ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 122 ทางเลือกของจงซานอ๋อง
เช่นเดียวกับถนนอื่นๆ ถนนไท่ผิงก็เงียบสงัดมากเช่นกัน
ยอดฝีมือตระกูลเทียนไห่และในจวนอ๋องเหล่านั้นได้ออกจากเมืองไปเพื่อพบพวกกบฏแล้ว กำลังอยู่ที่ด้านนอกวัง
เวลานี้ จงซานอ๋องกลับแยกจากทัพกบฏ กลับไปยังจวนอ๋องที่ถนนไท่ผิง
ท่านอ๋องตระกูลเฉินผู้มีเกียรติศักดิ์ที่สุดในกองทัพคือเซียงอ๋องและจงซานอ๋อง
การจากไปของเขาเป็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจมากสำหรับทัพกบฏ กระทั่งอาจทำให้จิตใจของทหารสั่นคลอน
ฉินฉือเป็นหัวหน้าที่ปรึกษาของจวนอ๋อง เขาไม่ได้ไปทางเหนือพร้อมกับกองทัพ แต่อยู่ในจิงตูอย่างลับๆ และคอยประสานงานอยู่ตรงกลาง
หลังจากได้รับข่าว เขาก็รีบร้อนกลับไปที่จวนอ๋อง และเห็นท่านอ๋องนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้มีพนักพิง ก็ราวกับว่าเขามองเห็นผีเลยทีเดียว
จงซานอ๋องรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่ด่านยงหลานมาโดยตลอด วันนี้เพิ่งจะมาถึงจิงตู และได้พบกับเซียงอ๋องในทัพกบฏ สนทนาอยู่ครู่หนึ่งก็เดินทางกลับค่ายทหารรักษาพระองค์ของตน ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าตัวเขาเองจะเดินทางกลับเมืองจิงตู หลังจากกลับถึงจวนก็อาบน้ำรอบหนึ่ง นอนหลับตื่นหนึ่ง เปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดผ้าไหมเนื้อนุ่ม เวลานี้เขากำลังยกชามบะหมี่ผัดเครื่องปรุงขึ้นมากินส่งเสียงมูมมาม
“ท่านอ๋องคนดีของข้าขอรับ…นี่ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่หรือขอรับ ท่านรู้หรือไม่ พวกเรากำลังสมคบคิดกับกบฏอยู่หรือ กำลังจะก่อกบฏหรือ”
ฉินฉือกล่าวด้วยสีหน้าโง่งมไปทั้งใบ “ท่านจะติดตามกบฏ หรือจะรีบตัดสินใจให้แน่ชัด จะกลับบ้านมานอนหลับได้อย่างไรเล่า บะหมี่ชามนี้อร่อยขนาดนี้เชียวหรือ”
จงซานอ๋องวางชามบะหมี่ลง พูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า “น่ารำคาญนัก เจ้าก็พูดมาเสียว่าที่แท้แล้วเจ้าต้องการอย่างไร!”
แววตาของฉินฉือเปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดเสียงเบาว่า “ดูจากสถานการณ์ฝั่งนอกเขตพระราชฐานแล้ว เซียงอ๋องดูมีความมั่นใจมากนัก”
จงซานอ๋องยิ้มหยันกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าเสด็จพี่จะยอมให้ข้าได้เป็นจักรพรรดิหรือ”
ฉินฉือตกใจเบาๆ พูดว่า “มาคิดดูแล้ว...ก็คงจะไม่”
จงซานอ๋องกล่าวว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจะสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้หรือไม่ ข้ากับในตอนนี้มียังมีความแตกต่างอันใดอีกเล่า”
ฉินฉือยิ้มแหยพลางว่า “ปัญหาคือ หากท่านไม่ทำตามเซียงอ๋อง หากเขากระทำการแล้วเสร็จ เขาจะต้องสังหารท่านเป็นแน่”
จงซานอ๋องกล่าวว่า “มีเหตุผล ในเมื่อฝ่าบาทไม่สังหารข้า คงจะเป็นการดีกว่าหากข้าจะสนับสนุนฝ่าบาท”
ฉินฉือตกตะลึงอีกครั้ง คิดในใจว่าวาจานี้เกิดขึ้นมาได้จากที่ใดอีก
ยังไม่ทันรอให้เขาได้เกลี้ยกล่อมสิ่งใดต่อไป มือของจงซานอ๋องก็ลงมาอยู่ที่คอของเขาเสียแล้ว
…นิ้วมือของท่านอ๋องราวกับเหล็กกล้า เมื่อครู่ตนไม่น่าเกลี้ยกล่อมให้เขาวางชามบะหมี่ผัดเครื่องปรุงลงจริงๆ
