ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 113 ชายหนุ่มที่แก่เกินวัย
ทวนโลหะด้ามนี้ดูเหมือนทวนธรรมดาทั่วไป ถ้าไม่เหมือนกับว่าเป็นทวนประจำตัวของเซียวจาง
แต่ทวนที่สามารถทำให้คนชุดดำบาดเจ็บได้ ย่อมไม่ธรรมดา
นี่คืออาวุธอันดับหนึ่งของทำเนียบร้อยศาสตราในตำนาน ซึ่งจักรพรรดิไท่จงเคยใช้ในอดีต ทวนน้ำค้างเทพ
“สุดท้ายก็เปล่าประโยชน์ พวกเจ้ากำลังจะพ่ายแพ้”
คนชุดดำใช้น้ำเสียงเย็นชา พูดประโยคหนึ่งทิ้งท้าย ก่อนกลายเป็นหมอกดำกลุ่มหนึ่ง จางหายไปในสนามรบอันวุ่นวาย
เซียวจางอยากไล่ตามไป แต่ร่างกลับโงนเงนสองครา เกือบจะล้มลงกับพื้น
เห็นทีหลายวันก่อน ข่าวที่ว่าเขาขี่ว่าวบุกเข้าไปในเมืองเสวี่ยเหล่าเป็นเรื่องจริง และได้รับบาดเจ็บสาหัสก็เป็นเรื่องจริงเช่นเดียวกัน
เพียงแต่ไม่รู้ว่าซางสิงโจวเก็บเขาไว้บนรถตั้งแต่เมื่อไหร่
“ใช้ว่าวแลกกับทวนสิบปี เจ้าว่าคุ้มหรือไม่”
“คุ้มแน่นอน”
เซียวจางถือทวนโลหะในมือ มีท่าทีตื่นเต้นอยู่บ้าง
สามารถจับทวนน้ำค้างเทพด้วยมือตนเอง เป็นความฝันของผู้ใช้ทวนทุกคนอยู่แล้ว เขาก็ไม่ละเว้น
ซางสิงโจวสั่นศีรษะ
ตามความเห็นของเขา นี่ย่อมเป็นเพชรในตม
ความจริงแล้ว เขาไม่เคยรู้สึกว่าในยุคนี้ผู้ใดมีคุณสมบัติพอที่จะใช้อาวุธซึ่งจักรพรรดิไท่จงให้ไว้เป็นมรดก
ทว่าตอนนี้เรื่องเร่งด่วนสำคัญ คือรบชนะเผ่ามาร และเซียวจางก็คือผู้ใช้ทวนเป็นที่แข็งแกร่งสุด จึงได้แต่ยอมให้เขาลองใช้ดู
เซียวจางเงยหน้ามองที่ที่ไกลออกไปซึ่งคนชุดดำหายตัวไป แล้วพูดอย่างระมัดระวัง “ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มิได้ง่ายดายเช่นนี้”
เขาซ่อนตัวอยู่ในรถหลายวัน โดยไม่มีข่าวเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย แต่การสะสมพลังอยู่นาน บวกกับอานุภาพของทวนน้ำค้างเทพ ก็ยังคงไม่สามารถสังหารคนชุดดำได้ นี่เกี่ยวข้องกับอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ของเขา และเป็นเพราะคนชุดดำมีพลังที่แข็งแกร่งมาก แต่ยังมีความเป็นไปได้อีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือคนชุดดำมิได้ทุ่มเทพลังทั้งหมดแต่แรก
“เผ่ามารอยากให้ข้าตายจริงๆ แม้ตายก่อนสิบกว่าวันก็ยังดี ทว่านี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญถึงขนาดที่ต้องให้พวกเขาออกจากเมืองมาเผด็จศึกล่วงหน้า”
ซางสิงโจวพูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง
เขามองการณ์ไกลหรือมองทะลุปรุโปร่งกว่าเซียวจางก็ว่าได้
