ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 121 พบเรื่องน่าหนักใจตอนเข้าเมือง
กองทัพใหญ่เผ่ามนุษย์จำนวนหลายแสนคนมุ่งหน้าสู่เมืองเสวี่ยเหล่า พวกเขาเดินได้เงียบมาก มิได้ส่งเสียงดังจนเกินไป แต่ก็ไม่มีบรรยากาศอื่นใด เพียงแต่สงบนิ่ง
ดูไปแล้ว นี่ไม่เหมือนการเดินทัพของผู้ชนะ เหมือนนักพเนจรเดินกลับบ้านมากกว่า เป็นภาพที่ค่อนข้างแปลกตาจริงๆ
ผู้ที่ได้รับเกียรติให้เข้าเมืองเสวี่ยเหล่าเป็นคนแรกคือ กวนเฟยไป๋
พรรคกระบี่หลีซานมีบทบาทสำคัญยิ่งในการรบครั้งนี้ สร้างผลงานไว้นับไม่ถ้วน ขณะเดียวกันก็มีลูกศิษย์บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
แน่นอน นี่ก็เสี่ยงอันตรายเช่นเดียวกัน ในประตูเมืองอาจมีการซุ่มโจมตี มีพลหมาป่าที่ตาแดงอยู่แต่แรก
กวนเฟยไป๋ถือกระบี่ เดินไปที่ประตูเมือง
ประตูเมืองที่ถูกภาพไฟไหม้วัดมหายานทำลายนั้น ตอนนี้เหลือแต่กรอบประตูบางส่วน บวกกับหลายวันมานี้ถูกเครื่องยิงก้อนหินสร้างความเสียหายให้ไม่หยุดหย่อน จึงแตกหักมากขึ้น
กวนเฟยไป๋ก้าวเข้าไปแล้ว
ทุกอย่างล้วนได้ดั่งใจอะไรจะขนาดนั้น
ไม่มีการลอบจู่โจม ไม่มีการซุ่มจู่โจม ไม่มีการต่อสู้
เขายืนอยู่ในประตูเมืองที่ว่างเปล่า ค่อยๆ หันมองไปมา คล้ายคาดไม่ถึงอยู่บ้าง
จากนั้น ก็หันกลับมา โบกมือให้ทุ่งหญ้าที่อยู่ด้านหลัง
เสียงตะโกนโห่ร้องดังก้องขึ้นฟ้า
เสียงกีบม้าดุจสายฟ้าฟาด ทหารม้าเข้ามาในเมืองตามลำดับ
เสลี่ยงบินค่อยๆ บินขึ้นไปบนกำแพงเมือง ภายใต้การคุ้มครองของนกอินทรีแดง
พริบตาที่เข้าเมืองเสวี่ยเหล่า ผู้คนมากมายรวมทั้งเฉินฉางเซิง ล้วนอดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับ แล้วมองไปทางทิศใต้
เมืองหลวงตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว
……
……
“ข้าไม่เคยเห็นใครไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน!”
หลูหลิงอ๋องจ้องมองใบหน้าสี่เหลี่ยมที่อยู่ไกลออกไป ชายผู้มีบารมีโดยธรรมชาติ พูดอย่างขึงขัง “หลานของตัวเอง ก็ยังจะกบฏ ในสมองของเขากำลังคิดอะไรกันแน่”
เฉิงจวิ้นอ๋องมองตามสายตาเขาไป พบว่าเป็นเทียนไห่เฉิงอู่ จึงยิ้มขมขื่น “จิ้งจองเฒ่านั่นหัวไวกว่าใคร ไม่น่าจะยืนผิดฝั่ง”
ครั้งนี้ที่เซียงอ๋องชูธงต่อต้าน ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ในสิบกว่าปีมานี้สกุลเทียนไห่ซึ่งระแวดระวังและเงียบมาตลอด กลับเป็นคนแรกที่กระโดดออกมาสนองตอบ
หลายคนคิดแล้วก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกับหลูหลิงอ๋อง ต้องรู้ว่าเลือดในกายขององค์จักรพรรดิเป็นเลือดของสกุลเทียนไห่
เฉิงจวิ้นอ๋องมองดูท่าทีของหลูหลิงอ๋อง พบว่าเขายังคงคิดไม่เข้าใจ จึงต้องทนอธิบาย “เมื่อปีที่แล้ว ฝ่าบาทไปสวนร้อยหญ้าสามครั้ง”
หลูหลิงอ๋องอึ้งเล็กน้อย “แล้วอย่างไร”