นี่เป็นสองความคิดสุดท้ายในชีวิตของฉินฉือ
จนกระทั่งเสียงบีบแตก กร๊อบ ดังขึ้น เขาก็ยังไม่เข้าใจว่า เหตุใดท่านอ๋องรู้เรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวของเขากับเซียงอ๋อง และเหตุใดจึงทำเช่นนี้
ร่างของฉินฉือถูกลากออกไป จงซานอ๋องยังคงรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง เขาปลดเสื้อ แล้วออกแรงสะบัดพัด
นางสนมโฉมงามผู้หนึ่งเดินเข้ามา เมื่อเห็นสถานการณ์ก็รีบหยิบพัดเล็กๆ ขึ้นมาพัดให้เขา
เรื่องที่ที่ปรึกษาคนนี้ไม่เข้าใจจนตาย นางสนมผู้นี้กลับมองเห็นทะลุปรุโปร่ง
แม้ว่าท่านอ๋องจะไม่ทราบว่าที่ปรึกษาคนนี้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเซียงอ๋อง ก็ไม่มีทางฟังความคิดเห็นของเขา เพราะท่านอ๋องก็ไม่เคยมองเซียงอ๋องในแง่ดีเลย
แม้ว่าสถานการณ์ของทัพกบฏตอนนี้จะดีมาก แม้ว่าเฉินหลิวอ๋องเป็นตัวประกันมาแล้วสิบปีก็ตาม เขายังสามารถเกลี้ยกล่อมข้าราชบริพารหลายคนได้สำเร็จ เป็นบุคคลที่น่าทึ่งจริงๆ
“ได้ยินมาว่า…บางคนในวังก็ถูกเฉินหลิวอ๋องเกลี้ยกล่อมแล้ว”
นางสนมเหลือบมองจงซานอ๋องปราดหนึ่งอย่างลังเลเล็กน้อย
จงซานอ๋องพูดว่า “ลิ้นก็เหมือนดาบ แต่ที่สุดแล้วก็มิใช่ดาบจริง มีประโยชน์อะไร”
นางสนมถอนใจ และนำจอกสุราของเขามาเติมให้เต็ม
เซียงอ๋องมองดูท้องฟ้าของฤดูใบไม้ร่วงนอกหน้าต่าง ในมือถือจอกสุราใบเล็กอยู่ อารมณ์ของเขาไม่ได้สบายและผ่อนคลายดังเช่นที่แสดงออก
ทัพกบฏเข้ายึดครองจิงตูแล้ว แต่ยังมีเวลาอีกสักระยะก่อนที่วังของจักรพรรดิจะถูกยึดครอง
ความมั่นใจของเซียงอ๋องมาจากที่ใด เหตุใดเขาจึงไม่สนใจเฉินฉางเซิง
จู่ๆ จงซานอ๋องนึกถึงไปถึงเรื่องหนึ่ง เขาขว้างจอกเหล้าลงบนโต๊ะอย่างแรง และตะโกนเสียงดังว่า “ค่ายผิงเป่ย!”
……
……
ดังที่เห็นได้จากชื่อ ค่ายผิงเป่ยคือกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าปีศาจ
ค่ายผิงเป่ยควรจะรีบไปช่วยเหลือกองทัพมนุษย์และโจมตีเหล่าปีศาจ แต่หลังจากผ่านทัพชงโจวได้ไม่นาน ค่ายก็หยุดเดินไปทางเหนือและเดินวนเป็นวงกลมอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
ในตอนแรกเริ่ม มีหลายคนคิดว่าเป็นการทรยศของเผ่าปีศาจ ต่อมาเมื่อกองกำลังเสริมของเผ่าปีศาจสองกองปรากฏขึ้นในเมืองเสวี่ยเหล่า หลายคนคิดว่าเหตุผลที่ค่ายผิงเป่ยทำเช่นนี้ทั้งหมดเพื่อปกปิดกำลังเสริมทั้งสองของเผ่าปีศาจ อย่างไรก็ตามปรากฏว่าการคาดเดาทั้งหมดนั้นล้วนไม่ถูกต้อง หรือสามารถพูดได้ว่าไม่สมบูรณ์
ก่อนที่กองกำลังเสริมของเผ่าปีศาจทั้งสองจะผ่านสันเขาข้างทุ่งหญ้าของเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ไปยังเมืองเสวี่ยเหล่า ค่ายผิงเป่ยก็ได้เคลื่อนไหวแล้ว กลุ่มนักรบเผ่าปีศาจสองหมื่นคนผ่านที่ราบสูงชงซีด้วยความเร็วสูง ภายใต้การปล่อยตัวเหล่าผู้พิทักษ์ของด่านยงเสวี่ยโดยเจตนา กวาดล้างด้านซ้ายของเมืองเทียนเหลียงอย่างเงียบเชียบ ในที่สุดก็มาถึงชานเมืองจิงตู
เขาหมัวซานพังทลายลงมาเป็นสิบปีแล้ว และกลายเป็นเนินเขาเตี้ยๆ มากกว่าสิบแห่ง มีดอกไม้ป่านานาชนิดเติบโตอยู่บนนั้น
เมื่อผ่านเนินเขา บนคอเสื้อของนักรบเผ่าปีศาจมากมายจะมีดอกไม้ป่าเพิ่มขึ้นมาหนึ่งดอก
