ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 118 ทุกคนล้วนมีไฟในใจ
ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เซียวจางบาดเจ็บสาหัสสองครั้ง ตอนซ่อนตัวอยู่ในรถแล้วลอบสังหารคนชุดดำ ทำให้เจ็บหนักขึ้น ส่วนครั้งแรกก็ตอนขี่ว่าวไล่ล่าผู้คุมกฎเผ่ามาร ซึ่งก็ฝืนมาก แต่ความมุ่งมั่นและการตัดสินใจตอนแทงทวนของเขาไม่ฝืนอย่างแน่นอน เขาพกพาพลังชนิดไปแล้วไม่หวนกลับ อีกทั้งกำลังแรงอันเหี้ยมเกรียม
พรวด เสียงทึบตัน เกราะของผู้คุมกฎเผ่ามารปรากฏรูโลหิตขึ้นหนึ่งรู อัญมณีวาบวับแหลกเป็นตะกอนน้ำแข็ง
เขาส่งเสียงร้องอย่างโกรธแค้น ก่อนพลิกมือขวา ดาบดุจพระจันทร์เสี้ยว สับลงบนไหล่ของเซียวจาง
เซียวจางร่วงหล่นลงบนพื้น กระดาษขาวบนใบหน้าถูกย้อมด้วยโลหิต เสียงหัวเราะที่หยิ่งผยองและภาคภูมิใจดังมาจากเบื้องล่าง
เขารู้สึกว่ากระดูกตลอดทั้งร่างแหลกละเอียด เจ็บปวดมาก แต่รู้สึกสะใจมากกว่า
เขามั่นใจว่า ต่อให้ผู้คุมกฎเผ่ามารแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่มีแรงต่อสู้ได้อีกในระยะเวลาอันสั้น ที่สำคัญกว่าก็คือ เขาได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับซางสิงโจวแล้ว
เขาได้ส่งภาพนี้ถึงเมืองเสวี่ยเหล่าแล้ว
พลหมาป่าบนท้องทุ่งรกร้างพุ่งเข้าหาเซียวจาง ในจำนวนนี้ เห็นร่างของขุนพลมารที่สองอย่างชัดเจน ขณะที่ทุกคนคิดว่า เซียวจางต้องตายอย่างแน่นอนแล้วนั้น แสงกระบี่สองสายพลันสว่างขึ้นอย่างเจิดจรัส โดยไม่มีลำดับก่อนหลัง จากนั้นก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นสายรุ้งที่สวยงามสายหนึ่ง
ว่าวกระแทกเข้ากับประตูเมืองด้านบน ภาพไฟไหม้วัดมหายานตกลงบนประตูเมือง เมื่อถูกแสงอาทิตย์อัสดงสาดส่อง ก็เกิดการเผาไหม้ขึ้นทันที
เปลวเพลิงลุกลามไปตามประตูเมืองราวกับน้ำตก ดูตระการตาอย่างยิ่ง
สายรุ้งที่เกิดจากแสงกระบี่หลอมรวมกัน ได้ทำให้ขุนพลมารที่สองกับพลหมาป่าเหล่านั้นถอยร่นไป ขณะเดียวกันก็ยังโหมกระพือน้ำตกเพลิงให้แรงขึ้น
เปลวเพลิงลุกโชนอยู่เป็นเวลานาน ในระหว่างนี้เกิดเสียงระเบิดขึ้นสิบกว่าครั้ง ไม่ว่าทหารเผ่ามารจะใช้วิธีใด ก็ไม่สามารถดับไฟลงได้
จากตกเย็นเป็นค่ำมืด ไฟยังคงลุกไหม้ประตูเมืองเสวี่ยเหล่า ดูๆ ไปเหมือนกำแพงไฟขนาดใหญ่สุดจะเปรียบ
ค่ำคืนนี้ หลายชีวิตไม่มีทางหลับลง พลทหารเผ่ามารที่หลบหนี หรือพลทหารเผ่ามนุษย์ที่ทำหน้าที่ไล่ล่าย่อมไม่สามารถนอนหลับ ผู้คนทั้งด้านในและด้านนอกเมืองเสวี่ยเหล่าล้วนไม่มีทางหลับสนิท
ท่านปู่ถังกับซางสิงโจวยืนอยู่บนเนินของภูเขาลูกเล็ก มองดูกำแพงไฟที่อยู่ไกลออกไป มองดูได้ตลอดทั้งคืน ราวกับเป็นภาพที่น่าดูที่สุดในโลก
พวกเขาอาจกำลังคิดถึงลั่วหยางขณะถูกล้อม คิดถึงวัดมหายานที่ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านในคืนนั้น หรือพวก
