ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 115 ลานบ้านลึก ลึก ลึกเพียงใด
เกาฮวนมองไปยังหลังคารถคันที่อยู่ข้างหน้า ทันใดรถคันนั้นก็พังออกเป็นเสี่ยงๆ
ใช่ว่าสายตาของเขามีพลังมากขนาดนี้
ในเศษไม้และฝุ่นควันที่ปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า เจ้าบ้านสกุลชิวซานถือกระบี่แหวกอากาศแทงเข้ามา
เขาเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นรวบรวมดวงดาวระดับสูงสุด กระบี่นี้เป็นเกล็ดย้อนที่ชิวซานจวินบังคับให้เขาพกพา และเป็นศาสตราเทพอันดับต้นๆ ในทำเนียบร้อยศาสตรา
แสงกระบี่ที่เย็นยะเยียบและเฉียบคมพุ่งไปยังหลังคารถ เกาฮวนขยับร่างเล็กน้อย ลงมายืนบนพื้นดิน
ท่าทีของเขาไม่มีใดๆ เปลี่ยนแปลง เขาไม่ได้ลงมือกับเจ้าบ้านสกุลชิวซาน
การถูกคุมขังในขุมนรกเจ็ดร้อยปี ไม่เห็นเดือนไม่เห็นตะวัน ทำให้เขาไม่คุ้นเคยกับโลกปัจจุบันและผู้แข็งแกร่งในปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง
จึงได้แต่แบ่งคนที่เห็นเป็นสองชนิด ที่รู้จักกับไม่รู้จัก
ศัตรูผู้สามารถมีชีวิตอยู่นานหลายปีเช่นเดียวกับเขา ย่อมคู่ควรให้ต้องระวัง ส่วนคนอื่นๆ ไม่มีคุณสมบัติพอที่เขาจะเปลืองใจให้
กระบี่แรกไม่สำเร็จ เจ้าบ้านสกุลชิวซานกลับไม่รู้สึกละอายใจอะไร และไม่โกรธแค้น ถอยกลับเข้าไปในฝุ่นควันทันที
เสียง ผลัวะ ดังมาเบาๆ ชายวัยกลางคนลักษณะแบบคนรับใช้ทั่วไปคนหนึ่ง เหยียบป้านสุราทองแดงป้านหนึ่งบนพื้นจนยุบ ขณะเดียวกัน หมัดของชายวัยกลางคนก็มาถึงตรงหน้าเกาฮวน
เกาฮวนมีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย และมีปฏิกิริยาบางอย่าง
ขณะเสียง ผลัวะ ดังมาเบาๆ พื้นดินที่เขายืนก็เกิดรอยแตกสามสาย
ขณะเดียวกัน มือของเขาก็จับหมัดนั้นไว้
ชายวัยกลางคนเป็นคนรับใช้บ้านสกุลชิวซาน บำเพ็ญเพียรได้ครึ่งขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว ทว่าหมัดที่ใช้แรงทั้งหมดจู่โจมออก กลับถูกเกาฮวนจับเอาไว้ในมือได้อย่างสบายๆ
ช่องว่างระหว่างขั้นบำเพ็ญเพียร ไม่สามารถเติมเต็มด้วยความกล้าและยุทธวิธีบางอย่าง
คนรับใช้บ้านสกุลชิวซานหน้าซีดขาว นัยน์ตาคล้ายมีเปลวไฟสีทองแผดเผา ส่งเสียงดังยาวๆ พลางก้าวถอยหลังซวนเซ
ปรากฏแสงสีขาวนับสิบสายไหลวนอยู่บนท้องฟ้า ส่งเสียงดังสนั่นจนหูแทบหนวก