ระหว่างทางมีชาวนามากมายสังเกตเห็นการมีอยู่ของกองทัพเผ่าปีศาจ ผู้คนในราชวงศ์ต้าโจวมักจะได้พบเห็นเผ่าปีศาจอยู่บ่อยๆ แต่น้อยมากที่จะได้พบกับเผ่าปีศาจที่แข็งแรงกำยำจำนวนมากพร้อมๆ กัน อดไม่ได้ที่จะกระวนกระวายใจเล็กน้อย เพียงคิดว่าเผ่าปีศาจเป็นพันธมิตรของเผ่ามนุษย์ จึงไม่ได้ร้องไห้ตื่นตระหนก
ค่ายผิงเป่ยเป็นกองกำลังชั้นยอดสุดของเผ่าปีศาจ เหล่าทหารเผ่าปีศาจนั้นเป็นอิสระและเสรีโดยเนื้อแท้ แต่ในระหว่างการเดินขบวนอันยาวนานเช่นนี้พวกเขายังคงมีวินัยทางการทหารที่ดีมาก จนกระทั่งรวมตัวกับทัพกบฏที่ชานเมืองจิงตูอย่างเป็นทางการ ก็ยังไม่มีปัญหาเกิดขึ้น และไม่มีความวุ่นวายทางทหารที่หลายคนกังวล
นักรบเผ่าปีศาจทรงพลังสองหมื่นคนเข้าร่วมการกบฏ ทำให้อำนาจระหว่างสองฝ่ายขาดความสมดุลโดยสิ้นเชิง ที่สำคัญไปกว่านั้น การปรากฏตัวของค่ายผิงเป่ยในเมืองจิงตูแสดงถึงท่าทีของจักรพรรดิขาว จนถึงขณะนี้ ทุกคนต่างเพิ่งจะรู้ว่าที่แท้จักรพรรดิขาวกับเซียงอ๋องได้มีพันธสัญญาต่อกันมานานแล้ว
หลังจากสงครามสำรวจทางเหนือของเผ่ามารสิ้นสุดลง เหล่าผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์จำเป็นต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนานมาก ซางสิงโจวอายุมากแล้ว หวังจือเช่อจะไม่เข้าร่วมในกิจการฆราวาส เซียงอ๋องและเฉาอวิ๋นผิงผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง และยังมีนักปราชญ์อย่างจักรพรรดิขาว ย่อมมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะกำหนดสถานการณ์ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ได้อย่างแท้จริง
ขวัญและกำลังใจของทัพกบฏก็เพิ่มขึ้น แต่ถึงอย่างไรแนวหน้าก็กำลังต่อสู้กับเผ่ามารอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นท่านอ๋องเหล่านั้นหรือจะเป็นนายพลและทหารเหล่านั้นไม่มีทางที่จะมั่นใจได้จริง ดังนั้นจนถึงขณะนี้จึงยังไม่มีอาวุธปิดล้อมขนาดใหญ่อย่างเช่นเครื่องดีดหิน แต่ถ้าสถานการณ์ยังคงจนมุมต่อไปเช่นนี้ เหตุการณ์การนองเลือดก็คงจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ประตูเขตพระราชฐานถูกปิดอย่างแน่นหนา ทัพกบฏและทัพอารักขายังคงด่ากันไม่หยุด ทัพกบฏมิได้ใช้อาวุธปิดล้อม หรือด้วยเพราะเหตุนี้ เขตพระราชฐานตั้งแต่ต้นจนจบจึงไม่เคยยิงหน้าไม้เทพ มีเพียงคำผรุสวาทเหล่านั้นที่เข้าหูมา และมันไม่ได้ดีไปกว่าลูกศรที่บินระบำแหวกอากาศเหล่านั้นเลย
มหาราชครูไป๋อิงได้รับการสนับสนุนจากขุนนางหลายคน เดินตัวสั่นไปที่กำแพงเมือง มองไปยังทัพกบฏด้านล่าง พูดผ่านเครื่องขยายเสียงอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อเห็นว่าพวกกบฏไม่เคลื่อนไหวใดๆ ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธเกรี้ยว เขาเริ่มตะโกนตรงไปที่เซียงอ๋องโดยตรง และวาจาก็ไม่ได้หนีไปจากการพูดถึงความอัปยศของผู้ทรยศเลย
ฝ่ายกบฏแยกออกจากกันราวกับกระแสน้ำ ก่อนที่เซียงอ๋องจะขี่ม้ามายังเขตพระราชฐาน เขาพูดกับมหาราชครูไป๋อิงว่า “คนหลายพันพูดถึงเรื่องนี้ และตายไปโดยไร้โรคภัย นั่นคือผู้อ่อนแอ ไม่ใช่ข้า”
มหาราชครูไป๋อิงได้ยินคำพูดนั้นก็รู้สึกผิดหวัง มือกุมหน้าอกตนเอง และได้เหล่าขุนนางช่วยเขาลงมา