เขาอาจไม่ได้คิดอะไรเลย
……
……
ช่วงรุ่งเช้า ในที่สุดเปลวไฟก็ค่อยๆ ดับลง
ประตูเมืองถูกไฟไหม้จนเหลือแต่กรอบ คล้ายยังเห็นเค้าโครงเดิมอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วจริงๆ ไม่สามารถใช้กั้นขวางศัตรูได้อีก
ไม่มีใครรู้ว่าภาพไฟไหม้วัดมหายานซ่อนความลับอะไรไว้กันแน่ เหตุใดถึงได้ไหม้รุนแรงเช่นนั้น เพียงคลับคล้ายเดาได้ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับบ้านสกุลถัง
กลศึกทั้งหมดน่าจะมาจากซางสิงโจว หรือไม่ก็มีวิธีการของหวังจือเช่อร่วมด้วย
ตอนที่ท่านคิดทำเรื่องหนึ่ง หลังจากคิดมาหลายร้อยปีเต็มๆ เช่นนั้นวิธีการที่ท่านนำเสนอ ต้องน่ากลัวมากแน่ๆ
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ช่วงแรกตอนอยู่ในเมืองเวิ่นสุ่ย พอเห็นถนนอันไร้ซึ่งผู้คนกับสุนัขตัวนั้น เหตุใดเฉินฉางเซิงถึงต้องนำเสนอบทสรุปเช่นนั้น
เหล่าผู้อาวุโสน่ากลัวจริงๆ
……
……
อุปสรรคขัดขวางการเข้าเมืองเสวี่ยเหล่าที่ใหญ่ที่สุดได้หายไปแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นกองทัพเผ่ามนุษย์กลับไม่ได้ฉวยโอกาสบุกเข้าไปในเมือง เพียงแต่ปรับเครื่องยิงหินกับเครื่องยิงลูกธนูทั้งหมดให้หันมาทางประตูเมืองบานที่หายไปแล้วนั่น ก่อนยิงหินกับลูกธนูเป็นระยะ ยับยั้งการซ่อมประตูเมืองของทหารรักษาการณ์เผ่ามาร
กองทัพมนุษย์ก็บาดเจ็บล้มตายกันสาหัสใช่ย่อย เซียวจางยังคงสลบไสลไม่ฟื้น กระทั่งเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงก็ล้วนบาดเจ็บ ในช่วงเวลาอันสั้นไม่สามารถใช้กำลังทั้งหมดเข้าต่อสู้ จำเป็นต้องพักรักษาตัวระยะหนึ่ง อีกทั้งเผ่าปีศาจสองกองหนุนที่เดินทางไกลมา ก็ต้องการเวลาพักหายใจด้วยเช่นกัน
ในกระโจมบัญชาการกลางของค่ายใหญ่ เฉินฉางเซิงได้ให้การต้อนรับแกนนำหลักของกองหนุนเผ่าปีศาจ ค่อยพบว่าล้วนเป็นคนคุ้นเคย…แกนนำหลักผู้สั่งการกองหนุนเผ่าปีศาจกองหนึ่งเป็นหัวหน้าเผ่าซื่อ เสี่ยวเต๋อก็คือกำลังหลักที่สำคัญสุดในการรบ ส่วนแกนนำหลักของกองหนุนเผ่าปีศาจอีกกองก็คือหัวหน้าเผ่าสยง แต่ไม่เห็นเงาของเซวียนหยวนผ้อ ซึ่งทำให้เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
บ่ายวันนั้น รายงานที่มีรายละเอียดเพิ่มเติมได้ถูกส่งเข้ามาในกระโจม หลังจากมุขนายกใหญ่อันหลินอ่านจบก็เงียบไปสักพัก แล้วว่า “เผ่าเหรินสยงจะถูกล้างบาง”
เนื่องจากต้องการแบ่งเขตกับเผ่าสยงแห่งลุ่มน้ำแดง ชนเผ่าสยงบนทุ่งหิมะจึงมักถูกเรียกว่าเผ่าเหรินสยง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีเชื้อสายผสมมากจนเกินไป หรือทำการค้ามานานหลายปี เผ่าเหรินสยงถึงได้ปรากฏสายลับขึ้นมากมาย เมื่อหลายปีก่อน ตอนเฉินฉางเซิงติดตามซูหลีกลับใต้ และครั้งนี้เซียวจางกลับมา ก็ล้วนเคยถูกสายลับของเผ่าเหรินสยงหักหลังมาแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ต้าโจวหรือเมืองไป๋ตี้ เผ่าเหรินสยงล้วนเกลียดเข้ากระดูกดำ ช่วงแรกถ้าไม่ใช่เพราะ