เฉิงจวิ้นอ๋องกดเสียงให้ต่ำลง “มีข่าวลือมาตลอดว่า ตอนแรกท่านสังฆราชฝังพระศพของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไว้ในสวนร้อยหญ้า”
ในที่สุดหลูหลิงอ๋องก็เข้าใจ จึงสูดอากาศเย็นเข้าปากคำหนึ่ง แล้วว่า “เป็นไปได้หรือที่ฝ่าบาทยังคงเตรียมที่จะพลิกคดีจริงๆ”
เฉิงจวิ้นอ๋องสั่นศีรษะ “ฝ่าบาทกับท่านนักพรตเป็นศิษย์อาจารย์ที่รักกันมาก น่าจะไม่เป็นเช่นนั้น แต่อย่างไรเหนียงเหนียงก็เป็นพระมารดาแท้ๆ ไปสักการะที่สวนร้อยหญ้า ใครก็พูดอะไรไม่ได้ เพียงแต่ห่วงว่า ความรู้สึกที่ทรงมีต่อเหนียงเหนียงจะลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ เช่นนั้นก็เป็นปัญหาแล้ว”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่สวรรคตไปสิบกว่าปีแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ อวี๋เหรินก็ไม่ได้มีความทรงจำเกี่ยวกับนางมากนัก ตามเหตุผลแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่เรื่องของความรู้สึก เดิมทีเป็นเรื่องที่แปลกที่สุด แม้เพียงคำพูดของคนรอบข้าง และฉากบางฉาก ก็สามารถก่อภัยพิบัติขึ้นใหม่ได้
เป็นเรื่องธรรมดาที่องค์จักรพรรดิจะมีความรู้สึกต่อเหนียงเหนียง ไม่มีใครวิตกกังวล นอกจากบ้านสกุลเทียนไห่
ตอนที่ผู้คนลุกฮือขึ้นต่อต้านเทียนไห่นั้น องค์จักรพรรดิสามารถไม่เกลียดชังซางสิงโจว ไม่เกลียดชังท่านอ๋องแห่งสกุลเฉินเหล่านี้ ไม่เกลียดชังขุนนางเหล่านั้น เกลียดชังก็แต่สกุลเทียนไห่กับสวีซื่อจีเท่านั้น
เทียนไห่เฉิงอู่ จิ้งจอกเฒ่านั่นเห็นชัดเจนว่า ฝ่าบาทมีความรู้สึกลึกซึ้งกับเหนียงเหนียง ก็ยิ่งเกลียดชังสกุลเทียนไห่ เพราะพวกเขาเป็นโจรกบฏ
ถ้าบอกว่าเป็นเพราะสวีโหย่วหรง สวีซื่อจีถึงได้พยายามทำงานในราชสำนัก แล้วสกุลเทียนไห่จะจัดการกับตัวเองอย่างไรเมื่อเวลานั้นมาถึง
แนวต้นไม้สีเขียวสองฝั่งคลองต้นฤดูใบไม้ร่วง ทำให้อากาศสดชื่นรื่นรมย์
กองทัพที่กลับจากทางเหนือ เหล่าอ๋องสกุลเฉิน และยอดฝีมือในอุปการะของสกุลเทียนไห่ กำลังยืนเรียงเป็นสองแถวอย่างหนาแน่นอยู่บนพนังกั้นน้ำ
ถ้าตอนนี้มีคันธนูนับพันคัน ยิงลูกธนูเข้ามาพร้อมกัน การก่อความไม่สงบในครั้งนี้ อาจจบลงด้วยท่าทีที่ตลกขบขันชนิดหนึ่ง และการนองเลือด
แต่ยังไม่ต้องพูดถึงเมืองหลวง ต่อให้บวกเมืองโจวทุกเมืองเข้าด้วยกัน ตอนนี้ก็ไม่มีทางส่งคันธนูจำนวนมากขนาดนี้มาได้
และเพราะเหตุนี้ ทหารกบฏถึงได้เข้าแถวกันอย่างสะดวกสบาย เหล่าท่านอ๋องกับเหล่าแม่ทัพกบฏยังมีกะใจคุยสัพเพเหระกันด้วยซ้ำ
ทหารกบฏมิได้ล้อมเมือง เพราะเมืองหลวงไม่มีกำแพงเมือง จึงไม่สามารถล้อมเอาไว้
ตอนที่พวกเขารอกันอย่างเงียบๆ เมื่อหลายวันก่อน พลเมืองส่วนใหญ่ก็เริ่มลี้ภัยออกจากเมืองกันแล้ว เชื่อว่าตอนนี้เมืองหลวงต้องร้างมาก ตามท้องถนนไม่เห็นผู้คนแม้แต่คนเดียว
นี่ไม่เหมือนการก่อความไม่สงบสักนิด เหมือนมาเที่ยวมากกว่า เหล่าทหารกบฏดูผ่อนคลายมาก แต่จากรายละเอียดบางอย่าง ยังคงดูออกว่า พวกเขาเครียดกันมาก
