ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 112 ชายชราตกปลาริมลำธารเมืองซีหนิงและการแทงทวน
“คิดผนึกจิตวิญญาณข้า แล้วสังหารในทีเดียว? เป็นความคิดที่ดีมาก เสียดายเจ้าทำไม่สำเร็จ เพราะเจ้าแก่แล้ว” คนชุดดำก้าวเข้าหารถคันเล็ก ลมหนาวพัดลอดรอยขาดบนชุดดำ ดูไปแล้วคล้ายธงรบในปรโลก
ขณะมองดูภาพนี้ ดวงตาของซางสิงโจวยังคงไม่แยแส แต่นักพรตน้อยที่อยู่ด้านหลังของเขากลับหวาดกลัวขึ้นมา ใบหน้าเล็กๆ ขาวซีด ตัวสั่นไม่หยุด
ทหารม้าเผ่ามนุษย์ที่อยู่รอบบริเวณไม่รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวบนภูเขาลูกเล็ก เห็นชัดว่าน่าจะเป็นเพราะคนชุดดำใช้กลวิธีบางอย่าง
สงครามในท้องทุ่งรกร้างยังคงดำเนินต่อ และเพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น ร่างของยักษ์ล้มภูเขาก็ดูเหมือนเข้ามาใกล้มากขึ้น
ขุนพลมารที่สองพลันนำเหล่าผู้แข็งแกร่งและหัวหน้าชนเผ่าต่างๆ มุ่งหน้าจู่โจมกระโจมบัญชาการกลาง
เสียงฆ่าฟันนอกเมืองเสวี่ยเหล่าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้เป็นการเบนความสนใจ กลบเกลื่อนการสังหารบนภูเขาลูกเล็ก
ซางสิงโจวพูดอย่างไม่ยี่หระ “ข้าแก่มากแล้วจริงๆ แต่ข้าไม่เหมือนเจ้า เพราะต้องการมีชีวิตอยู่ต่อ ถึงกับใช้วิธีที่น่าขยะแขยงกับตัวเองเช่นนี้ ผู้ที่เคยรูปงามเป็นอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ตอนนี้กลับกลายเป็นลักษณะคนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง ถ้าเจ้าตายไป ยังมีหน้าไปพบศิษย์พี่ท่านนั้นของเจ้าอยู่หรือ”
“หุบปาก!”
เสียงของคนชุดดำเปลี่ยนเป็นแหลมคมขึ้นมา ราวกับเข็มเล่มหนึ่งก็มิปาน กระจายไปทั่วภูเขาลูกเล็ก
รูปภาพบนท้องฟ้าเกิดรูเล็กๆ จำนวนหนึ่งในพริบตา
“คนอย่างพวกเจ้าไม่มีสิทธิ์เอ่ยชื่อเขา!”
คนชุดดำโกรธแค้นจนกรีดร้องออกมา
จากนั้นเขาค่อยสงบลง ขั้นตอนทั้งหมดเป็นไปอย่างกะทันหันและแปลกมาก
ใบหน้าสีเขียวที่ไม่ถูกหมวกติดชุดบดบังไว้ บวกกับรอยยิ้มที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้น ทำให้ยิ่งแปลก
“ข้าจะฆ่าเจ้า จากนั้นก็ให้ท่านพี่ที่อยู่ในปรโลกฆ่าเจ้าอีกครั้ง ฆ่าเจ้านับครั้งไม่ถ้วน”
ท่าทีของซางสิงโจวยังคงสงบนิ่ง “ก่อนอื่นเจ้าต้องฆ่าข้าให้ตายก่อน”
พูดจบประโยค เขาพลันไอขึ้นมา ไออย่างรุนแรง ทำให้เอวและร่างที่ตรงมาตลอด ค่อยๆ งอลงจนคล้ายต้นสนแก่ๆ ต้นหนึ่ง
นักพรตน้อยพยุงแขนของเขาไว้ และลูบหลังเขาไม่หยุด นัยน์ตาปริ่มไปด้วยประกายน้ำ พลางตะโกนอย่างไร้เดียงสา “อาจารย์ปู่ อาจารย์ปู่ไม่เป็นไรนะ”
ซางสิงโจวยืดตัวขึ้นอย่างยากลำบาก ก่อนโบกมือไปมา