คนรับใช้บ้านสกุลชิวซานแค่นเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง แล้วร่างก็ชนเกวียนขนเสบียงแตก กระเด็นลอยตกลงบนพื้นดินห่างออกไปนับร้อยจั้ง เสื้อผ้าล้วนมีแต่โลหิต ไม่รู้กระดูกหักไปกี่ท่อน
เกาฮวนเก็บมือ หันมองรถม้าคันที่อยู่ข้างหน้าขึ้นไปอีกคันหนึ่ง
เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ขนส่งเสบียงบางคนเคยทอดถอนใจอย่างไรอย่างนั้น เหล่าทหารเผ่ามนุษย์คิดว่าเจ้าบ้านสกุลชิวซานกับคนรับใช้เป็นผู้แข็งแกร่งสุดในขบวนมาตลอด
แต่เกาฮวนมิได้คิดเช่นนี้
สายตาของเขามิได้จ้องจับแต่หลังคารถคันนี้ รวมทั้งภายในรถของบ้านสกุลชิวซาน แต่เป็นรถคันที่อยู่ข้างหน้าขึ้นไปต่างหาก
เขารู้สึกว่าผู้บังคับบัญชาของขบวนขนส่งเสบียงที่แท้จริงอยู่ในรถคันนี้
ขอเพียงสังหารคนในรถตาย ก็จะเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายของการจู่โจมในครั้งนี้
นี่คือบทสรุป หลังจากที่เขาใช้เวลานานเฝ้าดูอยู่ตรงหน้าผา
พอสายตาของเกาฮวนหยุดอยู่ที่เป้าหมาย ยอดฝีมือเผ่ามารสิบกว่าตนก็พุ่งตัวออกจากกองทหารม้าที่ประจำอยู่ จู่โจมใส่รถม้าคันนั้นทันที
เสียงลมพัดหวีดหวิวดังแหวกอากาศไม่หยุด เหล่ายอดฝีมือเผ่ามารเหมือนก้อนหินก็มิปาน หล่นลงจากฟากฟ้า
ถ้าไม่มีผู้ใดขัดขวาง ไม่ว่าคนในรถม้าเป็นใคร ล้วนต้องถูกพวกเขาบดขยี้จนกลายเป็นเนื้อบด
ในตอนนี้เอง เสียงพิณที่เศร้าสร้อยและเยือกเย็นก็ดังออกมาจากในรถ
เสียงพิณลอยไปตามพื้นดิน ขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงไม่ได้ดังขึ้น แต่ขอบเขตที่ปกคลุมใหญ่ขึ้นมาก
เกราะบนร่างของยอดฝีมือเผ่ามารเหล่านั้นเกิดรอยแตกหลายแห่ง มีควันสีเขียวทะลักออกมา
สุดท้าย ทิศที่พวกเขาร่วงหล่นเกิดเบี่ยงเบนออกไป มิได้บดขยี้รถม้าคันนั้น แต่ร่วงหล่นลงบนพื้นดินรอบๆ รถม้า
พื้นดินสะเทือน ดินสีดำพุ่งขึ้นดุจน้ำพุ ดูไปแล้วเป็นภาพที่อลังการมาก
นักเล่นพิณตาบอดอุ้มพิณโบราณก้าวลงจากรถ
เขาหันศีรษะ ฟังเสียงรอบทิศ มือขวาดีดสายพิณเป็นระยะ
ราวกับแสงสีขาวของคมดาบวนเวียน ก่อนออกจากสายพิณ จู่โจมใส่ยอดฝีมือเผ่ามารเหล่านั้น มองไปก็คล้ายใบไม้ร่วงเต็มท้องฟ้า
ยอดฝีมือเผ่ามารสิบกว่าตนร้องครวญคราง พลางพุ่งเข้าใส่รถม้า
ถ้ามีเพียงนักเล่นพิณตาบอดคนเดียว คิดขัดขวางยอดฝีมือเผ่ามารมากมายขนาดนี้ ค่อนข้างกินแรงจริงๆ แต่ในรถม้ายังมีคนอีก