การคุยเล่นที่ไม่ถูกกาลเทศะเหล่านั้น จริงๆ แล้วก็คือหลักฐานที่บ่งชี้ว่าเครียด
ถ้าเซียงอ๋องไม่ชนะเดิมพัน พวกเขาก็ต้องตายอย่างไร้ที่ฝัง
ตอนนี้ มีเหยี่ยวแดงบินมาจากฟากฟ้า
ข่าวของแนวหน้าถูกส่งถึงเมืองหลวงแล้ว
ในที่สุด กองทัพใหญ่เผ่ามนุษย์ก็บุกเข้าเมืองเสวี่ยเหล่าแล้ว
ได้ยินเสียงโห่ร้องทั้งสองฝั่งคลอง
ไม่ว่าจะเป็นท่านอ๋องหรือทหารกบฏเหล่านั้น ก็ล้วนเผยรอยยิ้มจริงใจออกมา จากนั้นก็รีบเปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วน
ตอนนี้เห็นที พวกเขาไม่ต้องกังวลแล้วว่าตนจะเป็นคนบาปในประวัติศาสตร์ หรือแบกรับชื่อเสียงที่เสื่อมเสียตลอดกาล แต่เหตุใดกลับรู้สึกว่าปากและใบหน้าของตนยิ่งดูไม่ได้เล่า
“ท่านอ๋อง ท่านไม่ไยดีว่า ชื่อเสียงจะฉาวโฉ่หมื่นปีจริงๆ หรือ”
ในเสลี่ยงคันใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าสุดของกองทัพกบฏ เฉาอวิ๋นผิงลูบแก้มกลมๆ แล้วหันมองเซียงอ๋อง ยิ้มตาหยีพลางถาม
เซียงอ๋องกลับจากแนวหน้าเงียบๆ จากนั้นก็พักอยู่ในด่านยงเสวี่ยระยะหนึ่ง โดยอาการบาดเจ็บสองครั้งทั้งก่อนและหลังหายดีแล้ว แต่เห็นชัดว่าผอมลงกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย
“เจ้าล่ะ”
เซียงอ๋องชายตามองเฉาอวิ๋นผิง แล้วพูดต่อ “ถ้าตาเฒ่าความลับสวรรค์ยังมีชีวิตอยู่ อาจฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ”
เฉาอวิ๋นผิงหัวเราะสองที “ข้านี่ล่ะที่ไม่ไยดีเรื่องชื่อเสียง เพราะข้าเป็นคนโง่นี่นา”
เซียงอ๋องหัวเราะ “มีเหตุผล เช่นนั้นข้าก็เป็นคนบ้าคนหนึ่ง”
ผ่านไปสักพัก รอยยิ้มก็ค่อยๆ ถูกเก็บ เขามองดูเงาตะคุ่มๆ ของพระราชวังที่อยู่ไกลออกไป ทอดถอนใจ แล้วลากเสียงยาว “อันที่จริง ก็แค่ไม่ยอมเท่านั้น”
เขาคิดมาตลอดว่า ในบรรดาโอรสของจักรพรรดิองค์ก่อน ตนโดดเด่นที่สุด เก่งที่สุด และเป็นลูกกตัญญูที่น่ายกย่องของเหนียงเหนียง ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน เขาก็ควรเป็นจักรพรรดิ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า เขายังมีลูกชายที่เก่งมากๆ คนหนึ่ง
ถ้าครั้งนี้เขาไม่คว้าโอกาสไว้อีก พอเผ่ามารล่มสลาย หลังจากเผ่ามนุษย์รวบรวมดินแดนต้าลู่เข้าด้วยกันแล้ว อวี๋เหรินก็จะได้รับเกียรติยศที่ไม่เคยมีมาก่อน ส่วนเขาก็จะสูญเสียความหวังทั้งหมด
ง่ายๆ แค่นี้เอง
เฉาอวิ๋นผิงทอดถอนใจ “ไม่รู้ว่าพวกเราจะชนะเดิมพันได้หรือไม่”
เซียงอ๋องลูบพุงที่อยู่บนเข็มขัด พลางว่า “ถ้าฝ่าบาทอยากพลิกคดีให้พระมารดา ท่านนักพรตจะยอมได้อย่างไรกัน”
เฉาอวิ๋นผิงส่ายศีรษะ แล้วว่า “อย่างไรเสีย เรื่องที่ยังไม่เกิด จะปิดบังผู้สูงอายุได้อย่างไร”
เซียงอ๋องว่า “ต่อให้เป็นเช่นนี้ ท่านนักพรตก็ใช่ว่าจะหนุนหลังฝ่าบาท ซึ่งจริงๆ แล้วหลายคนนึกไม่ถึงว่า ท่าทีที่เขามีต่อฝ่าบาท เป็นดั่งภาพฉายที่มีต่อจักรพรรดิไท่จง พูดอีกอย่างก็คือ ที่เขาชอบฝ่าบาท ก็เพราะชอบความเมตตาที่จักรพรรดิไท่จงมีต่อพสกนิกร ชอบด้านที่ทรงปรีชาสามารถ เช่นนั้นทำไมจะชอบข้าไม่ได้เล่า”