เผ่ามารทำการเผด็จศึกก่อนเวลา เพื่อต้องการสร้างฉากความวุ่นวายในท้องทุ่งรกร้าง โดยใช้ความวุ่นวายปกปิดเจตนาที่แท้จริง ตอนนี้ดูไปแล้ว น่าจะปกปิดการสังหารเขา แต่เผ่ามารมีการเตรียมการที่สมบูรณ์แบบมากกว่านี้ล่วงหน้าหรือไม่…ถ้าสังหารไม่สำเร็จ ก็ใช้เหตุการณ์นี้เป็นวิธีเบี่ยงเบนความสนใจ
ถ้าเป็นเช่นนี้จริง แล้วไม้ตายที่แท้จริงของเผ่ามารคืออะไร
ซางสิงโจวหันกาย มองไปยังทิศใต้
……
……
ในการสงคราม หน่วยที่สำคัญสุดย่อมเป็นแนวหลัง
ในแนวหลัง สิ่งที่สำคัญสุดคือเสบียง
อาวุธยุทโธปกรณ์ถูกทำลาย สามารถพึ่งพากำลังคนจู่โจมอย่างแข็งขัน ศรแสงศักดิ์สิทธิ์ไม่มี ก็สามารถใช้ศรธรรมดาได้ ในช่วงเวลาคับขันสุด ความกล้าหาญกับปณิธานมักมีบทบาทสำคัญยิ่ง แต่ถ้าไม่มีเสบียง หิวจนตลอดทั้งร่างไม่มีแรง จะสู้รบได้อย่างไร ถ้าอาชาหลงเซียงล้วนยืนไม่ขึ้นแล้ว จะกรีธาทัพได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการรุกเข้าจู่โจมศัตรู
รัชสมัยต้าโจวให้ความสำคัญกับแนวหลังมาก และมุ่งเน้นมาที่สงครามครั้งนี้โดยเฉพาะ ซึ่งก็ได้จัดเตรียมสิ่งของต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมานาน เป็นเวลาติดต่อกันสิบปีเต็ม ถ้านับสิบเจ็ดแนวป้องกัน และคลังเสบียงเหล่านั้นในเขตเทียนจิงเหนือ การเตรียมพร้อมเช่นนี้ ยิ่งต้องย้อนกลับไปในยุคสมัยจักรพรรดินีเทียนไห่กับจักรพรรดิองค์ก่อน กระทั่งมีกลยุทธ์ที่กำหนดไว้เป็นอย่างดีมากมายตั้งแต่ยุคสมัยไท่จงแล้ว
การเก็บสะสมและการเตรียมเสบียงอาหารเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่สิ่งที่ยากและอันตรายยิ่งกว่าคือการขนส่งเสบียง โดยเฉพาะขณะที่สงครามดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง กองทัพเผ่ามนุษย์ชนะแล้วชนะอีก เส้นทางขนส่งเสบียงที่มากขึ้นเรื่อยๆ เป็นส่วนที่อยู่ในอาณาเขตเผ่ามาร ซึ่งอาจเผชิญกับการคุกคามหรือกระทั่งการซุ่มโจมตีครั้งใหญ่ได้ทุกขณะ
เมื่อพิจารณาด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ อีกทั้งขอบเขตการขนส่งเสบียงของกองทัพเผ่ามนุษย์ที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จำนวนผู้บำเพ็ญเพียรติดตามกองทัพที่มากขึ้นเรื่อยๆ ในจำนวนนี้ ขบวนขนส่งเสบียงที่สำคัญสุด จึงต้องมีกระทั่งผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์อยู่คุ้มกันด้วยตัวเอง ซึ่งเหมาชิวอวี่ก็เคยเดินทางไปมาระหว่างเหนือและใต้อยู่หลายครั้ง
