ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 110 ภูเขาเซียนในกระแสน้ำ
ร่างของกวนเฟยไป๋สั่นเล็กน้อย
ตอนเดินทางออกจากเขาหลีซาน ศิษย์พี่ใหญ่ได้ให้ถุงผ้าแพรกับพวกเขาคนละใบ โดยบอกว่าให้เปิดออกเมื่อถึงยามคับขัน
หลายวันก่อน ตอนค่ายเป่ยซานตกอยู่ในวงล้อม และกองหนุนอย่างทหารม้าของสำนักฝึกหลวงยังมาไม่ถึง เขาก็สังเกตเห็นว่า เหลียงปั้นหูได้เปิดจดหมายฉบับนั้นออก แล้วอาศัยแสงจากกองไฟอ่านมันอยู่ครึ่งค่อนวัน
พอวันรุ่งขึ้น เหลียงปั้นหูก็สู้จนตัวตาย
วันนี้ ถึงคราวตนแล้วหรือ
เขาหยิบถุงผ้าแพรขึ้นมา เปิดออกดู ในนั้นมีจดหมายหนึ่งฉบับ และยาหนึ่งเม็ด
ชิวซานจวินบอกมาในจดหมายว่า ยาเม็ดนี้ก็คือยาที่เซียวจางใช้ช่วยในการบรรลุขั้นบำเพ็ญเพียร แต่สุดท้ายกลับทำให้ธาตุไฟเข้าแทรก
เมื่อทานลงไป มีความเป็นไปได้บางส่วนที่พลังยุทธ์จะเพิ่มมากขึ้นกระทั่งบรรลุได้ แต่มีความเป็นไปได้มากที่เส้นชีพจรจะถูกทำลายจนหมด…ถ้าเบาหน่อยก็เหมือนเซียวจาง ที่ต้องเสียเวลามากกว่าสิบปี บำเพ็ญเพียรอย่างหนักอีกครั้ง จึงฟื้นตัว หรือถ้าหนักหน่อยก็เสียชีวิต
ไป๋ไช่ไม่เห็นเนื้อหาในจดหมาย แต่เห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของกวนเฟยไป๋ ก็คลับคล้ายเดาอะไรบางอย่างได้ จึงห้ามอย่างสุดชีวิต
กวนเฟยไป๋ถือยาเม็ดนั้นไว้อย่างคนไร้ความรู้สึก ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเขาพูดอะไรอยู่ข้างๆ
ไป๋ไช่มองสวี่โหย่วหรงพลางพูดละล่ำละลัก “ทำไมเจ้าต้องเตือนเรื่องนี้กับเขาด้วย”
“เรื่องนี้จะโทษศิษย์น้องไปทำไม สุดท้ายก็เป็นทางเลือกของเจ้ากับข้าเอง”
กวนเฟยไป๋มีท่าทีสงบนิ่งมาก พูดจบประโยคนี้ก็กลืนยาเม็ดนั้นลงไปในท้อง
จากนั้น เขาก็นอนหลับไป
“เป็นยาสลบ ศิษย์พี่ให้ข้าไปขอจากเฉินฉางเซิง”
แล้วสวีโหย่วหรงก็พูดกับไป๋ไช่ “ในถุงแพรของเหลียงปั้นหูก็มีอยู่เม็ดหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงไม่ได้กิน หรือเนื้อหาในจดหมายไม่เหมือนกัน”
ไป๋ไช่มองดูศิษย์พี่ที่ถูกแบกออกไปราวกับวิญญาณเมามาย จึงลูบศีรษะตนเองตามจิตใต้สำนึก พลางว่า “ข้ายังไม่ได้เปิดจดหมายออกดู ไม่รู้ว่าเหมือนกันหรือเปล่า”
สวีโหย่วหรงยื่นมือออกไปลูบศีรษะเขา พลางพูดเสียงเบา “เช่นนั้นก็ไปกับข้าเถอะ”
ไป๋ไช่ถึงได้รู้ว่า ที่แท้นางกำลังล่อให้ตนพูดความลับออกมา
……
……
การบุกจู่โจมกองทัพเส้นตะวันออกในครั้งนี้ เป็นกองทัพหลักของเผ่ามารอย่างแน่นอน ซึ่งนอกจากพล
หมาป่าหมื่นกว่าตนแล้ว ยังมีนักรบจากเผ่าต่างๆ อีกเท่าตัว
หลักฐานที่สำคัญสุดก็คือ ผู้บัญชาการกองทัพเผ่ามารทัพนี้ก็คือ ผู้คุมกฎเผ่ามาร
ขนาดห่างกันสิบกว่าลี้ ก็ยังเห็นร่างอันใหญ่โตของยักษ์ล้มภูเขานั่นได้อย่างชัดเจน
ยักษ์ล้มภูเขาตัวก่อนเสียชีวิตที่ยอดเขานั่วรื่อหลั่ง ไม่รู้ว่าผู้คุมกฎเผ่ามารไปหามาจากที่ไหนอีกตัว
หวังผ้อถือดาบด้วยมือข้างเดียว นั่งอยู่กลางหนองน้ำที่เปียกแฉะ พิงต้นไม้ที่ตายไปแล้วหลายปีต้นหนึ่งแล้วหลับตาลง โดยไม่สนใจเสียงฆ่าฟันและความเป็นความตายที่อยู่นอกสายหมอก
อาการบาดเจ็บของเขายังไม่หายดี ถ้าคิดสู้กับผู้คุมกฎเผ่ามาร ก็ต้องถนอมพละกำลังทุกส่วนของร่างกายไว้
เหตุใดเผ่ามารจึงละเลยกองบัญชาการกลางที่ค่ายใหญ่ มาโจมตีกองทัพเส้นตะวันออกเป็นหลัก อันที่จริงเหตุผลก็ง่ายดายยิ่ง ใครๆ ก็ดูออก
เพราะใครๆ ก็มองเห็นภูเขาลูกเล็กที่อยู่นอกสนามรบ
บนภูเขามีรถคันหนึ่ง
ในรถมีนักพรตน้อยคนหนึ่ง
นักพรตน้อยกำลังเล่นว่าว
ด้านล่างของว่าวมีภาพวาดขนาดใหญ่ภาพหนึ่งผูกติดอยู่
เป็นภาพไฟไหม้วัดมหายาน
……
……
พลหมาป่าไหลเข้าไปดุจกระแสน้ำ แต่ขณะอยู่ห่างจากภูเขาลูกเล็กหลายลี้นั้น ก็ถูกทหารม้าเกราะดำขวางทางไว้
สงครามดำเนินไปอย่างตรงไปตรงมาและโหดร้ายมาก ต่างฝ่ายต่างมีเจตนาเชิงกลยุทธ์อย่างชัดเจน เช่นนั้นย่อมไม่ต้องพูดถึงยุทธวิธีการรบมากเกินไป
ท้องทุ่งรกร้างทั้งผืนเหมือนรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากทิศตะวันออก และได้ยินเสียงฆ่าฟันจากที่นั่น
“ข้าไม่รู้ว่าที่นั่นจะยันไว้อยู่หรือเปล่า ข้ารู้แต่ว่าข้าเองแทบจะยันไม่อยู่แล้ว”
ยากที่จะได้ยินราชันแห่งหลิงไห่ใช้น้ำเสียงแบบมนุษย์เช่นนี้คุยกับเฉินฉางเซิง
เพราะเขาแบกรับความกดดันไว้มากมายจริงๆ ตอนนี้ขอเพียงก้าวออกจากกระโจม ก็จะมีสายตานับไม่ถ้วนพุ่งมองมา
ในสายตาเหล่านั้น มีทั้งคำถาม ความวิตกกังวล ดูแคลน ให้กำลังใจ ซับซ้อนสุดจะเปรียบ น่ากลัวมาก
พอกองทัพหลักเผ่ามารโจมตีกองทัพเส้นตะวันออก ภูเขาเล็กๆ ลูกนั้นก็อาจถูกกระแสน้ำสีดำท่วมได้ทุกเมื่อ ในเวลาเช่นนี้ ใครๆ ก็อยากรู้ท่าทีของสังฆราช
นักบวชส่วนใหญ่กับพลทหารล้วนหวังว่าเขาจะรีบออกคำสั่งให้กองทัพใหญ่ไปช่วย
ถูกต้อง คำสั่งชนิดนี้ แม้แต่ขุนพลเทพเฮ่อหมิงก็ไม่มีสิทธิ์สั่ง ได้แต่ปล่อยให้เฉินฉางเซิงสั่งด้วยตัวเอง
“ไม่มีข่าวคราวจากที่นั่น ไม่เคลื่อนไหว” เฉินฉางเซิงพูด
พรุ่งนี้ได้เวลาปรุงยาจูซา เขากำลังคิดพิจารณาอยู่ว่าจะยกเลิกการปรุงยาจำนวนนี้ แล้วเหลือพลังไว้สำหรับการเผด็จศึกที่อาจมาในภายหลังดีหรือไม่ อีกทั้งยาจูซาก็มิได้ช่วยชีวิตกลุ่มคนที่เขาอยากช่วยเหล่านั้น
สนามรบคือที่ที่ทำให้คนเติบโตได้เร็วที่สุด
มือของกวนไป๋เย็นเฉียบ
ใจของเขาต้องไม่สูญเสียอุณหภูมิไปแบบนี้ ต้องแข็งแกร่งให้มากกว่าปกติ
ราชันแห่งหลิงไห่ลังเลสักพัก ค่อยว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่า…ทางนั้นไม่สะดวกที่จะเอ่ยปาก”
ผู้เป็นอาจารย์ สุดท้ายก็ต้องขอความช่วยเหลือจากศิษย์…โดยเฉพาะศิษย์อาจารย์คู่นี้ที่คนเขารู้กันไปทั่วว่ามีความสัมพันธ์แบบแปลกๆ ต่อกัน เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ยากเย็นมาก
ถ้าเป็นเช่นนี้จริง แล้วเฉินฉางเซิงไม่ยอมออกตัวช่วยเหลือก่อน สุดท้ายถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ จะทำอย่างไร
ซางสิงโจวเป็นนักปราชญ์ มีระดับการบำเพ็ญเพียรที่มิอาจหยั่งรู้ แต่อย่างไรก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ร่างชราภาพกายอ่อนแอ
ถ้าเป็นไปตามข่าวจากลั่วหยาง หลายปีมานี้ เขาเปลี่ยนเป็นชราภาพลงไปมาก
จะเกิดเรื่องขึ้นกับซางสิงโจวไม่ได้ เพราะเขาคือผู้นำทางจิตวิญญาณของเผ่ามนุษย์
ต่อให้ไม่ชอบเขาแค่ไหน ก็ต้องยอมรับความจริงข้อนี้
พอนึกถึงภาพที่เห็นข้างบ่อน้ำร้อน ผมดำที่มวยไว้อย่างแน่นหนาและ…ผมขาวที่ปิดไม่มิดทั้งหมด เฉินฉางเซิงก็เงียบไปชั่วขณะ ที่สุดแล้วก็เพียงโบกมือไปมา
……
……
จากการสู้รบอย่างต่อเนื่อง ความกดดันที่มาจากทุกทิศทุกทางเป็นจริงขึ้นเรื่อยๆ สายตาที่พุ่งมองมา กลายเป็นหนังสือจากนกอินทรีแดง กระทั่งมีขุนพลเทพกลุ่มหนึ่งพยายามบุกเข้าไปในค่าย ขอพบเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงได้พบกับขุนพลเทพเหล่านั้น แต่กลับมิได้รับปากคำขอร้องของพวกเขา
สวี่โหย่วหรงว่า “สถานการณ์ที่นั่นค่อนข้างตึงเครียดจริงๆ ถ้าค่ายเป่ยซานไม่ขยับ อีกสี่ค่ายอาจจะขึ้นไปเอง”
เฉินฉางเซิงตอบ “ข้ารู้”
สวีโหย่วหรงว่า “แรงกดดันก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ”
เฉินฉางเซิงมองดูควันโขมงระหว่างท้องทุ่งรกร้างกับภูเขาและแม่น้ำที่อยู่ห่างออกไป เงียบไปสักพักค่อยว่า “ในวัยเด็กที่ซีหนิง เวลาเกิดความกดดัน ก็ล้วนเป็นอาจารย์ที่ปกป้องข้า พอไปอยู่เมืองหลวง มีอาจารย์อากับมุขนายกใหญ่เหมยหลี่ซา ต่อมาก็มีเจ้า แต่จริงๆ แล้วความสามารถในการแบกรับความกดดันของข้าก็ไม่เลวนะ”
ด้วยต้องเผชิญกับเงาแห่งความตายตั้งแต่อายุสิบขวบ จึงไม่มีใครแบกรับความกดดันได้ดีไปกว่าเขา
เขาพูดต่อ “การเปิดศึกเร็วเกินไป มีปัญหา”
ถูก แม้เสบียงอาหารในเมืองเสว่ยเหล่าลดลง ก็ควรอดใจรออีกสักระยะ อย่างน้อยก็รอให้อากาศเย็นลง
อีกหน่อย
สวีโหย่วหรงก็คิดเช่นนี้ จึงว่า “แล้วเจ้าคิดอย่างไร”
“อาจารย์ไม่ได้บอกให้ข้าช่วย ก็แปลว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากข้า ข้าไม่รู้ว่าเขากำลังเตรียมทำอะไร ทางข้าค่อนข้างอ่อนด้อย จึงได้แต่ให้ความร่วมมือเหมือนอย่างเคย…”
เฉินฉางเซิงจ้องมองนางพลางว่า “ก็เหมือนตอนอยู่เมืองไป๋ตี้ เจ้ากับอาจารย์คิดคำนวณทุกอย่างไว้เรียบร้อย ข้าก็แค่ทำไปตามนั้น”
สวีโหย่วหรงคิดๆ ดู ก็พบว่าเขาพูดไม่ผิด
ถ้าว่ากันตามคุณสมบัติ นางกับซางสิงโจว และจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เป็นคนแบบเดียวกัน ส่วนเฉินฉางเซิงเป็นคนอีกแบบ
การดำรงอยู่ของมนุษย์ต้องการแบบแรก แต่แบบหลังจึงจะเป็นจุดมุ่งหมาย หรือนี่ก็คือสาเหตุที่ว่า เหตุใดนางถึงชอบเขา
“ข้าชอบเจ้า”
สวีโหย่วหรงมองตาเขา พลางพูดอย่างจริงจัง
คำสารภาพที่กะทันหันแบบนี้ ทำให้คนรับไม่ทันจริงๆ
ที่สำคัญสุดคือ รอบๆ ยังมีผู้คนมากมาย ในกระโจมก็ยังมีคน
การสนทนาของพวกเขาเมื่อครู่ ก็มิได้จงใจเลี่ยงหลบใคร
ราชันแห่งหลิงไห่ลูบอาวุธในมืออย่างทะนุถนอม คล้ายอะไรก็ล้วนไม่ได้ยิน
มือของขุนพลเทพเฮ่อหมิงที่กำลังเลิกผ้าม่านขึ้น ก็นิ่งค้างกลางอากาศ คล้ายรอยยิ้มบนใบหน้า
อันหวามองดูดวงตาที่เปล่งประกายของสวีโหย่วหรง รู้สึกว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ช่างน่าทึ่งเสียนี่กระไร
……
……
ภาพเช่นนี้ ปรากฏให้เห็นเป็นครั้งคราวเท่านั้น โชคดีที่ดอกไม้ดอกเล็กๆ ยังเบ่งบานในเพลิงโลหิตได้ ท่วงทำนองหลักในสนามรบย่อมไม่ใช่สงคราม
มีการรบอยู่ทั่วทุกแห่งหน รบอย่างสะเปะสะปะ รบอย่างนองเลือดทางใต้ของเมืองเสว่ยเหล่า ในรัศมีหลายร้อยลี้ของท้องทุ่งรกร้าง มีการรบเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน
ผืนดินที่นี่เต็มไปด้วยอินทรียวัตถุเน่าเปื่อย ส่วนที่เป็นสีดำทำให้ผู้คนตกอยู่ในภวังค์ อุดมสมบูรณ์ยิ่ง ต่อให้โลหิตหยดลงด้านบน ก็ไม่เด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ
แต่หลายวันมานี้ พอหิมะตก ท้องทุ่งรกร้างก็ถูกทาด้วยสีขาวก่อนชั้นหนึ่ง แล้วค่อยรองรับน้ำโลหิตสีแดงบ้างเขียวบ้างมากมาย กลายเป็นภาพที่ทำให้ตื่นตะลึงขึ้นมา
แม้แต่จิตรกรในเมืองเสว่ยเหล่าที่มีแนวคิดทางศิลปะสุดโต่ง ก็ไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะมีการจับคู่สีแบบนี้ ตวัดพู่กันแบบนี้
การหลอกจู่โจม หยุดยั้ง ปราบปราม แยกกันโอบล้อม ผลักอย่างแรงดุจกระแสน้ำ หลังจากใช้กลอุบาย
ทั้งหมดเสร็จสิ้น สถานการณ์ก็ยังคงชัดเจนเหมือนแรกเริ่ม
การสู้รบที่ตึงเครียดและโหดร้ายที่สุด ยังคงเกิดขึ้นตรงหน้าพลหมาป่าของผู้บัญชาการผู้คุมกฎเผ่ามาร และกองทหารฝ่ายซ้าย
พลหมาป่าเผ่ามารกับทหารม้าเกราะดำพุ่งเข้าปะทะกัน แล้วฉีกเลือดฉีกเนื้อ กลืนกินซึ่งกันและกันไม่หยุดหย่อน
ราวกับเป็นสถานที่ที่แม่น้ำและมหาสมุทรมาบรรจบกัน
สีของน้ำที่แตกต่างไหลมาชนกันไม่ขาดสาย ก่อนยกตัวขึ้นเป็นคลื่นยักษ์อย่างน่าตื่นตระหนก จากนั้นก็ล้อมเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่จนเพียงพอที่จะกลืนกินท้องฟ้าได้ทั้งหมด
ศูนย์กลางของน้ำวน ก็คือภูเขาลูกเล็กๆ ที่ไม่โดดเด่นนั่น