“ดูใบหน้าที่น่าสงสาร เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น เต็มไปด้วยผมขาว ของเจ้าสิ จะยังเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้
อย่างไรเล่า”
คนชุดดำมองดูเขาพลางว่า “ดังนั้น ไปตายเสีย”
ไปตายเสียสามคำนี้ ตามปกติจะได้ยินแต่ในตลาด และผู้ที่พูดคำเช่นนี้ออกมา ปกติแล้วล้วนเป็นหญิงปากร้าย ที่มีเจตนาสาปแช่งอะไรบางอย่าง
ทว่าคนชุดดำกลับพูดคำสามคำนี้ออกมาอย่างสงบและสง่างาม เพราะเขาไม่มีเจตนาสาปแช่ง เพียงต้องการอธิบายความจริงอย่างหนึ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
ในความสงบนี้ ซ่อนความชื่นชมที่ไม่สามารถป่าวประกาศออกมา หรือพูดได้ว่าเห็นอกเห็นใจ
แม้ในประวัติศาสตร์พันปีที่ผ่านมา เขากับซางสิงโจวอาจนับได้ว่าเป็นสองผู้สมรู้ร่วมคิดที่ยิ่งใหญ่สุด
เพียงเสียดาย แผนสมรู้ร่วมคิดใดๆ สุดท้ายยังคงต้องอาศัยพลังยุทธ์จึงจะสำเร็จ แพ้ชนะยังคงต้องอาศัยความเป็นความตาย ดูมีความสวยงามน้อยลงไปหน่อย
คนชุดดำหายไปจากที่เดิม
ปรากฏตัวอีกครั้ง ก็มาถึงด้านหน้าของรถแล้ว
ระหว่างสองภาพนี้ ไม่มีองค์ประกอบเชื่อมต่ออื่นใด ราวกับเป็นเหตุการณ์สองอย่างที่แยกออกจากกัน
บนยอดเขาเงียบกริบไร้สุ้มเสียง
หญ้ายุบตัวลงเล็กน้อย ปรากฏรอยเท้าที่เด่นชัดขึ้นหลายรอย
ภาพติดตาในการเคลื่อนไหวของคนชุดดำ ซึ่งมีสีเขียวเหลืองอยู่เบื้องหลัง คล้ายปลายพู่กันยักษ์ด้ามหนึ่ง จุ่มหมึกมาเต็มอัตรา ปรารถนาจะวาดภาพภาพหนึ่ง หรือเขียนหนังสือม้วนหนึ่ง
ทว่าปลายพู่กันมิได้จรดลงบนภาพขนาดใหญ่บนท้องฟ้า แต่จรดลงไปในรถ
นิ้วที่ผอมแห้งของคนชุดดำเปล่งแสงสว่างสีเขียวอ่อน แทงไปยังลำคอของซางสิงโจว
……
……
ดวงตาของซางสิงโจวฉายแววผิดหวัง
อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ เขากับคนชุดดำคือสองผู้สมรู้ร่วมคิดที่โดดเด่นสุดในโลก
ซึ่งเดิมทีเขาก็อยากประมือกับคนชุดดำมากเช่นกัน
เสียดายที่เขาแก่แล้วจริงๆ
หลายหมื่นปีที่ผ่านมา ผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักเต๋าที่ประสบความสำเร็จเพียงหนึ่งเดียวในสารานุกรมซีหลิวอย่างเขา รู้เรื่องพลังแห่งกาลเวลาดีกว่าใครๆ
ทุกค่ำคืนในสิบปีมานี้ เขาล้วนรู้สึกได้ถึงชีวิตที่ดับสูญ และจิตวิญญาณอันว่างเปล่า
เขาคือผู้สืบทอดดั้งเดิมของสำนักฝึกหลวง ที่ไม่อยากใช้วิธีชั่วร้ายต่ออายุขัยแบบคนชุดดำ ระดับขั้นบำเพ็ญเพียรจึงเทียบไม่เท่าฝ่ายตรงข้าม
เมื่อครู่เขาคิดผนึกจิตวิญญาณของคนชุดดำ แต่ไม่สำเร็จ ตอนนี้จึงได้แต่รอให้คนชุดดำมาสังหาร
เขาเสียดายมาก ที่ไม่ได้ประมือกับฝ่ายตรงข้ามในช่วงที่รุ่งเรืองสุด ใช่ว่าอยากได้ความสะใจ แต่อยาก
เค้นให้ต่างฝ่ายต่างแสดงกลยุทธ์อันพิลึกพิลั่นออกมา ชนิดใช้ทุกวิถีทางในการต่อสู้
นอกเหนือจากนี้ ก็ไม่มีอะไรให้นึกเสียดายอีก เช่นความตาย?
เขาบังคับรถให้ขึ้นภูเขา เพราะต้องการชักนำเผ่ามารให้มาสังหารตน
การชักนำคนชุดดำมาได้ คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่คิดได้แล้ว
นอกวัดเก่าในเมืองซีหนิง มีลำธารเล็กๆ สายหนึ่ง ในลำธารมีปลามากมาย สิ่งที่อวี๋เหรินกับเฉินฉางเซิงชอบมากที่สุดก็คือ การมาดูปลาว่ายน้ำที่ข้างลำธาร ส่วนสิ่งที่เขาชอบมากที่สุด กลับเป็นการตกปลา
ไม่ว่าจะเป็นปลาไน หรือปลาตะเพียน ไม่จำกัดว่าตัวเล็กหรือใหญ่ ไม่ว่าจะนึ่งหรือต้ม ล้วนอร่อยมาก
เขาคือชายชราที่มีฝีมือในการตกปลายอดเยี่ยมที่สุดในโลก
วันนี้เขาใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ใครจะหลีกพ้นเล่า
……
……
ช่วงกลางวันในฤดูใบไม้ร่วง เป็นช่วงที่สว่างที่สุดของวัน
จิตใจของคนชุดดำก็สว่างไสวเหมือนดวงอาทิตย์
ยิ่งสภาพแวดล้อมโดยรอบสว่าง รถก็ยิ่งมืดลง
มือของเขาห่างจากซางสิงโจวเพียงสองศอก
เขาเห็นความรู้สึกเสียดายในแววตาของซางสิงโจว และเห็นแววตาที่หวาดกลัวของนักพรตน้อย
ทว่าพริบตาต่อมา เขาก็เห็นจุดสีขาวปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันในรถที่มืดมน
จุดสีขาวขุ่น ขาวซีดนั่น คืออะไรกัน
มิใช่ใบหน้าของวิญญาณมาร้องขอชีวิต แต่เป็นกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง?
จากนั้น แสงที่เย็นยะเยียบสายหนึ่งก็แหวกความมืด พุ่งเข้าหาคนชุดดำ
เป็นแสงที่สว่างสุดจะเปรียบ ราวกับมีคนจุดดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งขึ้นในรถ
เยือกเย็นเป็นที่สุด พริบตาเดียว หญ้าบนเนินเขาก็ถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งบางๆ ชั้นหนึ่ง
แสงสว่างแบบไหนกัน ที่มีสองพลังปราณซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในคราวเดียว
ในหนองน้ำที่ห่างออกมาสิบกว่าลี้ หวังผ้อกำลังนั่งพิงต้นไม้ มองดูร่างของยักษ์ล้มภูเขาที่อยู่ไม่ไกลอย่างใจจดใจจ่อยิ่ง
ทว่าจู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง จึงหันมองภูเขาลูกเล็ก
แทบจะในเวลาเดียวกัน ยักษ์ล้มภูเขาก็หันไปทิศนั้นเช่นกัน
สายตาเย็นชาของผู้คุมกฎเผ่ามารพลันเปลี่ยนเป็นคลุ้มคลั่งขึ้นมา จากนั้นก็เยือกเย็นลงในฉับพลัน เกิดความกังวลมากมาย
ขุนพลมารที่สองซึ่งเข้าโจมตีกระโจมบัญชาการกลาง และเหล่าผู้แข็งแกร่งกับหัวหน้าชนเผ่ามารต่างๆ ก็รู้สึกได้ถึงพลังปราณอันทรงพลังสายหนึ่งที่ปรากฏขึ้น
เฉินฉางเซิงกับขุนพลเทพจำนวนหนึ่งก็รู้สึกได้ถึงพลังปราณสายนี้เช่นเดียวกัน
ความรู้สึกของสวีโหย่วหรงชัดเจนและแม่นยำที่สุด เพราะนางคุ้นเคยกับพลังปราณสายนี้เป็นที่สุด
ด้วยในวัยเด็ก ขณะอยู่ในพระราชวังหลี นางรู้สึกเบื่อมาก จึงมักไปเล่นกับทวนเล่มนั้น
……
……
คนชุดดำกรีดร้อง แล้วถอยกลับด้วยความเร็วที่ยากจินตนาการ
ขนตาของเขามีหิมะเกาะอยู่ สิ่งที่ดวงตาเห็น มีแต่แสงเจ็ดสี
รวมทั้งทวนที่แหวกความมืดเล่มนั้น
เสียง ตุ๊บ ดังเบาๆ
คนชุดดำหล่นลงบนพื้นหญ้าที่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง
ทรวงอกด้านขวาของเขาปรากฏรูหนึ่งรู
โลหิตสดๆ ไหลออกมาไม่หยุด ดูน่ากลัวยิ่ง
ผงแสงสีทองลอยออกจากรูโลหิต ดูๆ ไปก็เหมือนฉากพระอาทิตย์ตกดิน
“ทวนเล่มนี้ทำไมถึงอยู่ในมือเจ้า!”
คนชุดดำจ้องมองรถที่อยู่บนยอดเขา พลางพูดอย่างโกรธแค้น “ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่”
ลมเบาๆ พัดกระดาษขาวปลิว เสียงดังพึ่บพั่บ
เซียวจางก้าวออกจากตัวรถ ในมือถือทวนโลหะเล่มหนึ่ง