ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 123 การกลับมาของเฉินหลิวอ๋องและเขา
ม่ออวี่ปรากฏกายขึ้นบนกำแพง คิ้วตายังคงงดงามดังภาพวาด เพียงแต่มีความอิดโรยเล็กน้อย
หลัวหยางอ๋องยืนประหม่าเล็กน้อยข้างกายนาง กังวลใจมากเกี่ยวกับลูกธนูอันเย็นเฉียบซึ่งพุ่งมาจากที่ใดสักแห่ง
ม่ออวี่พูดว่า “ในเมื่อท่านอ๋องได้ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเข้ามาสู่ชีวิตของเฉินหลิวอ๋อง เขาย่อมไม่สามารถคุกคามท่านได้อยู่แล้ว”
บอกว่าคุกคามไม่ได้ แต่ที่จริงแล้วก็ยังมีการคุกคามอยู่
สายตาจำนวนมากของพวกกบฏต่างจับจ้องไปยังร่างของเซียงอ๋อง
เซียงอ๋องกล่าวพร้อมหยาดน้ำที่คลอหน่วยในตา “ลูกชายข้าตายด้วยดี ย่อมไม่เสียใจ และข้าจะแต่งตั้งเขาให้เป็นองค์รัชทายาท”
ม่ออวี่เลื่อมใสศรัทธามาก และไม่พูดอะไรอีก
……
……
ใบหน้าของเฉินหลิวอ๋องขาวซีดเล็กน้อย อาจเป็นเพราะอากาศวันนี้มืดครึ้มเล็กน้อย หรือเพราะเขาไม่เห็นดวงอาทิตย์นานเกินไป
เขามองดูท่านขันทีเฒ่าแล้วพูดว่า “บุญคุณของการได้มีชีวิตอีกครั้ง ข้าไม่รู้จะตอบแทนเช่นไร”
เช่นเดียวกับนางสนมผู้งดงามของจงซานอ๋องที่ระมัดระวังตัวเช่นนั้น เฉินหลิวอ๋องสมควรได้รับการยอมรับว่าเป็นทายาทของราชวงศ์ผู้มีลักษณะคล้ายกับจักรพรรดิไท่จงมากที่สุด เขามีบุคลิกที่มีเสน่ห์เกินกว่าจะจินตนาการได้ แม้ว่าเขาจะถูกคุมตัวไว้ในวังเป็นเวลาสิบปี แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกท้อใจ แต่เขากลับประสบความสำเร็จในการได้รับการสนับสนุนจากผู้คนจำนวนมาก
ขันทีเฒ่าท่านนั้นเป็นคนที่สำคัญที่สุดในหมู่คนพวกนั้น
ที่นี่คือโรงซักล้าง เป็นสถานที่ที่รกที่สุดและสังเกตเห็นได้น้อยที่สุดทางฝั่งตะวันออกของเขตพระราชฐาน
ผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่า เขาที่ควรถูกคุมขังในวังเว่ยยาง กลับได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา และได้ออกมาถึงนอกเขตพระราชฐานแล้ว
ขันทีเฒ่าท่านนั้นถอนหายใจออกมา ไม่ได้พูดสิ่งใด เขาหันหลังเดินกลับเข้าไปในเขตพระราชฐาน
เฉินหลิวอ๋องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ขมุกขมัว
เขาไม่ได้คิดต่อไปว่าการถอนหายใจของขันทีเฒ่าหมายความเช่นไร เพราะนั่นไม่มีความหมายอะไร
แววตาของเขาดูเงียบสงบลงมาก เพียงแต่ในมุมที่ลึกที่สุดนั้นมีความเบื่อหน่ายแอบซ่อนอยู่เบาบางมาก
……
……
เขตพระราชฐานถูกล้อมรอบด้วยกบฏ และพื้นที่ของค่ายผิงเป่ยของเผ่าปีศาจรับผิดชอบอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก็เป็นทิศทางของสำนักฝึกหลวงและสวนร้อยหญ้า