ตอนนี้สงครามเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังแล้ว เหมาชิวอวี่บาดเจ็บสาหัส ต้องกลับไปรักษาตัวที่เขาหานซาน ส่วนแม่ชีเต๋าไหวเหริน หัวหน้าพรรคหลีซาน เซียงอ๋อง เป็นต้น ล้วนไม่มีแรงจะสู้รบอีก หวังผ้อรับหน้าที่จับตาดูผู้คุมกฎเผ่ามาร แม้อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี ก็ไม่สามารถไปจากเมืองเสวี่ยเหล่าแม้เพียงก้าวเดียว ยิ่งไม่มีทางที่จะแบ่งสมาธิไปดูด้านนี้ ดีที่ฝั่งเผ่ามารแย่ยิ่งกว่า ตั้งแต่เปิดศึกจนถึงตอนนี้ มีผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์เสียชีวิตไปแล้วสามท่าน บุคคลสำคัญอย่างผู้คุมกฎเผ่ามารกับคนชุดดำ รวมทั้งขุนพลมารที่สองและเหล่าผู้แข็งแกร่ง จึงไม่มีทางไปจากเมืองเสวี่ยเหล่าอย่างแน่นอน ดังนั้นยังนับว่าปลอดภัยอยู่
“เรื่องของราชสำนักย่อมมีกรมพระคลังเป็นหัวเรือใหญ่ และของจากทางใต้ส่วนใหญ่ก็มีสกุลถังกับสกุลมู่เจ้อจัดเตรียม ไม่เข้าใจว่าเหตุใดสกุลชิวซานถึงได้กระตือรือร้นเช่นนี้”
เจ้าหน้าที่ขนส่งเสบียงมองดูรถคันหนึ่งในขบวนรถตรงหน้าพลางขมวดคิ้ว
เจ้าบ้านสกุลชิวซานกับคนรับใช้ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ครึ่งขั้นในตำนานท่านนั้นนั่งอยู่อยู่ในรถม้าคันนั้น ทำให้คนทั้งขบวนรู้สึกกดดันยิ่ง
ลูกน้องเจ้าหน้าที่ว่า “คนทั้งโลกล้วนรู้ว่าเจ้าบ้านสกุลชิวซานรักลูกมาก ที่ยอมทุ่มเทขนาดนี้ คิดว่าชิวซานจวินมีส่วน”
เจ้าหน้าที่ขนส่งเสบียงนึกถึงข่าวลือ จึงพูดเสียดสีเล็กๆ “ที่แท้ก็อยากกู้หน้าคืนให้เขาหลีซาน”
คำพูดนี้หมายถึงสงครามที่บุกไปทางเหนือเมื่อหลายปีก่อน
ศิษย์พรรคกระบี่หลีซานซึ่งรับหน้าที่ขนส่งเสบียง ส่งเสบียงให้ไม่ได้ตามกำหนดเนื่องจากเหตุผลบางอย่าง เสี่ยงต่อการถูกจินอวี้ลวี่สังหารในสนามรบ ชนิดใครร้องขอก็ไร้ประโยชน์
สุดท้ายหัวหน้าพรรคหลีซานในตอนนั้นจึงใช้ตำรารวบรวมเคล็ดวิชาเพลงกระบี่หลีซานมาแลกเปลี่ยน เชิญจักรพรรดิขาวมาออกหน้า ถึงได้รักษาชีวิตเหล่าศิษย์ในสำนักรวมทั้งเสี่ยวซงกงไว้ได้
ส่วนเรื่องที่เสี่ยวซงกงยุให้คนในพรรคหลีซานแตกแยกกัน ก็อีกเรื่องหนึ่ง
สำหรับพรรคกระบี่หลีซานแล้ว นี่คือจุดด่างพร้อยจุดเดียวในความทรงจำของผู้คนบนโลกก็ว่าได้ ถ้าไม่นับซูหลี
ตอนนี้พรรคกระบี่หลีซานให้ชิวซานจวินเป็นผู้สืบทอด หลายปีที่ผ่านมาโอรสมังกรผู้มีชีวิตอยู่อย่างเงียบๆ ย่อมหวังที่จะใช้โอกาสสงครามในครั้งนี้ ขจัดจุดด่างพร้อยให้หมดสิ้น อาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ สกุลชิวซานถึงได้แสดงความกระตือรือร้นเช่นนี้ สนองตอบคำขอจากราชสำนัก ขอเข้าร่วมในการเดินทัพไปทางเหนือด้วย