รถม้าคันนั้นดูไปแล้วก็ใช่ว่าใหญ่มาก ใครๆ ก็นึกไม่ถึงว่า จะมีคนก้าวออกมาจากด้านในมากขนาดนี้
พ่อค้าเจ็ดคน เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการหกคน หมอดูสามคน ชายชราขายถั่วตัดสองคน ยังมีแม่นางน้อยขายเครื่องประทินโฉมอีกหนึ่งคน
กลไกลึกลับและยากคาดเดาหลายชนิด ปกคลุมอยู่รอบๆ รถม้าและทุ่งหญ้า ตกลงบนร่างของยอดฝีมือเผ่ามารเหล่านั้น
โซ่โลหะหลายสายแหวกอากาศขึ้นมา พร้อมรอยโลหิตและไฟ มุ่งผ่านบ่าและลำคอของยอดฝีมือเผ่ามารเหล่านั้น
ก่อนหน้าเหตุการณ์เหล่านี้ การก่อตัวของค่ายกลรูปกระบะทราย ได้ปกป้องรถม้าคันนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว
เกาฮวนเลิกคิ้วน้อยๆ ขณะมองดูภาพฉากนี้
เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่า เผ่ามนุษย์ในปัจจุบันจะมีผู้แข็งแกร่งมากมายขนาดนี้
จากนั้น ใบหน้าของเขาก็เผยให้เห็นรอยยิ้มไร้เดียงสา
ผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์มากขนาดนี้ คุ้มค่าที่เขาจะลงมือแล้ว
เม็ดฝนรสจืดและไร้กลิ่น ตกลงมาจากฟากฟ้าอีกครั้ง ชะล้างกลไกลึกลับและยากคาดเดาเหล่านั้นทั้งหมด ตามด้วยการทำลายค่ายกลรูปกระบะทราย
คนสกุลถังห้าลักษณะจากเวิ่นสุ่ย เปลี่ยนท่าทีเป็นเคร่งขรึมกว่าเดิม นักเล่นพิณตาบอดก็เปลี่ยนเป็นดีดพิณเร็วขึ้น
ขั้นบำเพ็ญเพียรของหนุ่มน้อยเผ่ามารผู้แข็งแกร่งท่านนี้ลึกล้ำจนยากแท้หยั่งถึง แม้มิได้เคลื่อนไหวใดๆ กลับทำลายแนวป้องกันรอบนอกได้
เกาฮวนดีดนิ้วเบาๆ ให้กระบองสองท่อนลอยขึ้น พอขยับสายตาลง ก็ตัดโซ่โลหะเส้นหนึ่งขาด แล้วก้าวมาอยู่ด้านหน้ารถ
เขาคิดเลิกม่านประตูรถขึ้น ดูว่าใครกันแน่ที่อยู่ในนั้น
เสียงพิณดังกึกก้อง ประดุจเสียงแตรก่อนออกเดินทาง สายพิณที่เต็มไปด้วยเจตจำนงอันแข็งแกร่ง ขวางอยู่ตรงหน้าเขา
แบบนี้ก็ดี
ในบรรดาผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ ต้องยกให้นักเล่นพิณตาบอดท่านนี้แข็งแกร่งสุด
เกาฮวนไม่แยแสที่ต้องจงใจสังหารคนผู้นี้ก่อน
หมอกสีดำจางๆ ลอยออกจากนิ้วของเขา ไม่ว่าลมบนทุ่งหญ้าแรงแค่ไหน ก็ไม่มีทางพัดหมอกออกไปแม้แต่น้อย
สายพิณเส้นนั้นหย่อนยานลงเมื่อมองด้วยตาเปล่า จากนั้นก็ขาดสะบั้น สูญสิ้นพลังชีวิตทั้งหมดไป
โลหิตสดๆ ทะลักออกจากมุมปากนักเล่นพิณตาบอด ก่อนที่เขาจะถอยไปอยู่ข้างตัวรถ