เฉาอวิ๋นผิงชี้ไปที่พุงกลมๆ ของเซียงอ๋อง พลางว่า “หรือบนตัวท่านก็มีจุดเด่นของจักรพรรดิไท่จง”
เซียงอ๋องพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แน่นอน อย่างข้าที่กล้าเสี่ยงอันตราย และมีลักษณะไร้ยางอายสุดๆ เช่นนี้ ไม่ใช่อีกด้านหนึ่งของจักรพรรดิไท่จงหรอกหรือ”
เฉาอวิ๋นผิงจับพุงพลางหัวเราะขึ้นมา จากนั้นผ่านไปไม่นาน เสียงหัวเราะก็หยุดลง
เขาจ้องมองเซียงอ๋อง พลางพูดอย่างจริงจัง “ข้าพลันรู้สึกว่า ที่ท่านพูดมา มีเหตุผลยิ่ง”
……
……
ทหารกบฏตบเท้าเข้าเมืองหลวงโดยไม่ได้รับการต่อต้านใดๆ ถนนร้างและว่างเปล่า ไม่มีคนเดินสักคน มีเพียงแมวจรจัดสองสามตัวบนกองขยะที่เงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวังเป็นครั้งคราว
จำนวนทหารรักษาการณ์ในเมืองหลวงมีน้อยมาก โดยมีทหารอวี่หลินกับทหารม้านิกายหลวงรวมกันสามพันกว่าคน ซึ่งได้ถอยไปรักษาการณ์ที่พระราชวังและพระราชวังหลีทั้งสองแห่งแต่แรกแล้ว ส่วนทหารและแม่ทัพที่เข้าร่วมก่อความไม่สงบ ย่อมจงรักภักดีต่อเซียงอ๋องยิ่ง จำนวนไม่มากจนเกินไป มีทหารม้าราวหนึ่งหมื่นสามพันกว่านาย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทหารอวี่หลินและทหารม้านิกายหลวงที่ได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ก็ไม่ถือว่าได้เปรียบมากมาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องควบคุมเมืองหลวงทั้งเมือง
ชัยชนะที่แท้จริงของทหารกบฏจึงอยู่ที่ การมีผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์สองท่านอย่างเซียงอ๋องกับเฉาอวิ๋นผิง
เขตพระราชฐานตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ใบของต้นแปะก๊วยที่เริ่มร่วงก่อนเวลา เด่นสะดุดตาอยู่บนพื้นราบของสะพานอุดรใหม่
เซียงอ๋องกับเฉาอวิ๋นผิงยืนมองพระราชวัง บนพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้สีเหลือง โดยมิได้สนใจคันธนูเทพอันทรงพลังบนกำแพงพระราชวังเหล่านั้น
เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังปราณแข็งแกร่งสายหนึ่งในพระราชวัง เฉาอวิ๋นผิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางว่า “นี่คือผังลายจักรพรรดิหรือ”
คิ้วของเซียงอ๋องก็ขมวดขึ้นเช่นกัน “หอหลิงเยียนถูกทำลายไปแล้ว เปลวเพลิงพิสุทธิ์ข้าก็แน่ใจว่าได้ส่งไปที่เมืองเสวี่ยเหล่าแล้ว สิ่งนี้น่าจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผังลายจักรพรรดิ”
เฉาอวิ๋นผิงหรี่ตาลง เหมือนกับหมั่นโถวสีขาวลูกใหญ่มีรอยผ่าสองรอย “น่าหนักใจอยู่นา”
และในตอนนี้เอง ก็มีข่าวที่น่าหนักใจข่าวหนึ่งส่งมาจากทหารกบฏ
สีหน้าของเซียงอ๋องเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้อยู่บ้าง แต่เฉาอวิ๋นผิงกลับหัวเราะขึ้นมา