ต้องการเข้าใจความเคลื่อนไหวของเผ่ามารผ่านชนเผ่าเหรินสยง ก็อาจลงมือกับพวกเขาไปนานแล้ว แต่ตอนนี้
สถานการณ์สงครามทั้งหมดมีความแน่นอนแล้ว เผ่าเหรินสยงย่อมไม่มีจุดจบที่ดีนัก
เฉินฉางเซิงเข้าใจที่มุขนายกใหญ่อันหลินค่อนข้างทนไม่ไหว อยากขอให้ตนเองยกโทษให้ แต่เขาคิดๆ ดู ก็ไม่ได้รับคำ
เนื่องจากเขาเงียบ มุขนายกใหญ่อันหลินจึงทอดถอนใจ แล้วพูดอีกว่า “หัวหน้าเผ่าหมาป่ากับผู้อาวุโสอยากพบท่าน แต่พวกเขาชื่อชั้นไม่พอ”
สงครามในครั้งนี้ กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจมีผลงานโดดเด่นสุด ผลงานที่ดีที่สุดมิได้มาจากเผ่าซื่อที่ได้รับฉายาว่าอาจหาญและทรงพลัง และมิได้มาจากเผ่าสยงที่ขึ้นชื่อว่าชอบการต่อสู้ที่รุนแรง แต่มาจากชนเผ่าหมาป่าที่เงียบมาตลอดและไม่ค่อยได้สู้ตายในสนามรบ
โดยเฉพาะเมื่อครึ่งเดือนก่อน เผ่าหมาป่ารับหน้าที่ซุ่มโจมตีกองหนุนเผ่ามารจากเมืองเล่อลั่ง แต่แล้วก็ต้องพบกับพลหมาป่าหนึ่งพันตน การรบดำเนินไปอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ถ้าไม่ใช่เพราะเผ่าหมาป่าสู้ตาย จ่ายค่าตอบแทนอย่างหนักด้วยการทำลายล้างพลหมาป่ากองนี้ทั้งหมด ฝ่ายตรงข้ามก็จะฝ่าวงล้อมออกมาได้ ทำให้เผ่ามารเริ่มระวังการมีอยู่ของกองหนุนเผ่าปีศาจ
แม้ว่าตามคำขอของเจ๋อซิ่ว เฉินฉางเซิงได้ทำการแบ่งทุ่งหญ้าส่วนหนึ่งของเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ให้กับเผ่าหมาป่าแล้ว แต่ทุกครั้งเมื่อนึกถึงภาพในวัยเด็กของเจ๋อซิ่ว ที่ถูกเหล่าผู้อาวุโสเผ่าหมาป่าไล่ออกจากเผ่า แล้วเร่ร่อนไปทั่วทุ่งหิมะท่ามกลางพายุอย่างน่าสงสาร เขาก็จะรู้สึกโกรธเคืองเผ่าหมาป่าอยู่บ้าง โดยเฉพาะบุคคลชั้นสูงเหล่านั้น
วันนี้เห็นแก่ผลงานทางทหารของเผ่าหมาป่า เขาจึงตกลงที่จะให้การต้อนรับหัวหน้าเผ่าหมาป่ากับผู้อาวุโส แต่ไม่ได้เผื่อเวลาให้มากนัก
ครั้นหัวหน้าเผ่าหมาป่ากับผู้อาวุโสก้าวเข้ามาในกระโจม ก็คุกเข่าลงทั้งที่ยังไม่ทันพูดจากัน เห็นชัดว่าภักดีอย่างหาที่เปรียบมิได้
พอพวกเขาเงยหน้าขึ้น เฉินฉางเซิงก็ตะลึงงัน ไม่เพียงเป็นเพราะแววตาของฝ่ายตรงข้ามจริงใจยิ่ง ยังเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามอายุน้อยมากด้วย
เหตุใดหัวหน้าเผ่าหมาป่ากับผู้อาวุโสถึงได้เยาว์วัยเช่นนี้
แล้วความชื่นชอบและความเคารพจากใจจริงนั่นมาจากไหนอีก หรือเพราะพวกเขารู้ว่าเผ่าหมาป่าในตอนนี้มีทุ่งหญ้าเป็นของตัวเองแล้ว และเฉินฉางเซิงเป็นผู้มอบให้