“ไม่ใช่แค่เรื่องหน้าตา”
ลูกน้องเจ้าหน้าที่พูดต่อ “ได้ยินมาว่า ใต้เท้าจินอวี้ลวี่เคยพูดกับปากเองว่า ถ้าเรื่องในครั้งนี้จัดการได้อย่างเหมาะสม หลังสงครามจะคืนตำรารวบรวมเคล็ดวิชาเพลงกระบี่หลีซานให้”
เจ้าหน้าที่ขนส่งเสบียงอึ้งไปสักพัก ก่อนพูดชื่นชมเล็กน้อย “นี่ก็ง่ายดายเกิน”
คำพูดนี้ถ้าผู้อื่นพูด เขาอาจไม่เชื่อ แต่เมื่อจินอวี้ลวี่พูดออกจากปากเอง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
หลังเปิดศึก พอกำลังเสริมของชนเผ่าปีศาจออกจากชงโจว ก็เคลื่อนไหวอยู่รอบบริเวณทุ่งหญ้าผืนนั้น ไม่ได้เข้าไปในสนามรบ ราชสำนักและพลเมืองต้าโจวจึงโกรธแค้นมาก แม้มีปัญหามากมาย แต่ก็ไม่มีใครมีปัญหาใดๆ กับจินอวี้ลวี่ ยิ่งไม่มีข้อกังขาใดๆ ด้วย
นี่คือเกียรติยศที่สร้างโดยประวัติศาสตร์ และเนื่องจากจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังคงเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญของสงครามในครั้งนี้
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสัมภาระของกองทัพใหญ่ ซึ่งขนส่งโดยแนวหลัง มอบให้จินอวี้ลวี่จัดการทั้งหมด ไม่ว่าปริมาณเท่าใด ก็ล้วนแล้วแต่เขาตัดสินใจ
นี่คือสิทธิพิเศษและความไว้วางใจที่จักรพรรดิแห่งต้าโจวและพระสังฆราชมอบให้เขา แต่ขณะเดียวกันก็เป็นแรงกดดันที่น่ากลัวยิ่ง
แม้มีผู้คนหลายร้อยคน อย่างนายพันจากกองทัพ ขุนนางอาวุโสจากกรมพระคลัง นักบัญชีจากสกุลถัง เลขาด้านการเงินและเสบียงอาหารจากสกุลอู๋ บวกกับเด็กรับใช้สองคนที่เขาพามาจากเมืองไป๋ตี้ และผู้ช่วยอย่างถังซานสือลิ่ว ที่ล้วนเป็นลูกน้องช่วยแบ่งเบาแรงกดดันเหล่านี้จากเขา
ทว่าตอนนี้ขุนนางอาวุโสและนักบัญชีเหล่านั้นได้อ่อนเพลียและล้มป่วยลงเป็นจำนวนมาก รวมทั้งถังซานสือลิ่วที่ไข้สูงไม่ลด และถูกส่งตัวไปเขาหานซานแล้ว
ส่วนจินอวี้ลวี่ก็ผ่ายผอมจนเหลือแต่กระดูก แต่ก็ยังยืนหยัดอยู่
เขาจึงเป็นที่ยำเกรงของทหารทุกคน
คำว่ายำเกรง มีคำว่าเกรงอยู่
เจ้าหน้าที่ขนส่งเสบียงมองดูเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไปจากท้องทุ่งรกร้าง ร่างพลางสั่นน้อยๆ แอบหวังว่าจะไม่มีปัญหาใดๆ