เกาฮวนไหนเลยจะปล่อยให้เขารอดชีวิต ฟาดฝ่ามือแหวกอากาศเข้าไปหนึ่งฝ่ามือ
แสงสีส้มยามพลบค่ำมืดลงทันใด ราวกับความมืดมาเร็วกว่าปกติ ฝ่ามือยักษ์อันมืดมิด แต่ไม่ใช่ของจริง ตกลงจากฟากฟ้า ฟาดใส่ตัวรถม้า
สายพิณบนตัวพิณขาดไปหนึ่งเส้น แม้ยังมีอีกหลายเส้นที่สมบูรณ์ แต่ตอนนี้ไม่สามารถส่งเสียงออกมาแล้ว เพราะพลังปราณของนักเล่นพิณตาบอดยังไม่ฟื้นคืน
ใครจะเข้าขวางฝ่ามือยักษ์ข้างนี้
หน้าต่างรถขาดแล้ว วัตถุสีดำมะเมี่ยมสองอันบินออกมา
เป็นสีดำเหมือนกัน แต่วัตถุสองอันนี้กลับไม่เหมือนฝ่ามือยักษ์สีดำที่ทำให้รู้สึกหวาดกลัวและกดดัน เพียงเต็มไปด้วยอำนาจคุกคาม
ตราประทับทางการอันหนึ่ง กับไม้ปลุกสติอันหนึ่ง
ตราประทับทางการกับไม้ปลุกสติพุ่งเข้ารับฝ่ามือยักษ์
เสียงแตก ผลัวะๆ สองครั้ง ตราประทับทางการกับไม้ปลุกสติกลายเป็นเศษไม้ ส่วนฝ่ามือยักษ์สีดำก็ค่อยๆ สลายไปในอากาศ
ผู้เฒ่าสวมชุดยาวสีเทา รูปร่างผอมแห้งแรงน้อยคนหนึ่งก้าวลงจากรถ ท่าทางสงบนิ่ง
คนหนุ่มสองสามคนก้าวตามออกมา ท่าทางเคร่งเครียด คล้ายนักศึกษา
รถคันนี้มีคนออกมามากเกินไปแล้ว ใครจะคิดเล่าว่า ในนั้นมีคนซ่อนอยู่มากมายขนาดนี้
เกาฮวนยิ่งไม่คิดว่า ในระยะเวลาอันสั้น เขาจะได้เจอผู้แข็งแกร่งขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ครึ่งขั้นเผ่ามนุษย์ถึงสามคนด้วยกัน
ทว่าขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ครึ่งขั้นนี้ ไม่คุ้มราคาคุยตั้งแต่เมื่อใดกัน
เกาฮวนมั่นใจว่า เหล่าผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในที่นี้ ตนไม่รู้จักสักคน มีก็แต่ฝีมือของนักเล่นพิณตาบอดท่านนั้นที่คุ้นเคยอยู่บ้าง
เขาหันมองนักเล่นพิณตาบอด เลิกคิ้วน้อยๆ พลางถาม “พรรคฉางเซิง?”
นักเล่นพิณตาบอดตอบ “ใช่”
เกาฮวนเลิกคิ้วถามต่อ “หลี่หมิงเหอ?”
นักเล่นพิณตาบอดเปลี่ยนท่าทีเล็กน้อย ก่อนว่า “ท่านอาจารย์”
เกาฮวนพูดอย่างภาคภูมิใจ “เช่นนี้นี่เอง อาจารย์เจ้ากับข้าเคยคบหากัน ถ้าเจ้าสวามิภักดิ์ข้า วันนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
พูดจบ ก็หันมองผู้เฒ่าร่างผอมในชุดยาวสีเทา พลางถาม “เจ้าเป็นใครกันอีก”
ชายหนุ่มผู้หนึ่งตอบ “ท่านคือใต้เท้าเสนาบดีบ้านข้า”
“ไม่รู้จัก”
เกาฮวนมีท่าทีไม่สนใจ พลันตะโกนเสียงสูง “ยังจะกล้าวางยาข้า!”