เฉินฉางเซิงสำรวจมองหัวหน้าเผ่าและผู้อาวุโส ดูการแต่งกายของพวกเขา ทันใดนั้นก็เข้าใจคำตอบของคำถามเหล่านี้
อากาศต้นฤดูใบไม้ผลิของเมืองเสวี่ยเหล่าเริ่มเย็นแล้ว แต่เสื้อผ้าที่หัวหน้าเผ่าหมาป่ากับผู้อาวุโสสวมใส่อยู่กลับบางมาก โดยเฉพาะแขนเสื้อกับขากางเกง ล้วนถูกตัดจนสั้นมาก
เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เฉินฉางเซิงพบเจ๋อซิ่วเป็นครั้งแรกท่ามกลางแสงอาทิตย์ในยามเช้านอกพระราชวังหลีนั้น ก็มีลักษณะเช่นนี้
ตอนนี้เขาเพิ่งเข้าใจว่า เจ๋อซิ่วมีอิทธิพลต่อเผ่าหมาป่าเช่นไร
เผ่าหมาป่าในตอนนี้ อาจมีเจ๋อซิ่วนับไม่ถ้วน มิน่าเล่าถึงได้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ที่หัวหน้าเผ่าหมาป่าและผู้อาวุโสอายุน้อยเช่นนี้ ย่อมเข้าใจได้ว่า พวกเขาล้วนเป็นผู้ติดตามของเจ๋อซิ่ว
การที่พวกเขาประสบความสำเร็จและได้เลื่อนตำแหน่ง บ่งบอกถึงการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วนและการล้างไพ่อย่างเยือกเย็น
ในกระบวนการนี้ ไม่รู้มีผู้อาวุโสเผ่าหมาป่าตายไปมากน้อยเท่าใด หรือไม่ก็ถูกบังคับให้สละอำนาจ
แต่ตอนนี้ เจ๋อซิ่วอยู่ที่ไหนอีกเล่า
……
……
ทั่วทุกที่ล้วนมีแต่ข่าวดี
ไม่ว่าจะเป็นข่าวกองหนุนเผ่าปีศาจ หรือกองทัพสองเส้นทางกำลังขยับเข้าใกล้ทางใต้ของเมืองเสวี่ยเหล่า อีกทั้งกองทหารม้าที่สาม กำลังเสริมที่เพิ่งมาจากทางใต้ ล้วนได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่อง เมืองของชนเผ่ามารถูกตีแตกติดต่อกัน ชนเผ่ามากมายแอบส่งคนมาติดต่อกับกองทัพเผ่ามนุษย์ ถามว่าถ้าจะขอยอมแพ้ต้องทำอย่างไร
เมืองเสวี่ยเหล่าถูกทิ้งโดดเดี่ยว ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากโลกภายนอก กองทัพเผ่ามนุษย์เรียกรวมพลใต้กำแพงเมือง เตรียมโจมตีเมือง แต่ไม่มีทีท่าว่าจะล้อมเมือง และไม่ได้ใส่ใจประตูเมืองหลายบานทางทิศเหนือมากนัก เพราะชนเผ่ามนุษย์ไม่มีกำลังพลมากขนาดนั้น ขณะเดียวกันก็หวังว่าจะหยิบยืมโอกาสนี้ ลดเจตนารมณ์ที่จะรบครั้งสุดท้ายของชนเผ่ามารลง
ตามรายงานของกองลาดตระเวน ชนเผ่ามารที่หนีออกนอกเมืองทางประตูด้านทิศเหนือมีจำนวนไม่มาก และไม่มีกองทัพทหาร ดูไปแล้ว เผ่ามารกำลังเตรียมที่จะรบครั้งสุดท้ายในเมืองเสวี่ยเหล่า
ไม่มีใครอยากเห็นภาพเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีใครวิตกกังวล เพราะทุกคนต่างชัดเจนดีว่า ชนเผ่ามนุษย์ชนะแน่
การล่มสลายของราชวงศ์หนึ่งกำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้า การสิ้นสุดประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งกำลังอยู่ไม่ไกล