โดยเฉพาะสำนักฝึกหลวงที่โดนโอบล้อมจนกระทั่งน้ำไม่อาจไหลผ่าน ได้รับการป้องกันอย่างเข้มงวดมากกว่าตอนการเปลี่ยนแปลงของสุสานเทียนซูเสียอีก อาจารย์และลูกศิษย์ที่อยู่ในสำนักฝึกหลวงต่างรู้สึกประหม่ามาก และไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ลูกศิษย์ที่ดูผอมแห้งคนหนึ่งได้เดินผ่านป่าทึบริมทะเลสาบทะลุไปยังหน้าเขตพระราชฐานแล้ว
นี่เป็นพื้นที่หวงห้ามของสำนักฝึกหลวง ประตูที่นำไปสู่เขตพระราชฐานมีค่ายกลที่ทรงพลังมาก และยังมีแม่กุญแจที่ยากจะเปิดได้
ลูกศิษย์ร่างผอมคนนั้นไม่ได้สนใจกฎเหล่านี้เลย ทำลายค่ายกลนั้นลงได้อย่างง่ายดาย ดึงกุญแจออกจากแขนเสื้อของเขา และปลดแม่กุญแจอันเก่าที่เต็มไปด้วยคราบสีเขียว
นางมิใช่ลูกศิษย์ธรรมดา นางคุ้นเคยกับพระราชวังและสำนักฝึกหลวงเป็นอย่างดี พูดให้ถูกก็คือ นางเป็นรองเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง
เมื่อตอนเฉินหลิวอ๋องหนีออกจากพระราชวัง ลั่วลั่วแอบเข้าไปในพระราชวังอย่างเงียบๆ
นางนำคำทักทายจากสำนักฝึกหลวงมาสู่สมเด็จพระจักรพรรดิ พร้อมกับตัวแปรบางอย่าง
จักรพรรดิขาวส่งค่ายผิงเป่ยมาเพื่อแสดงออกถึงการสนับสนุนเซียงอ๋อง
แต่เมื่อนางอยู่ในพระราชวัง ค่ายผิงเป่ยจะกล้าโจมตีพระราชวังจริงหรือ ที่สำคัญกว่านั้น เป็นไปได้หรือไม่ที่ค่ายผิงเป่ยจะทำตามคำสั่งของนางและเปลี่ยนตำแหน่งของตนเองเสีย
ไม่มีผู้ใดรู้แน่ชัดว่าสถานการณ์จะพัฒนาไปอย่างไร เพราะจนถึงขณะนี้ พวกกบฏไม่รู้ว่าลั่วลั่วได้เข้ามาในพระราชวังแล้ว
แต่เฉินหลิวอ๋องรู้สึกได้ถึงสัญญาณไม่ดีบางอย่าง
ลมจากทิศตะวันตกชื้นเกินไป หรือน้ำในบ่อหวานเกินไป มักมีรายละเอียดที่ไม่สามารถอธิบายได้อยู่เสมอ ที่จะสร้างความสัมพันธ์มากมายให้เกิดขึ้นในชีวิต
เพิ่งจะหนีออกจากพระราชวังได้ไม่นาน และยังไม่ทันจะคุยกับท่านพ่อได้นานมากนัก เขาก็ได้ร้องขอถึงความต้องการของตนอย่างแรงกล้า
ไม่ว่าผังลายจักรพรรดิจะเปิดได้หรือไม่ กองทัพกบฏก็ควรโจมตีเขตพระราชฐานและสร้างแรงกดดันให้อีกฝ่ายมากขึ้น
“ผังลายจักรพรรดิสามารถหยุดผู้มีอำนาจเช่นท่านและเฉาซื่อปั๋วเท่านั้น แต่ไม่สามารถหยุดคนธรรมดาได้ และยังมีอีกหลายสถานที่ในจิงตูที่ต้องเข้าควบคุม”
เมื่อมองไปยังใบหน้าที่ซีดเผือดและแววตาที่มืดมนของเฉินหลิวอ๋องแล้ว เซียงอ๋องก็ไม่คิดคัดค้านความเห็นของเขาอีก
ปกติมักจะมีการต่อสู้ระหว่างการควบคุมและการต่อต้านการควบคุมเกิดขึ้น มักมีการนองเลือด เมื่อสถานการณ์วุ่นวายมากขึ้น แม้แต่บ้านเรือนก็มักจะถูกจุดไฟเผา
ด้วยการกลับมาของเฉินหลิวอ๋อง ส่งผลให้การกระทำของฝ่ายกบฏมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ในเย็นวันนั้น มีเปลวเพลิงมากมายสว่างขึ้นในหลายแห่งของจิงตู
ทั้งสองฝ่ายที่ควบคุมตนเองมาได้หลายวัน ในที่สุดก็ควบคุมไม่ได้อีกต่อไป ตามท้องถนนทั้งสี่ด้านรอบพระราชวังและพระราชวังหลี มีภาพการเผา ฆ่า และปล้นมากมาย