ขบวนขนส่งเสบียงขบวนนี้ อย่างน้อยสามารถรับรองได้ว่ามีเสบียงเพียงพอที่จะให้ทหารในแนวหน้ากินได้ยี่สิบวัน พูดได้ว่าเป็นการขนส่งครั้งสำคัญมากครั้งหนึ่ง ประกอบด้วยข้าราชการสามหมื่นคน และเกวียนนับพันเล่ม เคลื่อนที่ต่อเนื่องกันยาวนับสิบลี้ตั้งแต่หัวขบวนถึงท้ายขบวน ค่อนข้างยิ่งใหญ่มาก มีทหารม้าสามพันนาย อีกทั้งยอดฝีมือของสกุลชิวซานคอยคุ้มกันอยู่ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกทหารแตกทัพเผ่ามารจู่โจม และไม่มีความเสี่ยงที่เสบียงจะถูกปล้น แต่ระยะทางที่ยาวไกล ไม่มีใครรู้ว่าจะพบเจออะไร แต่ถ้าวันคืนหนึ่งเกิดอะไรขึ้น ยังไม่พูดถึงโทษตาย แค่โดนกระบองตามกฎทหาร ก็ใช่ว่าจะทนกันได้ง่ายๆ
และในตอนนี้เอง แม่ทัพกองทหารม้านายหนึ่งก็เข้ามาพูดเสียงต่ำข้างรถเจ้าบ้านสกุลชิวซาน ผ่านไปสักพัก ก็มีเสียงเคร่งขรึมดังออกจากรถเจ้าบ้านสกุลชิวซาน ต่อด้วยเสียงตะโกนจากรอบด้านที่ทยอยกันดังมา ท่าทีของพ่อบ้านสกุลชิวซานกับเหล่าผู้คุ้มครองเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้น ขบวนเร่งความเร็วให้เคลื่อนไปข้างหน้า เสียงม้าวิ่งดังต่อเนื่อง ราวกับพายุฝน เหล่าทหารม้าเร่งควบม้าผ่านขบวนเสบียง ไปยังท้องทุ่งรกร้างที่อยู่ห่างออกไปไม่หยุด ขณะเดียวกัน พลลาดตระเวนก็ทำการแผ้วถางทางให้เรียบร้อยไปด้วย
“เห็นทีต้องผ่านนั่วรื่อหลั่งให้ได้ก่อนฟ้ามืด”
เจ้าหน้าที่ขนส่งเสบียงคนนั้นยกแส้ม้าขึ้น ชี้ไปทางเทือกเขาในระยะไกลของท้องทุ่งรกร้าง พลางว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้เราก็เห็นช่องเขาซิงซิงแล้วสิ”
……
……
จากทุ่งหญ้ามองขึ้นไป นั่นคือเทือกเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ใต้ท้องฟ้า
จากท้องฟ้ามองลงมา นั่นคือแนวเขาห้าลูกตั้งเรียงรายต่อเนื่องกันตามแนวขวางของทุ่งหญ้า
นั่วรื่อหลั่งคือยอดเขาที่สูงที่สุดในทิวเขาเหล่านี้ ไม่ว่าชนเผ่ามารหรือชนเผ่ามนุษย์ ล้วนคุ้นเคยกับการเรียกเทือกเขาผืนนี้ว่านั่วรื่อหลั่ง
ไม่มีใครคิดว่า ตอนนี้เชิงเขาของยอดเขาฝั่งตะวันตกแห่งหนึ่ง มีพลหมาป่าเผ่ามารหนึ่งพันกว่าตนหลบซ่อนอยู่
หมาป่ากระหายโลหิตผิวหนังเป็นหนองกำลังอ้าปาก ส่งกลิ่นคาวโลหิตเหม็นคละคลุ้ง ดวงตานายทหารม้าชนเผ่ามารรูปร่างผอมบางมีแสงสีเขียวจางๆ แผดเผาอยู่
แต่ไม่ว่าจะเป็นหมาป่ายักษ์กระหายโลหิตที่ดุร้ายเหล่านี้ หรือทหารม้าชนเผ่ามาร ทั้งหมดล้วนอยู่ในความเงียบ ไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา
ผู้นำพลหมาป่าดูไปแล้วยังหนุ่มแน่นมาก กระทั่งหน้าตาก็ค่อนข้างอ่อนเยาว์ คล้ายยังเด็กอยู่
ทว่าดวงตาของเขากลับแก่เกินวัยยิ่ง ราวกับอ่านเรื่องในโลกมามาก ผ่านความเจ็บปวดมานับไม่ถ้วน
“เผาเสบียงของพวกมันให้เกลี้ยง”
เขามองดูเหล่าพลหมาป่า พลางพูดอย่างสงบนิ่ง “จากนั้นก็ลุยเข้าไปตายเอาดาบหน้า”