ชนเผ่ามารเคยปกครองโลกใบนี้ พวกเขาเป็นดั่งเทพเจ้าในสายตาชนเผ่าอื่นๆ สูงส่งตลอดกาล มีภูมิปัญญาและอารยธรรมเหนือจินตนาการ แต่แล้วตอนนี้ พวกเขากลับค่อยๆ ตกต่ำลง กระทั่งดำดิ่งสู่หุบเหวลึก จนไม่สามารถปีนขึ้นมาจากก้นเหวได้ตลอดไป
ยังไม่ต้องพูดถึงตัวเผ่ามารเอง แม้แต่ศัตรูของพวกเขา…ในเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ มีผู้นำหลายคนคิดไม่ตกว่านี่เป็นเพราะเหตุอันใด เกิดความรู้สึกเศร้าสลดนิดๆ ว่า อารยธรรมที่พัฒนาจากการสั่งสมภูมิหลังอันลึกซึ้งมายาวนานหลายปีนับไม่ถ้วน หรือจะจบลงอย่างกะทันหันเช่นนี้
ก็คล้ายกับประตูเมืองเสวี่ยเหล่าบานนั้น ดูเหมือนจะอยู่ได้อีกหลายหมื่นปีโดยไม่ผุพัง แต่แล้วก็ถูกไฟเผาวอดวายกลายเป็นเถ้าธุลี
“มักถูกลมฝนพัดพาไป”
สวีโหย่วหรงยืนอยู่บนเนินหญ้า แขนซ้ายที่บาดเจ็บพันผ้าขาวไว้ สีหน้าอิดโรยอยู่บ้าง แต่ใจสงบนิ่งมาก
“อารยธรรมที่พ่ายแพ้ความป่าเถื่อนมีตัวอย่างให้เห็นมากมาย แต่เราเป็นผู้มีอารยธรรม ปัญหาของเผ่ามารจึงอยู่ที่ตัวพวกเขาเองไม่เหมาะสมกับยุคสมัยนี้แล้ว จึงยากเกินเยียวยา”
เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างชนเผ่ามารชั้นสูงกับชนเผ่ามารชั้นล่างในการเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีภูมิปัญญาอันเกิดจากพรสวรรค์หรือพรแสวง ทว่าในแง่ของการสืบพันธุ์แล้ว ผู้ที่มีเชื้อสายของชนเผ่ามารชั้นล่างมีบทบาทที่ขาดไม่ได้ในสังคม ความจริงของความรู้สึกแบ่งแยกและไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ย่อมนำไปสู่สังคมชนเผ่ามารที่ผิดรูปมากขึ้น
เมื่อหลายปีก่อน นักวิชาการทงกู่ซือก็ตระหนักถึงปัญหานี้แล้ว หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เฉินฉางเซิงก็ฝากความหวังไว้กับมนุษย์ เพราะตามความเห็นของเขาแล้ว มนุษย์กับชนเผ่ามารชั้นสูงมีรูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงกัน ที่สำคัญคือ มีระดับภูมิปัญญาที่ใกล้เคียงกัน และจากความคิดพื้นฐานเช่นนี้ ทำให้เขากับสังฆราชท่านนั้นร่วมมือกันดำเนินงานโครงการหนึ่ง ในที่สุดก็ได้สรรสร้างวิถีชีวิตใหม่เฉกเช่นเดียวกับคนบรรพตทั้งแปดออกมา แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ความคิดของเขา สุดท้ายก็ไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้
เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของนาง แต่ยังคงเศร้าใจอยู่บ้าง
ในเวลานี้ มีคนมากมายในค่ายทหารรอบๆ แหงนหน้ามองท้องฟ้า
เสียงร้องดังของเหยี่ยว เส้นสายหลายเส้นปรากฏ เหยี่ยวแดงและอินทรีแดงสิบกว่าตัวบินมาจากทางใต้
เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น เหยี่ยวแดงและอินทรีแดงถึงได้บินออกมามากมายเช่นนี้
ผู้คนมีท่าทีเคร่งขรึมและเครียดอยู่บ้าง
เหยี่ยวแดงและอินทรีแดงนำข่าวที่น่าตกใจข่าวหนึ่งมา
เซียงอ๋องก่อกบฏแล้ว