เขามองดูแม่นางน้อยที่ไม่พูดไม่จามาตลอด
ไม่รู้ว่าได้รับผลกระทบจากการต่อสู้หรือไม่ ตะกร้าที่แม่นางน้อยถืออยู่ หล่นเทลงบนพื้น
เครื่องประทินโฉมถูกลมพัดขึ้น แล้วค่อยๆ กระจายออก
ในความคิดของใครต่อใคร นี่ล้วนเป็นภาพธรรมดาๆ ภาพหนึ่ง ใครจะคิดไปถึงว่า นี่คือวิธีวางยาพิษ
ขณะมองแม่นางน้อยผู้นี้ แววตาของเกาฮวนเต็มไปด้วยความโหดร้าย
“เจ้ารู้ว่าข้าคือใคร แต่ยังคิดฆ่าข้าด้วยพิษ”
ตอนอยู่ที่เมืองเวิ่นสุ่ย เวลาแม่นางน้อยเขินอายและตื่นเต้น ส่วนใหญ่ล้วนเสแสร้งแกล้งทำ
แต่ตอนนี้ เมื่อถูกผู้แข็งแกร่งเผ่ามารตนนี้จ้องมอง นางถึงได้รู้สึกตื่นเต้นสุดจะเปรียบจริงๆ แม้แต่กระทั่งขยับเท้าก็ยังทำไม่ได้
ห่างออกไปหลายจั้ง เกาฮวนยื่นมือออกไปจับลำคอนางอย่างดุร้าย เตรียมฉีกนางเป็นชิ้นๆ
นักเล่นพิณตาบอดกับเสนาบดีเว่ยอยู่อีกด้าน ไม่มีทางช่วยนางได้ทัน
ส่วนพ่อค้ากับหมอดูเหล่านั้นก็ยังคงต่อสู้พัวพันอยู่กับยอดฝีมือเผ่ามารที่รอดชีวิต
ดีที่ยังมีชายชราขายถั่วตัดสองคน
พวกเขาคุ้นเคยกับการยืนอยู่ข้างๆ แม่นางน้อยขายเครื่องประทินโฉมมาโดยตลอด
หนึ่งในชายชราขายถั่วตัดดึงผ้าสีเขียวที่ใช้วางถั่วตัดขึ้นมา กางขวางตรงหน้านิ้วซึ่งชี้ไปที่มือของเกาฮวน
เสียง แควกๆ ผ้าสีเขียวกลายเป็นเศษผ้า ปลิวไปตามสายลม แล้วกลายร่างเป็นชายชราผู้นั้น
เขางอเข่า ย่อตัวลง สงบนิ่ง กำหมัด แล้วต่อยออกไปตรงๆ
เกาฮวนเห็นภาพนี้ ก็ตะโกน “ได้!”
หมัดนี้เรียบๆ ง่ายๆ สามัญธรรมดา
ในสายตาของผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง กลับมีกลิ่นอายของความสงบที่เป็นกลางจริงๆ
ทว่าถ้ามีเพียงเท่านี้ ก็ไม่มีทางทำให้เกาฮวนหวั่นไหวได้
ที่เขาแค่นเสียงดังออกมา เพราะวิชาที่ชายชราผู้ขายถั่วตัดใช้ คือวิชาประจำราชวงศ์ของแท้…วิชาสุริยันแผดเผา!
