ่วก็ล้วนเงียบไป
ซูม่ออวี๋เอ่ยถึงเจ้าสำนักจวง ซึ่งก็คือจวงจือห้วนที่เป็นเจ้าสำนักเทียนเต้านั่นเอง
สถานะของสำนักเทียนเต้าในสำนักฝึกหลวงสูงมาก ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ของจวงจือห้วน รวมถึงประสบการณ์ต่างๆ ก็ล้วนไม่ขาดตกบกพร่อง และที่สำคัญเหมาชิวอวี่ให้ความสำคัญกับเขาเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่าสำนักการศึกษากลางจะถือว่าเป็นอำนาจขั้วเก่าแต่ในหลายปีมานี้การแสดงออกของจวงจือห้วนค่อนข้างเป็นกลางและเป็นธรรม งานทุกอย่างที่ถูกมอบหมายโดยพระราชวังหลีก็ล้วนปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าจะมองจากมุมใด เขาก็ล้วนเป็นผู้สืบทอดที่ดีที่สุดของเหมาชิวอวี่ เฉินฉางเซิงเองก็ไม่อาจคัดค้าน
แต่ผู้ใดก็ล้วนทราบดี บุตรชายในสายเลือดของเขาจวงห้วนอวี่นั้นเสียชีวิตอย่างไร
ถังซานสือลิ่วอยากคัดค้าน แต่กลับพูดไม่ออก เนื่องจากจวงห้วนจือนั้นคือสหายรักของบิดาตน ในคราแรกหลังจากที่เขามายังเมืองหลวงก็ล้วนได้รับการเอาใจใส่จากอีกฝ่าย
เฉินฉางเซิงนำเซวียเยี่ยจิ่นออกจากสำนักฝึกหลวงไป ถังซานสือลิ่วกลับอยู่จัดการเรื่องต่างๆ ต่อ
เขาให้คนนำร่างของอาจารย์เหมยชวนส่งไปที่สำนักการศึกษากลางหลังจากนั้นจึงเรียกประชุมเหล่าอาจารย์และนักเรียนทั้งหมดของสำนักฝึกหลวง
ซูม่ออวี๋นำกระดาษที่ค่อนข้างเก่าใบหนึ่งโยนให้ถังซานสือลิ่ว
นี่คือรายชื่อที่เขียนไว้เมื่อสามปีที่แล้ว
ถังซานสือลิ่วมองไปยังรายนามบนกระดาษก่อนเอ่ย “เหตุใดเรื่องที่ต้องผิดใจกับผู้คนล้วนเป็นข้าที่ต้องทำ”
“เนื่องจากเจ้าเชี่ยวชาญเรื่องผิดใจคน ไม่กลัวที่จะผิดใจใคร” ซูม่ออวี๋อธิบายอย่างตั้งใจ “และเจ้าเองก็ชอบทำเรื่องเหล่านี้”
ถังซานสือลิ่วคิด ก่อนเอ่ย “ทำกล่าวนี้ถึงแม้ฟังดูแล้วจะดูเป็นคนเลว แต่เมื่อขบคิดอย่างละเอียด ก็ดูมีเหตุผลอยู่หลายส่วน”
เหล่าอาจารย์และศิษย์ของสำนักฝึกหลวงล้วนอยู่ท่ามกลางสนามหินหน้าตึกเรียน เมื่อฟังคำกล่าวเหล่านี้ ในใจอดหวั่นวิตกไม่ได้
ท่านใต้เท้าสังฆราชมายังสำนักฝึกหลวง เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์สังหารอาจารย์ผู้หนึ่ง จะมองอย่างไร สำนักฝึกหลวงในวันนี้จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกันแน่
รองผู้อำนวยการซูและผู้คุมกฎถังที่ไม่ได้พบเสียนาน ต่อไปจะทำอะไรเล่า
ถังซานสือลิ่วมองไปยังรายชื่อก่อนเอ่ยชื่อออกมา
“จางหลินเทา”
“หวงเจ๋อเฉิง”
“เหอซู่อวี่”
“กัวซิน”
“หลี่ว์โหย่ว”
……
……
อาจารย์และนักเรียนเหล่านั้นที่ถูกถังซานสือลิ่วเอ่ยชื่อออกมา ล้วนก้าวออกมาจากในกลุ่มที่ยืนอยู่ สีหน้าของพวกเขาสีขาว ราวตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
สามไปก่อน เมื่อสำนักฝึกหลวงตกอยู่ในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด พวกเขาเลือกที่จะจากไป หลังจากเรื่องนั้นจบลง ก็ถูกสำนักการศึกษากลางอนุญาตให้กลับมา
พวกเขาไม่ทราบว่าถังซานสือลิ่วจะจัดการกับตนอย่างไร
“ไปสิ ยังยืนงงอะไรกันอีก”
จู่ๆ ถังซานสือลิ่วก็รู้สึกรำคาญใจ เอ่ยขึ้น “ต่อไปอย่าให้ข้าเห็นหน้าพวกเจ้าที่สำนักฝึกหลวงอีก”
อาจารย์และนักเรียนสิบกว่าคนนั้นก้มหน้าเดินออกจากสำนักฝึกหลวงไป พวกเขาร้องไห้ระงม ถึงแม้ว่าจะไม่ยินยอม แต่ไหนเลยจะกล้าแสดงออกมา
ถังซานสือลิ่วจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง เอ่ยขึ้น “อาจารย์ทั้งหลาย พรุ่งนี้จำไว้ให้ดีว่าต้องนำเงินทั้งหมดที่เก็บไปคืนกลับมา”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้อาจารย์ท่านหนึ่งที่กำลังเดินออกไปนอกสำนักก็ขาอ่อนลงมาทันที