ในมุมมองของเฉินหลิวอ๋อง นี่คือราคาของความสำเร็จที่ต้องอดทน ไม่จำเป็นต้องกังวลใดๆ
เขาสนใจในสิ่งที่สำคัญกว่า
เขานำทัพทหารม้าของกองทัพกบฏมากกว่าสามร้อยนายไปยังสำนักฝึกหลวงด้วยตนเอง
“ซีหนิงมีวัดที่จะครอบครองใต้หล้า”
เมื่อมองไปยังประตูสำนักของสำนักฝึกหลวง เฉินหลิวอ๋องก็กล่าวประโยคดังนี้
ประโยคนี้แพร่หลายในแผ่นดินใหญ่มากว่าสิบปี และมันกำลังจะกลายเป็นความจริง และกลายเป็นความเชื่อบางอย่างผู้คน
หากจะทำลายประโยคนี้ เช่นนั้นจึงจำเป็นต้องทำลายสำนักฝึกหลวงเสียก่อน
แต่ประตูสำนักบานนี้ช่างดูคุ้นตาเสียจริง
เมื่อหลายปีก่อนท่ามกลางสายฝนในฤดูใบไม้ร่วง เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยกลับมาจากทางเหนือ เขาและครอบครัวของเขาพุ่งเข้าไปในซากปรักหักผังของประตูสำนึกฝึกหลวง
ขุนพลเทพเฟ่ยเตี่ยนพ่ายแพ้ให้กับจินอวี้ลวี่ แล้วการชุมนุมไม้เลื้อยก็มาถึง ตลอดมาสำนักฝึกหลวงไม่ได้ซ่อมแซมประตูสำนักให้ดี เพื่อที่จะตบหน้าตระกูลเทียนไห่
จนกระทั่งการสอบครั้งใหญ่ ในที่สุดเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยก็ยอมแพ้ นำคนไปซ่อมแซมประตูสำนักนี้ด้วยตนเอง นับแต่นั้นก็เกิดเป็นเรื่องราวอีกเรื่องในจิงตู
ช่วงเวลานั้นเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างเฉินหลิวอ๋องและสำนักฝึกหลวง ในตอนที่สร้างประตูขึ้นใหม่ เขายังเห็นภาพวาดการออกแบบและได้ให้คำแนะนำเป็นการส่วนตัว
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาก็มีคุณูปการต่อประตูสำนักปัจจุบันนี้เช่นกัน
ในเวลานั้น เถาวัลย์สีเขียวที่ด้านหน้าของประตูสำนักถูกรื้อออกไปหมด และไม่มีสิ่งใดปกคลุมบนพื้นผิวหินเรียบ
ตอนนี้เถาวัลย์สีเขียวได้เติบโตขึ้นใหม่ บดบังลายมือส่วนใหญ่ไป
“ทุบออก”
เฉินหลิวอ๋องพูดสองคำนี้ออกมาอย่างนิ่งสงบ
เหล่าทหารกบฏเดินไปข้างหน้าพร้อมกับท่อนไม้ขนาดใหญ่ที่เตรียมมาอย่างดี ท่ามกลางสายตาที่งุนงงของเหล่าทหารเผ่าปีศาจ พวกเขากระแทกเข้าไปที่ประตูสำนักอย่างโหดเหี้ยม
ที่ตามมาพร้อมกับเสียงดังสนั่นดุจฟ้าร้องหลายครั้ง ก็คือรอยแตกเล็กน้อยซึ่งปรากฏขึ้นบนประตูสำนักสำนักฝึกหลวง ประตูค่อยๆ ล้มลงไปทั้งสองข้างพร้อมเสียงกระทบที่ดังขึ้น
ค่ำคืนนี้ยิ่งมืดขึ้นไปอีก กองทัพกบฏและทหารเผ่าปีศาจต่างก็จุดคบเพลิง
แสงไฟส่องสว่างไปในส่วนลึกของตรอกไป่ฮวา และยังส่องสว่างประตูสำนักที่ชำรุด และส่องสว่างไปบนใบหน้าคนหนุ่มสาวจำนวนมาก
ใบหน้าเหล่านั้นยังเด็กมาก และเห็นได้ชัดว่ามีความประหม่ามาก ในสายตาของพวกเขา สามารถมองเห็นความกลัวได้อย่างชัดเจน
แต่ไม่มีผู้ใดสักคนจากไป เพราะพวกเขาคืออาจารย์และลูกศิษย์ของสำนักฝึกหลวง
เฉินหลิวอ๋องรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
มิใช่เพราะเขามองเห็นภาพเช่นนี้ แต่เป็นเพราะเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยยืนอยู่แนวหน้าของอาจารย์และลูกศิษย์ของสำนักฝึกหลวง
แสงจากคบเพลิงส่องใบหน้าของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยอย่างชัดเจน
เฉินหลิวอ๋องรู้สึกว่าโลกนี้ช่างวิเศษจริงๆ เขาหัวเราะขึ้นมา แต่กลับขมขื่นเล็กน้อย
……
……
เมืองเสวี่ยเหล่ามีเมฆมาก โดยเฉพาะเมฆครึ้มมีเมฆหนามากเป็นพิเศษจนบดบังดวงอาทิตย์อย่างหนาแน่น
ถนนและตรอกซอกซอยในเมือง มืดสนิทเหมือนก่อนรุ่งสาง บางครั้งจะสามารถได้ยินเสียงสุนัขเห่าและเสียงการไล่ล่าต่อสู้
การต่อต้านของทหารเผ่ามารยังคงดำเนินต่อไป และเห็นได้ชัดว่าไม่มีพรรคใด แต่ก็ยังสร้างปัญหามากมายให้กับกองทัพมนุษย์
ทหารม้าควบม้าไปตามถนนที่ตรงและกว้าง และดอกไม้ไฟที่ใช้แทนข้อความก็ถูกจุดขึ้นเป็นระยะๆ จนกระทั่งเย็นลง ความรุนแรงของการสู้รบก็ค่อยๆ ลดลงจนสงบ
เมืองเสวี่ยเหล่ามีขนาดใหญ่มาก จำเป็นต้องขจัดสิ่งกีดขวางบนถนน และบางครั้งเพื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือเผ่ามารที่เข้าจู่โจม กองกำลังไม่สามารถเคลื่อนที่เร็วเกินไปได้ และเหตุผลสำคัญอีกประการ จนกระทั่งยามอัสดง รถม้าศักดิ์สิทธิ์ของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง ได้มาถึงเขตพระราชฐานที่เต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือน หนทางยังมีอีกยาวไกลหากจะไปยังวังมาร
พวงของประกายไฟที่เบ่งบานราวกับดอกไม้ คอยแผดเผาอยู่แถวหน้าของกองกำลังไม่หยุดหย่อน ฉายแสงคล้ายหยก ปัดเป่าค่ำคืนที่ยิ่งดึกยิ่งมืดมิดออกไป หากใครอยู่ใกล้ๆ จะเห็นว่าคบเพลิงนี้มิใช่ทองหรือหยก แต่เป็นแก้วทึบแสงผิวสีขาวขุ่น ภายในมีเม็ดผลึกนับไม่ถ้วน ราวกับเต็มไปด้วยพลังงานมากมายเกินกว่าจะนับได้
นี่คือศาสตราเทพของเผ่ามาร…เปลวอัคคีตะวันขาว
ในสงครามครั้งนั้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน จักรพรรดิไท่จงและนายพลของเขาฉกชิงศาสตราเทพชิ้นนี้มาได้ จากนั้นก็นำมันกลับมาจิงตู และวางไว้ในหอหลิงเยียน
วันนี้ศาสตราเทพชิ้นนั้นถูกกองทัพเผ่ามนุษย์นำกลับมาที่เมืองเสวี่ยเหล่า แต่ไม่ได้หมายถึงการกลับบ้าน แต่เป็นเหมือนมรดกของจิตตานุภาพอันยิ่งใหญ่
ประชากรเผ่ามารบางตนถูกขับไล่ออกจากบ้านและยืนอยู่บนสองข้างทางของถนน เผ่ามารที่ยากจนบางตนยืนอยู่หน้าอาคารที่ถูกทำลาย มองดูกองทัพมนุษย์ที่มุ่งหน้าไปยังวังมารอย่างอยากรู้อยากเห็น
เห็นเปลวไฟนั้นเหมือนต้นหยก มีเสียงกระซิบดังขึ้น ไม่รู้ด้วยเหตุใด ประชากรเผ่ามารบางตนค่อยๆ คุกเข่าลง