เกาฮวนยกแขนเสื้อขึ้นกั้นการประสานงานจู่โจมของนักเล่นพิณตาบอดกับเสนาบดีเว่ย แล้วกำหมัดชกไปที่ชายชราขายถั่วตัด
แสงสว่างหลายสายแผ่กระจายออกจากหมัดของชายชรา
ควันดำหลายสายแผ่กระจายออกจากหมัดของเกาฮวน
เฉกเช่นท้องฟ้าในตอนนี้ ที่กลางวันกับกลางคืนกำลังต่อสู้ตัดสินแพ้ชนะขั้นเด็ดขาด
ขั้นบำเพ็ญเพียรของเขาสูงกว่าชายชราขายถั่วตัดมาก แต่ยามเผชิญหน้าชายชรา เขากลับเคร่งขรึม และพิถีพิถันเรื่องความเที่ยงธรรมยิ่ง
เมื่อฝ่ายตรงข้ามใช้สุดยอดวิชาราชวงศ์เผ่ามนุษย์ เขาก็ต้องใช้สุดยอดวิชาราชวงศ์เทพมาร
“วิชามารสวรรค์!”
นักเล่นพิณตาบอดโพล่งออกมา เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังปราณอหังการที่แผ่ไปตามแนวนอนระหว่างฟ้าดิน และลมหายใจมารที่เข้มกว่าความมืดในยามราตรี
พอได้ยินคำนี้ เสนาบดีเว่ยกับเจ้าบ้านชิวซานที่เพิ่งฟื้นตื่นก็หน้าเปลี่ยนสีทันที
ผู้แข็งแกร่งเผ่ามารผู้นี้เป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงเป็นสุดยอดวิชามารสวรรค์ที่ราชวงศ์ไม่ถ่ายทอดให้คนนอก
……
……
ตูม เสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ชายชราขายถั่วตัดถูกจู่โจมจนตัวปลิวอย่างไม่ต้องสงสัย
ถ้าไม่ใช่วิชาสุริยันแผดเผากับวิชามารสวรรค์ที่หักล้างซึ่งกันและกันตามธรรมชาติ อาการบาดเจ็บของเขาอาจหนักกว่านี้
ยังมีชายชราขายถั่วตัดอีกหนึ่งคน
เกาฮวนยังมีท่าทีจริงจัง เพราะนี่คือตัวแทนการพบปะของสองราชวงศ์
ส่วนการต่อสู้ในครั้งนี้ เขาไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก
เนื่องจากชายชราขายถั่วตัดทั้งสองคนนี้ เมื่อเทียบกับคนหนุ่มสองสามคนของบ้านสกุลเฉินแห่งเมืองเทียนเหลียงในตอนนั้นแล้ว ยังห่างไกลกันมาก
เสียง ผลัวะ ดังเบาๆ
หมัดสองหมัดปะทะกัน
เสียงเบา มิได้ดังดุจสายฟ้าฟาด
นี่หมายความว่าอะไร
เกาฮวนที่หันมองนักเล่นพิณตาบอดกับเสนาบดีเว่ย ค่อยๆ หันกลับมา
ยอดฝีมือเผ่ามารที่จู่โจมเข้ามา ถูกจู่โจมจนล่าถอยไป เสียงตะโกนร้องของพลหมาป่าคล้ายไกลออกไปเรื่อยๆ บนทุ่งหญ้าพลันเปลี่ยนเป็นเงียบสงบ ได้ยินแต่เพียงเสียงเสบียงอาหารไหม้ดัง เปรี๊ยะๆ
เกาฮวนจ้องมองชายชราขายถั่วตัดผู้นั้นด้วยแววตาที่เจ็บปวดและฉงนฉงาย
ชายชราผู้นี้ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
เขาผมขาวทั้งศีรษะแล้ว แต่ดูๆ ไปก็ไม่ชรามาก เพียงแต่แววตาสงบนิ่งเกินไป ราวกับ…บ่อน้ำในคฤหาสน์เก่าแก่ที่เวิ่นสุ่ย
บ่อน้ำเก่าแก่นั่น
เรื่องใดๆ ในโลก ล้วนไม่มีทางทำให้ดวงตาของเขาฉายแววหวั่นไหวได้อีก