นักเรียนคนหนึ่งที่ถูกขับไล่ออกไปในที่สุดก็อดไม่ไหวที่จะเอ่ยออกมาอย่างสุดทนว่า “อย่างนั้นค่าเล่าเรียนจะคืนให้พวกเราใช่หรือไม่”
อาจารย์หลายคนตกตะลึง รีบจับตัวนักเรียนนั้นเอาไว้ ก่อนจะโยนออกไปนอกสำนัก ด้วยเกรงว่าหากช้ากว่านี้อีกสักนิดถังซานสือลิ่วจะเปลี่ยนใจ
ตรอกไป๋ฮวาที่อยู่ด้านนอกสำนักฝึกหลวง ในวันปกติครึกครื้นเป็นอย่างมาก วันนี้กลับมีผู้คนยืนมุงดูเต็มไปหมด
เมื่อเห็นอาจารย์และนักเรียนถูกขับไล่ออกไปสำนักฝึกหลวงต่างก็หมดอาลัยตายอยาก โดยเฉพาะเมื่อเห็นนักเรียนที่อายุอย่างน้อยเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดก็อดที่จะรู้สึกเห็นใจไม่ได้
ถังซานสือลิ่วทำการณ์ใดแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ เขาจะลืมรายละเอียดเล็กน้อยพวกนี้ได้อย่างไร เขาได้ส่ง อาจารย์ฝีปากดีท่านหนึ่งไปยืนอยู่ด้านหน้าสำนักฝึกหลวง เพื่อป่าวประกาศสาเหตุที่ขับไล่อาจารย์และนักเรียนเหล่านี้ออกไปไว้แล้วนำเรื่องที่สำนักฝึกหลวงถูกล้อมรอบเอาไว้เมื่อสามปีก่อนเล่าเสียจนสมจริงสมจัง
สายตาที่ผู้คนมองไปยังอาจารย์และนักเรียนเหล่านั้นเปลี่ยนไปทันที บางคนแม้กระทั่งตำหนิไปด้วยถ่มน้ำลายใส่พวกเขาไปด้วย
อนาคตข้างหน้าของอาจารย์และนักเรียนเหล่านี้จะอ้างว้างเพียงใดไม่ใช่สิ่งที่ถังซานสือลิ่วสนใจ
เขาแจ้งแก่ใจยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นห้าสำนักที่เหลือในหกสำนักไม้เลื้อย หรือว่าจะเป็นสำนักธรรมดา ล้วนไม่กล้ารับคนพวกนี้แน่นอน
สิ่งที่เขาสนใจยิ่งกว่าก็คือ ตอนนี้สำนักฝึกหลวงยังคงเป็นเหมือนสำนักฝึกหลวงเมื่อสามปีที่แล้วหรือไม่ ยังคงเป็นสำนักฝึกหลวงที่เขาและเฉินฉางเซิงอยากจะเห็นหรือไม่
ประตุสำนักปิดแล้ว เสียงก่นด่าและเสียง วิพากษ์วิจารณ์ในตรอกไป่ฮวาถูกปิดกั้นไว้ด้านนอก ตัวสำนักที่มีหิมะโปรยปรายเงียบยิ่งนัก
อาจารย์และนักเรียนร้อยกว่าคนยืนอยู่ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายไม่ขยับไปไหน
เมื่อมองเห็นภาพนี้ ถังซานสือลิ่วพอใจยิ่งนัก
“หลายปีก่อนขณะที่ท่านใต้เท้าสังฆราชเดินเข้ามาในตรอกไป๋ฮวา ที่นี่เงียบสงบยิ่งนัก สำนักฝึกหลวงสี่คำนี้ถูกสำนักไม้เลื้อยซ่อนเร้นเอาไว้ ด้านในโรงเรียนเต็มไปด้วยต้นหญ้ารกร้างเต็มไปด้วยกำแพงที่หักพังและเสื่อมโทรม เงียบยิ่งกว่าภายนอก หรือจะเรียกได้ว่าเงียบสงัด สำนักฝึกหลวงในตอนนั้นที่จริงแล้วก็คือสุสานดีดีนี่เอง
เขามองไปยังเหล่าอาจารย์และนักเรียนก่อนเอ่ย “ต่อมาองค์หญิงลั่วลั่ว เซวียนหยวนผ้อ ก่อนมาถึงข้า ทยอยกันมายังที่นี่ ที่แห่งนี้จึงค่อยๆ มีชีวิตชีวาขึ้นมา ข้าสามารถบอกได้อย่างไม่อายเลยว่า เป็นท่านใต้เท้าสังฆราชและพวเราที่เปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ ทำให้สำนักฝึกหลวงมีนักเรียนใหม่ขึ้นมา”
ซูม่ออวี๋นึกถึงเรื่องราวเหล่านั้นเมื่อหลายปีก่อน ก็ทอดถอนใจ
ถังซานสือลิ่วเอ่ยต่อ “ในเมื่อเป็นนักเรียนใหม่ อย่างนั้นแน่นอนว่าต้องมิใช่นักเรียนเก่า”
อาจารย์และนักเรียนล้วนมองเขาอย่างตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร
“ข้าหวังว่าพวกเขาจะเข้าใจเสียหน่อย”
สีหน้าถังซานสือลิ่วสงบนิ่งและมั่นคง
“สำนักฝึกหลวงตอนนี้ กับสำนักฝึกหลวงนั้นเมื่อหลายสิบปีก่อน……ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน